กรุงเทพฯ--20 ม.ค.--โรงพยาบาลกรุงเทพภาคตะวันออก
กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพภาคตะวันออกเผยแผนรับกระแสดีดกลับธุรกิจ Health Care ปี 2553 หลังพบปัจจัยบวกด้านการท่องเที่ยวเริ่มดีขึ้นจนทำให้ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ารับบริการทั้งที่พัทยาและเกาะช้างยอดพุ่ง เทงบ 200 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยประจำโรงพยาบาลที่อยู่ในการดูแลทั้ง 4แห่ง พร้อมตั้งเป้าเติบโตทางธุรกิจอีกไม่น้อยกว่า 10% หลังวิกฤตเศษฐกิจและการเมืองปี 52 ทำยอดเติบโตเป็นศูนย์
นายแพทย์ประยุทธ สมประกิจ ประธานคณะผู้บริหารกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพภาคตะวันออก ที่ประกอบด้วยโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โรงพยาบาลกรุงเทพตราด และคลินิกเกาะช้าง เผยถึงแผนลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพการรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลในเครือภาคตะวันออกปี 2553 ว่านอกจากจะทุ่มงบประมาณไม่น้อยกว่า200 ล้านบาท จัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่ทันสมัยให้แก่โรงพยาบาล 4 แห่ง ในเครือภาคตะวันออก เพื่อยกระดับการให้บริการทางการแพทย์โดยเฉพาะศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางให้มีความชัดเจนมากขึ้นแล้ว
การผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานด้านการการแพทย์และการพยาบาลจากสถาบัน JCI ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปีที่ผ่านมา ทำให้การเป็น Medical Hub ของโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา มีความชัดเจนยิ่งขึ้นและการเป็นศูนย์ผ่าตัดหัวใจที่ดีที่สุดในภาคตะวันออก ทำให้กลุ่มคนไข้ในพื้นที่ลดการเดินทางเข้ารับการรักษาจากโรงพยาบาลในกรุงเทพให้น้อยลงโดยในปีนี้โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา จะมีเครื่องอัลตราซาวนด์สำหรับการตรวจหลอดเลือดหัวใจเพื่อให้การวินิจนัยสมบูรณ์มากขึ้น และยังสามารถให้บริการให้ปริการผ่าตัดหัวใจและทำบอลลูนหัวใจได้ตลอด24 ชั่วโมง
ส่วนโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง จะลงทุนด้านเครื่องตรวจหัวใจและเพิ่มการให้บริการด้านศูนย์อุบัติเหตุ ซึ่งในปีนี้จะมีศูนย์ดังกล่าวทั้ง 4 โรงพยาบาล เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออก การท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมเดินทางโดยรถยนต์ ดังนั้นการสร้างความพร้อมในศูนย์อุบัติเหตุถือเป็นสิ่งจำเป็น ขณะที่โรงพยาบาลจันทบุรี จะเพิ่มศูนย์ MRI และแพทย์ผู้เชี่ยวด้านหัวใจ และยังจะร่วมกับโรงพยาบาลกรุงเทพตราด ขยายเครือข่ายการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษายังคลินิกเกาะช้างให้มากยิ่งขึ้น
“ที่สำคัญในปี 2553 โรงพยาบาลกรุงเทพเครือข่ายภาคตะวันออกยังมีนโยบายกำหนดราคาในอัตราเดียวกัน และในปีนี้โรงพยาบาลหลายแห่งในภาคตะวันออก ยังเพิ่มศักยภาพการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยด้วยการเพิ่มเฮลิคอปเตอร์สำหรับเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทางอากาศ ซึ่งในส่วนของโรงพยาบาลกรุงเทพเรามีเฮลิคอปเตอร์ของตนเองและยังมีรถพยาบาลโมบาย ICU และรถพยาบาลในทุกจุด ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยของเรารวดเร็วยิ่งขึ้น”
นายแพทย์ประยุทธ ยังเผยถึงทิศทางธุรกิจ Health Care ในปี2553 ของภาคตะวันออกว่าน่าจะ ขยายตัวได้ดีกว่าปีก่อน เนื่องจากในปี 2552 ธุรกิจนี้ค่อนข้างได้รับผลกระทบทั้งจากภาวะเศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองท่องเที่ยว จึงได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวค่อนข้างมากเห็นได้จาก โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาที่เจอทั้งปัญหาการปิดสนามบินและเหตุการณ์ล้มการประชุมอาเซียน ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองพัทยา ทำให้ยอดคนไข้ต่างชาติที่มีมากถึง 60 % และกลุ่มคนไข้ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงจนน่าใจหาย จนทำให้อัตราการเติบโตของโรงพยาบาลในปีดังกล่าวเป็นศูนย์
“ในตอนนี้สัญญาณการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาเริ่มดีขึ้น เห็นได้จากยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เริ่มกลับมาดีขึ้นตั้งแต่ต้นปี และภาพรวมการเข้ารับการรักษาของกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติในโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น หากในปีนี้สถานการณ์ทางการเมืองไม่รุนแรง ก็คาดว่าผลประกอบการรวมกลุ่มเครือข่ายภาคตะวันออกจะเติบโตไม่น้อยกว่า10% ขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ารับบริการที่คลินิกเกาะช้าง และโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหามาบตาพุดได้ ก็อาจมีผลกระทบต่อการจ้างงาน ซึ่งก็หมายถึงผลกระทบที่อาจเกิดกับการดำเนินงานของโรงพยาบาลกรุงเทพระยอง ในปี 2553 เช่นกัน” นายแพทย์ประยุทธกล่าว
การรวมตัวกันเป็นเครือข่ายนั้น ส่งผลดีในด้านของความเป็นเอกภาพด้านการแพทย์และรักษาพยาบาล ซึ่งถือเป็นนโยบาลที่กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพภาคตะวันออกจะใช้เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการดำเนินงานในปีนี้ และในตลอดปี 2553 นี้ “เราอยู่ใกล้หัวใจคุณ” เป็นนิยามที่กลุ่มโรงพยาบาลภาคตะวันออกต้องการเน้นย้ำ ซึ่งครอบคลุมถึงภาพรวมของการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจรให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวทุกประเทศที่มาท่องเที่ยวในภาคตะวันออก
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 038-259-999 Anan