ไอเอ็นจีเผยผลสำรวจภาวะการลงทุนไตรมาส 4/2552 ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยประจำไตรมาส 4/2552 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นับเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นระดับไตรมาสที่สูงที่สุดในภูมิภาคแพนเอเชีย

ข่าวเทคโนโลยี Friday January 29, 2010 11:44 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--อาซิแอม เบอร์สัน — มาร์สเตลเลอร์ ไอเอ็นจีเผยผลสำรวจภาวะการลงทุนไตรมาส 4/2552 ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยประจำไตรมาส 4/2552 พุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นับเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นระดับไตรมาสที่สูงที่สุดในภูมิภาคแพนเอเชีย ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยปรับตัวจากมุมมองที่เป็นกลางสู่มุมมองในเชิงบวกเป็นผลจากการกระจายการลงทุน ผนวกกับการที่นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ประเด็นสำคัญจากรายงานการสำรวจภาวะการลงทุนประจำไตรมาสของไอเอ็นจี กรุ๊ป - ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยประจำไตรมาส 4/2552 เพิ่มขึ้น 154% จาก 59 ในไตรมาส 4/2551 มาอยู่ที่ 150 ซึ่งนับเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นในระดับไตรมาสที่สูงถึง 33% จาก 113 ในไตรมาส 3/2552 - ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชียดีดตัวพุ่งขึ้น 101% จาก 73 ในไตรมาส 4/2551 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน ขึ้นมาอยู่ที่ 147 ในไตรมาส 4/2552 โดยในปี 2552 ระดับความเชื่อมั่นได้พลิกกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน - นักลงทุนชาวไทยยังคงเน้นกระจายการลงทุนไปยังภูมิภาคต่างๆ เช่นเดียวกับสินทรัพย์ประเภทต่างๆ อีกทั้ง สามารถรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้เพิ่มขึ้นด้วย - นักลงทุนชาวไทยมีทัศนคติเชิงบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศในภาคพื้นเอเชียที่คาดว่าราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับขึ้นสูงอย่างชัดเจนในไตรมาส 1/2553 ไอเอ็นจี กรุ๊ป สถาบันการเงินระดับโลก เผยข้อมูลจากรายงานการสำรวจภาวะการลงทุนรายไตรมาสว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นโดยสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทย ที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วถึง 154% จากเดิมที่ระดับ 59 ในไตรมาส 4/2551 ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 150 ในไตรมาส 4/2552 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/2552 ถึง 33% ซึ่งนับเป็นอัตราการเพิ่มที่สูงที่สุดรายไตรมาสในภูมิภาคเอเชีย สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเฉลี่ยของนักลงทุนในภาคพื้นเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) ในปี 2552 มีการปรับตัวขึ้นอย่างชัดเจน โดยเพิ่มขึ้นถึง 101% จากเดิมอยู่ที่ระดับ 73 ในไตรมาส 4/2551 ปรับขึ้นสูงสู่ระดับ 147 ในไตรมาส 4/2552 ขณะที่ความเชื่อมั่นโดยรวมดีดตัวกลับมาอยู่ที่ระดับเดียวกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน เมื่อเปรียบเทียบรายไตรมาส พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภาคพื้นเอเชียขยับขึ้นเล็กน้อยเพียง 3.5% จาก 142 ในไตรมาส 3/2552 มาอยู่ที่ 147 ในไตรมาส 4/2552 โดยไต่ขึ้นสู่ระดับเดียวกับช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติการณ์ทางการเงิน ภายหลังการฟื้นกลับของภาคการเงินในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2552 ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนได้เริ่มดีดตัวกลับขึ้นมาด้วยแรงสนับสนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเสถียรภาพและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งผลการสำรวจในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวเอเชียที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่มีการจัดทำดัชนีนี้ขึ้นมาในไตรมาส 3/2550 เป็นต้นมา และเป็นการปรับขึ้นสู่แดนบวกเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การสำรวจภาวะการลงทุนไอเอ็นจี อินเวสเตอร์ แดชบอร์ด (ING Investor Dashboard) ได้ดำเนินการมายาวนานกว่า 2 ปี ซึ่งนับเป็นการสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายไตรมาสในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ยกเว้นญี่ปุ่น) เป็นรายแรก โดยวัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้ง 12 ประเทศที่อยู่ในภูมิภาคนี้ ได้แก่ ไทย ฮ่องกง จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพื่อเสนอภาพรวมของตลาดการลงทุนและทัศนคติของนักลงทุนในแต่ละประเทศ และยังมีการจัดทำดัชนีความเชื่อมั่นเฉลี่ยของนักลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชียโดยคิดค่าเฉลี่ยจากทุกประเทศข้างต้น ยกเว้นญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพื่อใช้อ้างอิงเปรียบเทียบกับดัชนีความเชื่อมั่นของแต่ละประเทศ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการบริโภค ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศที่เน้นภาคการส่งออก อาทิ ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ณ สิ้นปี 2552 ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 100% เมื่อเทียบกับปี 2551 อันเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในภูมิภาคแพนเอเชีย ขณะที่การส่งออกเริ่มมีการปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/2552 จนถึงไตรมาส 4/2552 สำหรับประเทศไทย การส่งออกและการบริโภคมีการปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2552 โดยดัชนีการส่งออกและดัชนีการบริโภคระดับประเทศ ซึ่งวัดจากรายได้จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม มีการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศจีนและอินเดียยังคงอยู่ในระดับสูงสุดในภูมิภาคแพนเอเชีย โดยในประเทศจีนมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 53% และในประเทศอินเดียปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนถึง 122% นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายธุรกิจกองทุนรวมและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงผลการวิจัยครั้งนี้ว่า “ไตรมาสที่ 3/2552 นับเป็นไตรมาสที่ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 20% ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในไตรมาส 4/2552 เพิ่มสูงขึ้นตามความคาดหมาย โดยผลการสำรวจบ่งชี้ว่า นักลงทุนไทย 62% ระบุว่าได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4/2552 ขณะที่ 71% คาดการณ์ว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 1/2553 ซึ่งนับเป็นผลการสำรวจที่แตกต่างจากผลของไตรมาสก่อนมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับที่บริษัทได้คาดการณ์ไว้ถึงการฟื้นตัวทางด้านการลงทุนโดยรวม โดยความเชื่อมั่นนักลงทุนนั้นจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะตลาดโดยรวมอยู่แล้ว” “ไอเอ็นจียังคงเชื่อมั่นว่า ตลาดไทยจะมีการฟื้นตัวทั้งในด้านระบบเศรษฐกิจโดยรวมและรายได้ขององค์กรธุรกิจ อีกทั้งหลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายกันในปัจจุบันยังมีมูลค่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนไม่ควรคาดหวังผลตอบแทนโดยรวมในระดับเดียวกันกับปี 2552 และเนื่องจากการส่งออกที่คาดว่าจะมีการเติบโตถึง 10-15% ในปี 2553 นักลงทุนจึงอาจให้ความสำคัญกับภาคธุรกิจที่เกี่ยวกับการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งและการผลิตสินค้าส่งออก ส่วนประเด็นที่ยังมีความวิตกกังวล ได้แก่เงินเฟ้อ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าอาจจะสูงถึง 5% ในปี 2553 อาจจะส่งผลกระทบต่อมุมมองเชิงบวกของนักลงทุน และผลักดันให้นักลงทุนกลับไปให้ความสำคัญกับการลงทุนที่มีความปลอดภัยสูง อาทิ เงินฝาก กองทุน และทองคำอีกครั้ง” นายต่อ กล่าวเสริม นักลงทุนไทยยังคงมีทัศนคติเชิงบวกต่อสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม นักลงทุนไทยมีทัศนะที่เป็นบวกต่อเศรษฐกิจไทย โดยนักลงทุนจำนวนมากคาดหวังว่า ในไตรมาส 1/2553 เศรษฐกิจไทยจะยังคงมีการปรับตัวดีขึ้นไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับความเชื่อมั่นของนักลงทุนเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ผลสำรวจระบุว่า นักลงทุนไทยมีความเชื่อมั่นว่า สภาวะการเงินส่วนตัวและสภาวะการเงินของครอบครัวจะมีการปรับตัวดีขึ้น (27% และ 23% ตามลำดับ) นอกจากนี้ นักลงทุนไทยยังพร้อมที่จะรับความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น นายต่อ กล่าวว่า “แม้ว่านักลงทุนไทยจะมีพื้นฐานการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม แต่ก็แสดงให้เห็นถึงการยอมรับความเสี่ยงในการลงทุนระยะสั้นมากขึ้น โดยมีนักลงทุนจำนวนมากที่ยอมรับว่า การได้รับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากหากยังยึดแนวทางการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมในรูปของเงินฝากดอกเบี้ยต่ำ และให้ความสำคัญกับการถือเงินสดในมือ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่ (ประมาณ 65%) คาดหวังผลตอบแทน 10-15% ต่อปี โดย 55% ของนักลงทุนกลุ่มนี้ สามารถยอมรับภาวะขาดทุนได้สูงสุดเพียงปีละ 10% ดังนั้น ในสภาวการณ์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนต่ำเช่นนี้ นักลงทุนชาวไทยคงไม่สามารถได้รับผลตอบแทนในระดับที่ต้องการ หากไม่ยอมรับการลงทุนที่มีความเสี่ยงมากขึ้น เพราะผลตอบแทนจากการฝากเงินนั้นแทบจะเป็นศูนย์ และหากนักลงทุนต้องการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนให้ได้ปีละประมาณ 10% เขาต้องกระจายการลงทุนไปยังหุ้น อาทิ หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ และสินทรัพย์ทดแทนประเภทอื่นๆ ซึ่งผลการสำรวจยังระบุว่า ในไตรมาสที่ผ่านมา นักลงทุนยอมรับความเสี่ยงมากขึ้น โดยมีการลงทุนในหุ้น (เพิ่มขึ้น 20%) กองทุนรวมและหน่วยลงทุน (เพิ่มขึ้น 26%) รวมถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (เพิ่มขึ้น 31%)” นายต่อ กล่าวเสริม นักลงทุนไทยมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหลักทรัพย์และตลาดอสังหาริมทรัพย์ และคาดว่าจะยังคงปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 1/2553 ปัจจุบัน จำนวนนักลงทุนไทยที่มุ่งลงทุนในหลักทรัพย์ในประเทศไทยมีสัดส่วนสูงถึง 34% ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นลงทุนในหลักทรัพย์ของกลุ่มบริการทางการเงิน พลังงาน ทรัพยากรธรรมชาติ และสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่มีนักลงทุนเพียง 7% ที่ลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ นายต่อ กล่าวเสริมว่า “หากพิจารณาในแง่การกระจายการลงทุนตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ จะพบว่า กองทุนเกรทเทอร์ไชน่าของไอเอ็นจีได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุนไทย และจากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ไอเอ็นจีพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นของสหรัฐอเมริกา ซึ่งบริษัทเชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนและราคาหุ้นที่สูงขึ้นในระยะยาว” นอกจากนี้ นักลงทุนไทยยังคงมีทัศนะเชิงบวกต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดย 33% ของนักลงทุนคาดการณ์ว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีการเติบโตอยู่ระหว่าง 5% ถึง 7.5% ในไตรมาสหน้า พร้อมทั้งเชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะยังคงออกมาตรการจูงใจผู้ซื้อบ้าน ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงมีนโยบายสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำต่อไป เงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยยังเป็นปัจจัยเสี่ยงในปี 2553 การปรับตัวที่สูงขึ้นของเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยถือเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักในปี 2553 โดย 57% ของนักลงทุน คาดว่า อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะปรับสูงขึ้นในไตรมาส 1/2553 ขณะที่ 62% เชื่อว่า อัตราดอกเบี้ยในประเทศจะปรับเพิ่มขึ้นภายในปี 2553 นอกจากนี้ 64% ของนักลงทุนเชื่อว่าเงินเฟ้อจะปรับตัวสูงขึ้นในไตรมาส 1/2553 ในขณะที่ 85% เชื่อว่า เงินเฟ้อจะปรับเพิ่มขึ้นภายในปีนี้ “การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในปี 2553 นั้นอาจเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ประกอบกับการคาดการณ์ของที่ธนาคารแห่งประเทศไทยที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 5% ภายในปี 2553 ทำให้มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยอาจประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยภายในเวลาอันสั้น นอกจากนี้ ราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ทางด้านพลังงานอื่นๆ อาจเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้มีการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในทิศทางดังกล่าว” นายต่อ กล่าวทิ้งท้าย ข้อมูลเพิ่มเติม การสำรวจของไอเอ็นจี อินเวสเตอร์ แดชบอร์ด จัดทำขึ้นเพื่อประเมินทัศนคติและพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนเป็นรายไตรมาสในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 12 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย และนับเป็นการสำรวจรายไตรมาสรายแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งแสดงดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) สำหรับการสำรวจประจำไตรมาส 4/2552 ได้ดำเนินการเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2552 โดยการสัมภาษณ์ออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่างนักลงทุนจำนวน 3,730 คน ทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 12 ประเทศ กลุ่มตัวอย่างมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป มีสินทรัพย์สุทธิหรือเงินลงทุนรวมอย่างน้อย 100,000 เหรียญสหรัฐ ยกเว้น ประเทศอินโดนีเซีย (สินทรัพย์สุทธิหรือเงินลงทุนรวมตั้งแต่ 60,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป) และฟิลิปปินส์ (สินทรัพย์สุทธิหรือเงินลงทุนรวม 60,000 เหรียญสหรัฐหรือรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 200,000 เปโซขึ้นไป) โดยผลสำรวจจัดทำโดยเดอะ นีลเส็น คอมปะนี (The Nielsen Company) และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งจากสถาบันการเงินและสื่อมวลชนใน 12 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย เกี่ยวกับไอเอ็นจี ไอเอ็นจี เป็นสถาบันการเงินระดับโลกสัญชาติดัชต์ ที่ให้บริการทางด้านการธนาคาร การลงทุน การประกันชีวิต และการวางแผนการลงทุนเพื่อการเกษียณอายุ ให้แก่ลูกค้ารายบุคคล องค์กร และสถาบันจำนวนกว่า 85 ล้านราย ในกว่า 40 ประเทศ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2552) และด้วยบุคลากรกว่า 110,000 คน ไอเอ็นจีมุ่งมั่นในการให้บริการด้านการจัดการทางการเงินแก่ลูกค้าด้วยมาตรฐานสูงสุด เกี่ยวกับเดอะ นีลเส็น คอมปะนี เดอะ นีลเส็น คอมปะนี (The Nielsen Company) เป็นบริษัทชั้นนำของโลกที่ให้บริการเกี่ยวกับข้อมูลทางการตลาดและผู้บริโภค การสำรวจความนิยมทีวีและสื่อต่างๆ การทำวิจัยออนไลน์ รวมถึง Trade show และสิ่งพิมพ์ทางธุรกิจ โดยเป็นบริษัทเอกชนที่เปิดดำเนินการมากกว่า 100 ประเทศ โดยมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.nielsen.com ติดต่อสอบถาม ต่อ อินทวิวัฒน์ สุภาวดี / สาธิดา บลจ. ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด อาซิแอม เบอร์สัน — มาร์สเตลเลอร์ โทร. 02-688-7777 โทร. 02-252-9871

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ