กรุงเทพฯ--19 พ.ค.--เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายอาหารทะเลภายใต้แบรนด์ “พรานทะเล” ปรับแผนการบริหารจัดการธุรกิจอุตสาหกรรรมอาหารทะเลแช่แข็งเข้าสู่ระบบซัพพลายเชน บริหารต้นทุนราคาวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การจัดส่ง และราคาผลิตภัณฑ์ พร้อมเร่งกระจายจุดจำหน่ายเข้าสู่ผู้บริโภคอย่างทั่วถึง ไม่หวั่นภาวะราคาน้ำมันที่สูงขึ้น มั่นใจศักยภาพตั้งเป้าปลายปีขึ้นแท่นผู้นำอาหารทะเลครบวงจรในประเทศไทย
นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายการตลาดและฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจของพรานทะเลในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้เร่งการขยายจุดจำหน่ายให้ครบ 2,000 จุดทั่วประเทศ ปัจจุบันมีจุดจำหน่าย 1,300 จุด เน้นเจาะช่องทางด้านคอนวีเนี่ยนสโตร์ มินิมาร์ท รวมถึงร้านค้าขนาดเล็กในแหล่งชุมชนต่างๆ จำหน่ายอาหารทะเลแช่แข็งสำเร็จรูปทั้งอาหารเช้า และอาหารกลางวันให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่ต้องการความสะดวกสบาย แม้ว่าขณะนี้สถานการณ์ราคาน้ำมันจะมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ตาม แต่ส่งผลเพียงเล็กน้อยต่อบริษัท ในเรื่องราคาวัตถุดิบของอาหารทะเลที่นำมาผลิตปรับสูงขึ้นประมาณ 20 -30% ซึ่งเบื้องต้นนี้คาดว่าจะมีปรับราคาสินค้าเพิ่มไม่เกิน 10%
ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เร่งรัดในการปรับกระบวนการด้านการบริหารจัดการเพื่อลดต้นทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน โดยได้วางรูปแบบการบริหารจัดการต้นทุนภายใต้ระบบซัพพลายเชน ให้เข้ามารองรับในเรื่องต้นทุนของสินค้า กระบวนการผลิต การจัดส่ง เพื่อลดรายจ่ายในส่วนเกินออก โดยได้เริ่มใช้ระบบซัพพลายเชนตั้งแต่กลางปี 2548 เนื่องจากบริษัทต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยหลักในเรื่องต้นทุน ราคาน้ำมัน ค่าจ้างแรงขั้นต่ำ วัตถุดิบ ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้
บริษัทได้ทำการทดลองระบบโดยวางเป้าหมายการลดต้นทุนจากการพัฒนาระบบซัพพลายเชนดังกล่าว ลง 4% เพื่อผลักดันให้เกิดผลกำไรเพิ่มขึ้นจาก 1-2% เป็น 5% โดยแบ่งการลดต้นทุนใน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านต้นทุนวัตถุดิบจาก 72% ลดลงเหลือ 67% 2. ด้านต้นทุนการผลิตจาก 9% ลดลงเหลือ 5.5% ด้านต้นทุนวัสดุสิ้นเปลืองจาก 7.5% ลดลงเหลือ 5.5% และด้านต้นทุนขนส่งจาก 4% เหลือ 3.5% โดยจะทำการวัดผลในทุกไตรมาสจากจำนวนเงินที่ลดลงของรายจ่ายในแต่ละต้นทุน
นายอนุรัตน์กล่าวต่อไปว่า ในขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการภายใต้ระบบซัพพลายเชนในส่วนของวัตถุดิบ โดยมีการทำสัญญาจัดตั้งโครงการ “กุ้งครบวงจร” (Integrated Operation of Shrimp Business) กับผู้ผลิตอาหารกุ้ง ผู้ผลิตลูกกุ้ง และกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งกว่า 1,000 ราย เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพการส่งออกในการแข่งขันกับตลาดโลก อีกส่วนเป็นการพัฒนาด้านแพ็คเกจจิ้ง โดยได้ร่วมมือระหว่างทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทกับบริษัทคู่ค้า เพื่อทำการพัฒนาและปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น
ด้านตลาดการส่งออก บริษัทได้ขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยได้เริ่มวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ “พรานทะเล“ ในประเทศสิงคโปร์ และมีแผนจะขยายไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปและประเทศอเมริกา รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยเข้าร่วมออกบูธภายในงานแสดงสินค้าอาหาร “THAIFEX — World of Food Asia 2006” ภายใต้แนวความคิด “พรานทะเล ซูเปอร์มาร์เก็ต” ที่ต้องการสะท้อนให้ผู้บริโภคได้เห็นถึงศักยภาพและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมทุกไลฟสไตล์คนในยุคปัจจุบัน เช่น อาหารทะเลแช่แข็งพร้อมปรุง (Ready to Cook) อาหารทะเลแช่แข็งพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) อาหารทะเลสำเร็จรูป (Take Home) ซูชิ (Sushi) อาหารทะเลสด (Fresh Seafood) และสินค้าชิลด์ (Chill) ในระบบ MAP (Modified Atmosphere Packaging)
นอกจากนี้ ภายในงานยังได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการอาหารในประเทศไทย โดยเนรมิตอาหารกล่อง “ข้าวผัดปูพรานทะเลไซส์ยักษ์” ขนาด 2 x 1.2 เมตร เพื่อเป็นสีสันสำหรับผู้ที่เข้าเยี่ยมชมภายในบูธด้วย
โดยบริษัทหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการบริหารจัดการแบบซัพพลายเชนและกิจกรรมส่งเสริมการตลาดจะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้และขึ้นแท่นเป็นผู้นำอาหารทะเลครบวงจรในประเทศไทยต่อไป นายอนุรัตน์ กล่าวสรุป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม:
เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์, เจดับบลิวที ประเทศไทย
เบญจพร บรรเจิดกิจ (เบญ) และประสิทธิ์ กฤษฎาอริยชน (บ็อบ)
โทร. 0-2204-8551, 0-2204-8216