กรุงเทพฯ--18 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร รวมทั้งหุ้นกู้ไม่มีประกัน (PS069A) และตั๋วแลกเงินของ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “BBB+” จากเดิมที่ระดับ “BBB” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Positive” หรือ “บวก” จากเดิม “Stable” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตสะท้อนความสามารถในการสร้างผลการดำเนินงานที่ดีเกินคาดอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการมีสถานภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของบริษัท นอกจากนี้ การให้อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงความเป็นผู้นำของบริษัทในตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและการมีโครงสร้างต้นทุนที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากผลของอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลงซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง รวมถึงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้าง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Positive” หรือ “บวก” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถรักษาสถานะที่แข็งแกร่งในตลาดที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยเอาไว้ได้ นอกจากนี้ การขยายตัวของจำนวนโครงการของบริษัท ตลอดจนการก่อสร้างบ้านในปริมาณมาก และการจัดซื้อที่เป็นระบบมากขึ้นน่าจะช่วยให้บริษัทสามารถลดแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยและต้นทุนค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นได้ อีกทั้งน่าจะทำให้บริษัทสามารถรักษาอัตรากำไรในระดับที่น่าพอใจเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 50% ต่อไปได้ในระยะปานกลาง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทเป็นหนึ่งในผู้นำของกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยซึ่งประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรสำหรับผู้มีรายได้น้อย บริษัทพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรประเภททาวน์เฮ้าส์และบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยใช้ผนังสำเร็จรูปและระบบก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปซึ่งเหมาะสำหรับการสร้างบ้านจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่แข่งขันได้ตั้งแต่ราคาหลังละ 0.6 ล้านบาทถึง 7 ล้านบาท บริษัทก่อตั้งในปี 2536 โดยนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในเดือนธันวาคม 2548 ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2548 น่าพอใจ โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 4,868 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 7,621 ล้านบาทในปี 2548 และมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลง 1% โดยอยู่ที่ 22% ในปี 2548 ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 11 เท่า นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของบริษัทก็ดีขึ้นเนื่องจากมีผลการดำเนินงานน่าพอใจและได้รับเงินเพิ่มทุนจากการเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะครั้งแรกซึ่งมีมูลค่ารวม 1,885 ล้านบาท
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การแข่งขันในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2549 คาดว่าจะอยู่ในระดับปานกลางเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่น้อยลงในขณะที่อุปสงค์ยังคงทรงตัวต่อไป ทั้งนี้ ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นจะส่งผลทำให้กำไรของผู้ประกอบการลดลง ในขณะเดียวกัน นโยบายการปล่อยกู้ที่เข้มงวดยิ่งขึ้นของธนาคารพาณิชย์น่าจะเป็นปัจจัยจำกัดการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลให้อัตราการเติบโตของอุปสงค์ในที่อยู่อาศัยชะลอตัวลง
สถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันอาจส่งผลกระทบในทางลบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์โดยรวมเนื่องจากผู้ซื้อบ้านอาจจะชะลอการตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ออกไป อย่างไรก็ตาม คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะบรรเทาลงในระยะสั้นและน่าจะมีผลกระทบต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพียงชั่วคราว หลังจากนั้น อุปสงค์ในที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะในตลาดสำหรับผู้มีรายได้ปานกลางถึงต่ำก็คาดว่าจะคืนสู่ภาวะปกติ ทริสเรทติ้งกล่าว