กรุงเทพฯ--25 ก.พ.--พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส
แคนนอนเผยผลงานปี 2552 เติบโตสวนทางภาวะเศรษฐกิจและจีดีพี ด้วยยอดขาย 6,883 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปี 2551
กวาดตำแหน่งผู้นำตลาดทั้งกลุ่มคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น และ บิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น
กลุ่มคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น รุกตลาดด้วยออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง
กลุ่มบิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น เน้นสร้างการบริการที่มีคุณค่าเพิ่ม เช่นการใช้ศูนย์บริการเป็นศูนย์ฝึกอบรมและโชว์รูม ขยายบริการหลังการขายด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ eMaintenance
เน้นกลยุทธ์ user centric ออกสินค้าใหม่หลากหลาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์
บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ
แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) ประกาศความพึงพอใจกับยอดขาย 6,883 ล้านบาท เติบโตทุกกลุ่มธุรกิจ นับเป็นการเติบโต 14% จากปี 2551 ทั้งนี้เนื่องมาจากการทำการตลาดที่ก้าวหน้า นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีระดับสูง รวมทั้งการตอบสนองตลาดอย่างรวดเร็ว
นายวาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) ได้เปิดเผยว่า “ในปีที่ผ่านมาแคนนอนสามารถฟันฝ่ามรสุมทางเศรษฐกิจมาได้อย่างสวยงาม ด้วยการทำงานหนักของทีมการตลาดและการบริหารภายในที่มีประสิทธิภาพ ปัจจัยที่ส่งให้ยอดขายเติบโตได้แก่การมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่น การส่งเสริมการขายและการโฆษณาที่เข้มแข็ง การปรับปรุงการบริการ และการใช้ช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ รวมถึงการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์”
สำหรับผลงานที่โดดเด่นในส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์อินฟอร์เมชั่น คือแคนนอนยังคงครองความเป็นผู้นำตลาดของพรินเตอร์แบบอิงค์เจทติดต่อกันมานาน 10 ปีในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดถึง 43% (ทั้งซิงเกิลฟังก์ชั่น และมัลติฟังก์ชั่นพรินเตอร์) และการขึ้นเป็นผู้นำในตลาดกล้องดิจิตอลอย่างเต็มตัว โดยแคนนอนเป็นผู้นำตลาดกล้องดิจิตอลดีเอสแอลอาร์ตั้งแต่ปี 2551 และครองแชมป์อีกในปี 2552 โดยมีส่วนแบ่งตลาด 61% สำหรับกล้องวิดิโอดิจิตอล เติบโตขึ้นโดยส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 2% ในปี 2551 เป็น 6.5% ในปี 2552
สำหรับส่วนงานบิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น ซึ่งมีการแข่งขันอย่างเข้มข้น แคนนอนยังเป็นผู้นำตลาดเครื่องถ่ายเอกสารดิจิตอลต่อเนื่องจากปี 2551 ด้วยส่วนแบ่งตลาด 20.4%
นายนิชิโอกะกล่าวว่า ในปี 2553 แคนนอนจะเน้นการนำบริษัทสู่ความเป็นเลิศในทุกๆด้านคือ ในด้านผลิตภัณฑ์ จะเน้นความเป็น user centric โดยทุกส่วนงานของแคนนอน จะออกสินค้าคุณภาพหลากหลายรุ่นเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ เป็นที่สังเกตว่าที่ผ่านมาความสำเร็จของแคนนอนเกิดจากการตอบสนองแนวโน้มใหม่ๆของผู้บริโภคในตลาด อย่างเช่นการที่ผู้บริโภคยกระดับจากการใช้กล้องพกพาหรือคอมแพคเป็นกล้องดีเอสแอลอาร์ เพราะต้องการคุณภาพที่เหนือระดับขึ้น หรือการใช้กล้องวิดีโอดิจิตอลความคมชัดระดับไฮเดฟินิชั่น (HD) สำหรับมืออาชีพที่สามารถบันทึกข้อมูลเป็นระบบแฟลชเมโมรี่ได้ ซึ่งกล้องแคนนอน เลอเกรีย เป็นผู้บุกเบิกตลาดนี้ และในกลุ่ม บิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น จะเป็นผู้นำเทรนด์ตลาดด้วยการออกผลิตภัณฑ์เครื่องถ่ายเอกสารดิจิตอลรุ่นใหม่อีกถึง 23 รุ่น เน้นความต้องการของผู้บริโภคด้วยการเพิ่มระบบการปฏิบัติงานและฟังก์ชั่นใหม่ๆ
ในด้านการทำตลาดเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ สำหรับส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น จะสานต่อแคมเปญ CANON, It Works ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอทีในสำนักงาน ซึ่งแคมเปญนี้ดำเนินมาเป็นปีที่ 3 แล้ว โดยในปีนี้จะขยายต่อในคอนเซ็ปต์ CANON It Works! Say it forward และในกลุ่มกล้องดิจิตอลจะทำกิจกรรมการตลาดเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ ได้แก่การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีไลฟ์สไตล์ต่างๆ เช่นการใช้ EOS พริวิเลจคลับ สร้างแฟนคลับให้กับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง
ในด้านการบริการ จะเน้นสร้างทีมขายที่เข้มแข็ง และสร้างการบริการที่มีคุณค่าเพิ่ม เช่นการใช้ศูนย์บริการเป็นศูนย์ฝึกอบรมและโชว์รูม โดยขยายเพิ่มศูนย์บริการให้ครบทุกภูมิภาค เช่นที่เชียงใหม่ ขอนแก่น และศูนย์บริการล่าสุดคือที่ภูเก็ตซึ่งเริ่มเปิดให้บริการเมื่อปีที่แล้ว และมีการทำการตลาดร่วมกับดีลเลอร์ เป็นต้น นอกจากนี้จะนำเทคโนโลยีอิเลคทรอนิกส์เข้ามาใช้ในการทำงานการจัดส่งสินค้า และการบริการหลังการขายแบบ eMaintenance อีกด้วย
นายนิชิโอกะยังกล่าวว่าการเติบโตของแคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) นั้นโดดเด่นในกลุ่มภูมิภาคเอเชียใต้ซึ่งหมายถึง สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย และอินเดีย นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับ จีดีพีของประเทศไทยซึ่งในปี 2552 เศรษฐกิจติดลบ 2.3% ก็เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่แคนนอนภาคภูมิใจ
นายนิชิโอกะยังเสริมว่ามีความเชื่อมั่นว่าในปี 2553 นี้เนื่องจากเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว และจีดีพีของประเทศไทยก็ได้รับการประมาณการว่าจะอยู่ที่ 3.0 — 5.0% จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้สูงกว่าปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 8,000 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงจะเติบโตจากปี 2552 ประมาณ 16%
นอกจากความสำเร็จด้านยอดขายแล้ว นายนิชิโอกะกล่าวว่าบริษัทยังมุ่งเน้นตอบแทนสังคมตามปรัชญา เคียวเซ ของแคนนอน ซึ่งหมายถึง “การใช้ชีวิตและการทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม” ด้วยโครงการ “พลังงานสีขาว เพื่อโลกสีเขียว” เพื่อติดตั้งกังหันลมผลิตไฟฟ้าให้กับโรงเรียนในชนบท ซึ่งในปีนี้จะเปิดโอกาสให้ประชาชนและชุมชนในท้องถิ่นนั้นๆมีส่วนร่วมกับโครงการมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังดำเนินกิจกรรมด้านสังคมในรูปแบบอื่นๆไม่ว่าจะเป็นการให้การสนับสนุนด้านการศึกษา กีฬา และวัฒนธรรมอีกด้วย
แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์)
แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2537 เป็นสาขาของบริษัทแคนนอน อิงค์ ญี่ปุ่น มีพนักงานกว่า 500 คน สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบริการด้านอุปกรณ์ภาพถ่ายและเครื่องใช้สำนักงานประกอบด้วยแผนกขายตรงและตัวแทนจำหน่าย และศูนย์บริการ 160 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ แคนนอนมีความมุ่งมั่นในการค้นคว้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง จัดสรรงบประมาณ 10% ของรายได้รวมเพื่อการวิจัยและพัฒนาทุกปี อีกทั้งยังเป็นบริษัทที่มีการจดสิทธิบัตรมากที่สุด 3 อันดับแรกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ แคนนอนยังเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Fortune Global 500 และด้วยความยึดมั่นในหลักปรัชญา “เคียวเซ (Kyosei)” ที่หมายถึงการใช้ชีวิตและการทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์สุขของส่วนรวม แคนนอนจึงมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ใช้งานง่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ชีวิตทั้งที่บ้านและที่ทำงาน
(ข้อมูลเพิ่มเติม www.canon.co.th)
รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด
ปฐนียา ศิริประพฤทธิ์ โทร. 0 2344 9999 ต่อ 134
Pataneeya_Siripraprut@cmt.canon.co.th
บริษัท พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส จำกัด
ปิยะภัทร์ สุริยศักดิ์ โทร.0 2651 8989 ต่อ 442 E-mail: piyapatr@prassociates.net
พิมพ์ลดา วรชาติทวีชัย โทร. 0 2651 8989 ต่อ 443 E-mail: pimlada@praassociates.net
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 026518989 PR&Associates