กรุงเทพฯ--26 ก.พ.--ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ใน ปี 2552 บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ("MINT") มีรายได้ 17,291 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 ขณะที่มีกำไรสุทธิ 1,400 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26 อย่างไรก็ตาม โดยในปี 2552 รายได้จากธุรกิจอาหารซึ่งคงความแข็งแกร่ง และเริ่มมีการรับรู้รายได้จากการเข้าถือหุ้นในบริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ("MINOR") มีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้ ธุรกิจโรงแรมของ MINT ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหดตัวลงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศ อันเนื่องมาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกและความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ ในปี 2552 ธุรกิจโรงแรมของ MINT ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตการณ์ดังกล่าว ทำให้อัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยของโรงแรมทั้งหมดในเครือ ลดลงจากร้อยละ 65 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 52 รายได้จากธุรกิจโรงแรม (รวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจโรงแรม) ลดลงร้อยละ 18 ทำให้กำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ปรับตัวลดลงร้อยละ 26 เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาผลการดำเนินในไตรมาส 4 ปี 2552 แล้วจะพบว่า เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรมชัดเจน กล่าวคือ อัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นจากร้อยละ 54 เป็น ร้อยละ 58 ขณะที่รายได้ธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสัญญาณการฟื้นตัวของการเดินทางและการท่องเที่ยวดังกล่าว ทำให้เชื่อได้ว่าของธุรกิจโรงแรมของ MINT น่าจะกลับมาสร้างผลกำไรที่ดีในปี 2553 นี้ โดยในปีที่ผ่านมา MINT ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการกลับมาฟื้นตัวของอุตสากรรมการท่องเที่ยว โดยดำเนินการปรับปรุงห้องพักและพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ในโรงแรม นอกจากนี้ ยังได้ลงนามในสัญญารับจ้างบริหารงานโรงแรมเพิ่มเติมอีก 9 แห่ง และดำเนินการก่อสร้างโรงแรมที่บริษัทลงทุนเอง 2 แห่ง อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปีนี้ ซึ่งได้แก่ เซ็นต์ รีจิส โฮเท็ล กรุงเทพ และ อนันตรา คีฮาวา ที่มัลดีฟส์ ซึ่งโรงแรมทั้ง 2 แห่งจะมีส่วนสบับสนุนการเติบโตและสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจโรงแรมของบริษัท ในปีนี้ ในปี 2552 ที่ผ่านมา ธุรกิจอาหารของ MINT ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการบรรเทาผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจโรงแรมของบริษัท ด้วยการขยายสาขาใหม่เพิ่มอีก 69 สาขา ทำให้รายได้รวมของธุรกิจอาหาร (รวมส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจอาหาร) เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 และกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) เพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 35 เนื่องจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ในประเทศไทย ไทยเอ็กซ์เพรส ในสิงคโปร์ และเดอะ คอฟฟี่ คลับ ในออสเตรเลีย โดย แบรนด์ ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะ คอฟฟี่ คลับ เป็นแบรนด์ที่ MINT เข้าลงทุนในปี 2551 มีผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาดีกว่าที่คาดหมายไว้ ความสำเร็จจากการเข้า ลงทุนในธุรกิจอาหารทั้ง 2 ทำให้ MINT ยังคงแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในการลงทุนในแบรนด์ธุรกิจอาหารที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง และมีศักยภาพในการขยายธุรกิจออกไปในตลาดทั่วภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ จากการที่ MINT เข้าถือหุ้นใน MINOR สัดส่วนร้อยละ 99.92 ในไตรมาส 2 ปี 2552 ทำให้ MINT มีรายได้จากการจัดทำงบการเงินรวมกับ MINOR ในช่วงครึ่งปีหลัง เพิ่มเติมเข้ามาถึง 1,379 ล้านบาท ทั้งนี้ การเข้าถือหุ้นใน MINOR มีส่วนช่วยกระจายแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายมากขึ้น โดยครอบคลุมเพิ่มเติมไปยังธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นเครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำ และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า ณ ปัจจุบัน MINT เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์ไตล์แบรนด์ชั้นนำ ได้แก่ Esprit Bossini Tumi Charles & Keith และ Gap
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมและมีโรงแรมของตนเอง ทั้งสิ้น 20 โรงแรม ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา แมริออทส์ โฟร์ซีซั่นส์ เอเลวาน่า และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเทศไทย มัลดีฟส์ เวียดนาม และแอฟริกา อีกทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไมเนอร์ ฟูด กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ประกอบไปด้วยร้านอาหารกว่า 1,100 สาขา ภายใต้เครื่องหมายการค้า เดอะ พิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะ คอฟฟี่ คลับ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าโดยมีโรงงานเป็นของตัวเอง โดยเครื่องหมายการค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบันได้แก่ เอสปรี เรดเอิร์ธ บอสสินี่ ชาร์ลสแอนด์คีธ บลูม ลาเนจ สแมชบ็อกซ์ ทูมี่ เฮงเคล ไทม์ไลฟ์ และเวิลด์บุ๊ค นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม ปี 2552 MINT ได้รับการยอมรับจากนิตยสารเอเชียมันนี่ว่าเป็นบริษัทที่มีการจัดการดีเยี่ยมในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขนาดกลางของประเทศไทย (Best Managed Medium Cap Company) สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com