กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--บ้านปู
บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) บริษัทพลังงานแห่งเอเชียที่มีความฉับไว เชื่ออุตสาหกรรมถ่านหินจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไปอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า ดังนั้นจึงมุ่งเน้นการพัฒนาและขยายธุรกิจถ่านหินให้มีศักยภาพมากขึ้นในอีก 5-6 ปีข้างหน้า
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวประจำปีว่าตามแผนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจระยะยาว (2553-2558) บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการขยายและพัฒนาธุรกิจถ่านหินมากขึ้น โดยขยายการเติบโตทั้งจากการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพสินทรัพย์ที่มีอยู่เดิม และจากการเข้าซื้อหรือลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ เนื่องจากเชื่อว่าอุตสาหกรรมถ่านหินจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไปอีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ถ่านหินยังเป็นธุรกิจที่บ้านปูฯ มีความชำนาญและมองว่าจะสามารถต่อยอดจากจุดแข็งที่มีอยู่ได้
“ในปีนี้ บริษัทฯ ได้จัดสรรงบลงทุนประมาณ 96 ล้านเหรียญสหรัฐจากงบลงทุนในแผนกลยุทธ์ระยะยาวทั้งหมดจำนวน 466 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อใช้ในการพัฒนาและขยายธุรกิจถ่านหินที่มีอยู่ในปัจจุบัน แบ่งเป็นการลงทุนในประเทศอินโดนีเซีย 75 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับใช้ในการพัฒนาเหมืองบารินโต การศึกษาเพื่อพัฒนาเหมืองถ่านหินใต้ดินที่เหมืองอินโดมินโค และทรูบาอินโด การขยายท่าเรือบอนตัง การก่อสร้างสายพานขนถ่านหินของเหมืองอินโดมินโค และที่เหลืออีกจำนวน 21 ล้านเหรียญสหรัฐจะใช้สำหรับการพัฒนาเหมืองเกาเหอ และการขยายเหมืองเฮ่อปี้ ในประเทศจีน” นายชนินท์ กล่าว
ในปี 2553 บ้านปูฯ ตั้งเป้าหมายการผลิตและจำหน่ายถ่านหินจากอินโดนีเซียที่จำนวน 23 ล้านตัน จาก 21.6 ล้านตันในปีที่ผ่านมา โดยปริมาณถ่านหินที่เพิ่มขึ้นมาจากแหล่งผลิตถ่านหินใหม่ 2 จุด คือ พื้นที่ผลิตทิศตะวันออก (East Block) ของเหมืองอินโดมินโค และพื้นที่ผลิตถ่านหินทางทิศใต้ของเหมืองทรูบาอินโด นอกจากนี้ยังมีการผลิตถ่านหินเพิ่มขึ้นจากเหมืองบารินโตซึ่งมีกำหนดการผลิตเชิงพาณิชย์ในปลายปีนี้อีกประมาณ 2 แสนตัน สำหรับในประเทศจีน โครงการเกาเหอ ซึ่งเป็นเหมืองถ่านหินใต้ดินตั้งในอยู่มณฑลซานซีมีกำหนดจะแล้วเสร็จและเริ่มดำเนินการผลิตถ่านหินในไตรมาส 3 ของปีนี้ ที่ประมาณ 1.5 ล้านตัน ซึ่งจะทำให้จำนวนการผลิตถ่านหินในประเทศจีนของบ้านปูฯ ตามสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 3. ล้านตันจากปีที่แล้วที่ 2.8 ล้านตันอีกด้วย
อย่างไรก็ตามแม้ว่าปริมาณขายถ่านหินในปีนี้จะเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของบริษัทฯ ในปี 2553 จะปรับตัวลดลงจาก 71.7 เหรียญสหรัฐต่อตัน ในปี 2552 อันเป็นผลจากภาวะราคาตลาด ทั้งนี้บริษัทฯ ได้ขายถ่านหินกำหนดราคาแล้วประมาณร้อยละ 50 และค่อยทยอยกำหนดราคาตามการตกลงกับลูกค้าในส่วนที่เหลือของปี ซึ่งเชื่อว่าราคาถ่านหินในตลาดโลกยังมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้น
“จากการที่ราคาขายถ่านหินเฉลี่ยของปีนี้จะต่ำกว่าปี 2552 ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งขึ้น จึงคาดว่ารายได้จากการขายรวมของปีนี้จากทั้งธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้าจะใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า (2552) ที่ประมาณ 5.7 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ในส่วนของธุรกิจไฟฟ้า บริษัทฯ จะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้าบีแอลซีพีลดลงในปีนี้ซึ่งเป็นไปตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า” นายชนินท์กล่าวเพิ่มเติม
นายชนินท์ยังกล่าวอีกว่า นอกจากธุรกิจถ่านหินและธุรกิจไฟฟ้าแล้ว บ้านปูฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนไปในธุรกิจพลังงานทดแทน โดยได้กำหนดแนวทางให้ธุรกิจดังกล่าวมีสัดส่วนที่ชัดเจนในมูลค่าธุรกิจรวมของบริษัทฯ โดยขณะนี้บริษัทฯ กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของพลังงานทางเลือก 2 — 3 ชนิด เช่น พลังงานชีวมวล พลังงานลม หรือพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งคาดว่าน่าจะได้เห็นการลงทุนของบริษัทฯ ในโครงการพลังงานทดแทนภายในปีนี้