โครงการเฝ้าระวังและรักษาคุณภาพอนาคตเยาวชนไทย

ข่าวทั่วไป Friday March 5, 2010 11:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--5 มี.ค.--เอแบค ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอแบค) เสนอผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง โครงการเฝ้าระวังและรักษาคุณภาพอนาคตเยาวชนไทย : กรณีศึกษาตัวอย่างเด็กและเยาวชนไทยอายุ 9-18 ปี ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และสงขลา ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายวิชาการเพื่อสังเกตการณ์และวิจัยความสุขชุมชน หรือศูนย์วิจัยความสุขชุมชน (Academic Network for Community Happiness Observation and Research, ANCHOR) มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลวิจัย “เอแบคเรียลไทม์โพลล์” ที่เป็นการสำรวจจากครัวเรือนที่สุ่มตัวอย่างได้ทั่วประเทศตามหลักสถิติแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น โดยครั้งนี้ได้ทำการสำรวจเรื่อง โครงการเฝ้าระวังและรักษาคุณภาพอนาคตเยาวชนไทย กรณีศึกษาตัวอย่างเด็กและเยาวชนไทย อายุ 9-18 ปี ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,060 ตัวอย่าง โดยมีระยะเวลาการดำเนินโครงการระหว่าง กุมภาพันธ์ — มีนาคม 2553 ผลการสำรวจพบว่า กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่กลุ่มเด็กและเยาวชนได้ทำในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่หรือร้อยละ 86.6 ระบุเล่นกีฬา รองลงมาร้อยละ 84.6 ระบุอ่านหนังสือ/เข้าห้องสมุดและกิจกรรมทางศาสนา ทำบุญ/บริจาคทาน ร้อยละ 81.6 ระบุช็อปปิ้ง เที่ยวห้างสรรพสินค้า ร้อยละ 78.5 ระบุทำกิจกรรมเพื่อสังคมสาธารณะประโยชน์ และรองๆ ลงมาคือ ท่องเที่ยวตามแหล่งธรรมชาติ ชมภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ เล่นดนตรี ดูการแสดงดนตรี/คอนเสิร์ต และเรียนพิเศษ ตามลำดับ ส่วนกิจกรรมเชิงลบที่กลุ่มเด็กและเยาวชน ทำในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 73.3 เล่นเกมคอมพิวเตอร์/เกมกด/เกมเพลย์ (ที่ไม่ใช่เกมออนไลน์) รองลงมาร้อยละ 29.2 เที่ยวกลางคืน เช่น ผับ /ดิสโก้/คาราโอเกะ ร้อยละ 28.6 หนีเรียน /ไม่ไปเรียน และร้อยละ 24.4 เล่นทายพนัน/เล่นหวย ดร.นพดล กล่าวต่อว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ ผลวิจัยตามหลักสถิติประมาณการจำนวนเด็กและเยาวชนอายุระหว่าง 9-18 ปีในกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ชลบุรี ขอนแก่นและสงขลาที่เป็นกลุ่มเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 1,764,419 คนหรือกว่า 1.7 ล้านคน พบว่ามีผู้เคยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีจำนวนทั้งสิ้น 619,311 คน (ประมาณหกแสนคน) และยังพบว่าจำนวน 310,538 หรือกว่าสามแสนคนเคยใช้ยาเสพติดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ จากการวิเคราะห์ค่าสถิติวิจัยด้วยค่า Odds Ratio ทำให้เห็นพฤติกรรมการใช้ยาเสพติดในกลุ่มเด็กและเยาวชนอย่างชัดเจน ดังต่อไปนี้ เด็กและเยาวชนที่สูบบุหรี่ มีความเสี่ยงในการใช้ยาเสพติดสูงถึงประมาณ 9 เท่า หรือ 8.692 เท่ามากกว่า เด็กและเยาวชนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ เด็กและเยาวชนที่เล่นทายพนัน มีความเสี่ยงในการใช้ยาเสพติดสูงถึง 6.735 เท่ามากกว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้เล่นทายพนัน เด็กและเยาวชนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ ไวน์ มีความเสี่ยงในการใช้ยาเสพติดสูงถึง 4.080 เท่ามากกว่า กลุ่มเด็กและเยาวชนที่ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เด็กและเยาวชนที่พฤติกรรมเที่ยวกลางคืน อาทิ ผับ/ดิสโก้/คาราโอเกะ มีความเสี่ยงในการใช้ยาเสพติดถึง 3.647 เท่ามากกว่าเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้เที่ยวกลางคืน ในขณะที่เด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมหนีเรียน มีความเสี่ยงในการใช้ยาเสพติดสูงถึง 2.743 เท่ามากกว่าเด็กและเยาวชนที่ไม่ได้มีพฤติกรรมหนีเรียน และเมื่อสอบถามความคิดเห็นของเด็กและเยาวชน เกี่ยวกับการกลับมาแพร่ระบาดของยาเสพติด พบว่าตัวอย่างกว่าครึ่งหรือร้อยละ 59.2 คิดว่ายาเสพติดกลับมาแล้ว มีเพียงร้อยละ 5.8 เท่านั้นที่คิดว่ายาเสพติดยังไม่กลับมา และร้อยละ 35.0 ไม่ทราบ นอกจากนี้กลุ่มเด็กและเยาวชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 57.8 ระบุเธค /ผับ /สถานบันเทิง เป็นแหล่งแพร่ระบาดของยาเสพติดในปัจจุบัน รองลงมาร้อยละ 31.2 ระบุบริเวณใกล้เคียงกับชุมชนที่พักอาศัย ร้อยละ 30.8 ระบุโรงเรียน /สถานศึกษา ร้อยละ 29.7 ระบุในชุมชนที่พักอาศัย และร้อยละ 19.0 ระบุสถานที่ก่อสร้าง ตามลำดับ ผอ.ศูนย์วิจัยความสุขชุมชน กล่าวต่อว่า ผลวิจัยครั้งนี้ยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า ปัญหายาเสพติดได้กลับฟื้นคืนชีพมารุนแรงเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในอดีต โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ดังนั้นจึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ท้าทายรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้สาเหตุสำคัญที่น่าจะเป็นองค์ประกอบในการกลับมาของยาเสพติดในครั้งนี้ คือ ประการแรก ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสังคมที่แก้ไขได้ยากอยู่แล้ว เมื่อเกิดขึ้นในสังคมชุมชนที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ย่อมทำให้ปัญหายาเสพติดกลายเป็นเป็นปัญหาสังคมที่แก้ไขได้ยากมากยิ่งขึ้น ถ้าขาดความต่อเนื่องเอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหาทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นชุมชน ก็จะส่งผลให้ผลประโยชน์ไปตกอยู่กับขบวนการค้ายาเสพติดและเจ้าหน้าทื่รัฐที่เกี่ยวข้อง ในขณะที่ความเดือดร้อนไปตกอยู่ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง ตัวเด็ก และประชาชนทั่วไป ประการที่สอง การทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถตอบสนองนโยบายได้เต็มที่ ครบวงจร และรวมเป็นเนื้อเดียวกับประชาชนในระดับชุมชนท้องถิ่นเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดร่วมกันได้ มีการทำงานที่มุ่งเน้นแต่เรื่องปราบปรามอย่างเดียว จึงไม่สามารถแก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมได้อย่างยั่งยืน ประการที่สาม การติดตามข้อมูลข่าวสาร หรือเบาะแสที่ได้รับจากประชาชน ของเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับท้องที่ในชุมชนยังไม่มีระบบติดตามแก้ปัญหาแบบถอนรากถอนโคนให้หมดไปได้ รวมทั้งไม่มีความรวดเร็วฉับไวต่อการแจ้งข่าวสารของประชาชน ส่งผลให้ประชาชนขาดความไว้เนื้อเชื่อใจการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐระดับท้องที่ในชุมชนของตนเอง ประการที่สี่ การแก้ปัญหายาเสพติดในภาคประชาชนยังไม่เข้มแข็งเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงเวลาสองถึงสามปีที่ผ่านมา เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแตกแยกของผู้คนในสังคม ส่งผลทำให้ความสัมพันธ์ของคนในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่กรุงเทพมหานครและจังหวัดหัวเมืองใหญ่ที่มักจะเป็นแบบต่างคนต่างอยู่แล้ว ยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของประชาชนในชุมชนกลับแย่และเลวร้ายลงไปอีก ผลวิจัยของศูนย์วิจัยความสุขชุมชนที่ผ่านมาหลายครั้งสะท้อนให้เห็นว่า ความร่วมมือกันในการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติดและปัญหาอาชญากรรมของภาคประชาชนมีน้อยมากจนถึงขั้นไม่ยอมช่วยเหลือกันเลย ส่งผลให้ปัญหายาเสพติดกลับมาเป็นปัญหาใหญ่ที่มีขบวนการค้าและอิทธิพลผลประโยชน์เกินขอบเขตความสามารถของภาคประชาชนจะจัดการเองได้เพียงลำพัง ดังนั้น แนวทางแก้ไขที่น่าจะเป็นไปได้ คือทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ควรมุ่งเน้นไปที่การทำให้ประชาชนรับรู้ เข้าใจ ตระหนัก ยึดมั่นผูกพัน แก้ไขปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมในชุมชนร่วมกัน และกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่รัฐรวดเร็วฉับไวต่อการร้องเรียนแจ้งเบาะแสจากประชาชน ยิ่งเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนมีความใกล้ชิดใส่ใจต่อกันมากเท่าใด ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมน่าจะลดลงได้ไม่ยากนัก นอกจากนี้ รัฐบาลควรเน้นทรัพยากรและงบประมาณไปที่การบำบัดรักษาและฟื้นฟูคุณภาพประชาชนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและปัญหาอาชญากรรม ให้มีการศึกษาที่ดีมีอาชีพการงานสุจริตไม่ผิดต่อสังคมและผู้อื่น ชี้แนะให้ประชาชนรู้จักบริหารจัดการสุขภาพใจ สุขภาพกายของตนเอง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น มากกว่าการมุ่งเน้นทรัพยากรและงบประมาณไปที่การปราบปรามเพราะจะทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน และต้องยกปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” อีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำให้กลไกต่างๆ ของรัฐทั้งกระบวนการทำงานกันได้อย่างบูรณาการทุกหน่วยงานเชื่อมประสานกับการหนุนเสริมความเข้มแข็งภาคประชาชนอย่างเป็นระบบทีมงานเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง ลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง จากการพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่าตัวอย่างร้อยละ 50.0 เป็นหญิง ร้อยละ 50.0 เป็นชาย ตัวอย่างร้อยละ 33.0 อายุ 9-12 ปี ร้อยละ 34.1 อายุ 13-15 ปี และร้อยละ 32.9 อายุ 16-18 ปี ตัวอย่างร้อยละ 32.4 ศึกษาในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 32.8 กำลังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 18.4 ศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ร้อยละ 12.5 ศึกษาในระดับปวช. ในขณะที่ร้อยละ 3.9 ระบุระดับการศึกษาอื่นๆ อาทิ ปวส. /อนุปริญญา/ ปริญญาตรี และเมื่อสอบถามถึงการพักอาศัยในปัจจุบันนั้นพบว่า ร้อยละ 73.1 พักอาศัยอยู่กับพ่อและแม่ รองลงมาร้อยละ 9.7 พักอาศัยอยู่กับญาติผู้ใหญ่/ผู้ปกครอง ร้อยละ 7.8 พักอาศัยอยู่กับแม่ ร้อยละ 3.9 พักอาศัยอยู่กับพ่อ ร้อยละ 2.5 พักอาศัยกับเพื่อน/คนรู้จัก 3.0 ระบุอื่นๆ อาทิ พักอาศัยอยู่กับแฟน/คู่รัก /อยู่ตามลำพังคนเดียว และพักอาศัยอยู่กับพี่/น้องตามลำดับ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ