คต. จัดสัมมนา “ส่งออกสดใสภายใต้ AFTA/FTA อาเซียน-อินเดีย และ อาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์” ณ จังหวัดขอนแก่น

ข่าวทั่วไป Thursday March 11, 2010 15:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--11 มี.ค.--คต. นายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า กรมการค้าต่างประเทศได้จัดสัมมนาเรื่อง “ส่งออกสดใสภายใต้ AFTA/FTA อาเซียน-อินเดีย และอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์” ในวันพฤหัสบดีที่ 11 มีนาคม 2553 ณ ห้องออคิดบอลรูม โรงแรมพูลแมน ขอนแก่น ราชา ออคิด จังหวัดขอนแก่น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการและผู้สนใจได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากความตกลง ตลอดจนมาตรการและความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรี (กองทุน FTA) ซึ่งการสัมมนา ดังกล่าวมีผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้ส่งออกในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดใกล้เคียง ให้ความสนใจเข้ารับฟังการสัมมนาในครั้งนี้กว่า 150 คน นายวิจักร กล่าวเพิ่มเติมว่า โดยที่จังหวัดขอนแก่น เป็นจังหวัดใหญ่และเป็นเมืองยุทธศาสตร์ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นศูนย์กลางขนส่งและกระจายสินค้า อีกทั้งยังได้เปรียบในด้านที่ตั้ง ซึ่งอยู่ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณจุดตัดของเส้นทางขนส่งสินค้าสายหลักของประเทศ 2 สาย คือ ทางหลวงหมายเลข 2 และทางหลวงหมายเลข 12 ภายใต้โครงข่ายพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจแนวตะวันออก — ตะวันตก (East — West Economic Corridor : EWEC) ที่เชื่อมระหว่างพม่า —ไทย — ลาว — เวียดนาม ทำให้จังหวัดขอนแก่นมีความพร้อมที่จะเป็นประตูเศรษฐกิจในการส่งสินค้าต่อไปยังจีนตอนใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน จึงนับเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จะเสริมศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ สามารถขยายการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ โดยใช้ประโยชน์ภายใต้เขตการค้าเสรีได้อย่างสูงสุด เขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area : AFTA) ได้ลดภาษีนำเข้าระหว่างกันเป็นศูนย์แล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 โดยสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ จะเป็นฐานการผลิตและเป็นตลาดเดียวกันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) ในปี 2558 หรือในอีก 5 ปี ข้างหน้า อาเซียนจึงนับเป็นตลาดส่งออกสำคัญของไทย โดยในปี 2552 มีมูลค่าประมาณ 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าที่ไทยส่งออกโดยใช้สิทธิภายใต้ AFTA สูงได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ รถปิกอัพ รถจักรยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และ อาหารปรุงแต่ง เป็นต้น สำหรับตลาดอาเซียนที่ไทยส่งออกโดยใช้สิทธิพิเศษฯ สูง 3 อันดับแรก คือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย นอกจาก อาเซียนแล้ว ไทยยังได้ทำความตกลงการค้าเสรีอาเซียน - อินเดีย (ASEAN- India Free Trade Agreement : AIFTA) โดยมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ ไทยได้ทำ FTA สองฝ่ายกับอินเดีย แต่ครอบคลุมสินค้าเพียง 82 รายการ ที่สองประเทศเห็นว่าควรจะเร่งลดภาษีเป็นศูนย์ก่อน การที่ไทยได้ขยายการทำความตกลง FTA เป็นอาเซียน- อินเดีย โดยครอบคลุมสินค้ากว่า 4,700 รายการ จึงนับเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายการค้า เนื่องจากอินเดียเป็นตลาดใหญ่ ที่มีประชากรกว่าพันล้านคน โดยในปี 2552 ไทยกับอินเดีย มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 4,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สินค้าสำคัญที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์และของใช้ตกแต่งบ้าน อัญมณีและเครื่องประดับ ด้ายและเส้นใยสังเคราะห์ เป็นต้น สำหรับความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Area : AANZFTA) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 12 มีนาคม นี้ จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์เพิ่มเติม จากการที่ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ เปิดตลาดเพิ่มมากขึ้น/เร็วขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสิ่งทอและครื่อง นุ่งห่ม ซึ่งเป็นสินค้าที่มีศักยภาพในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองเท้า กระเป๋าหนัง ชิ้นส่วนยานยนต์ เคมีภัณฑ์และอุปกรณ์ไฟฟ้า เมื่อเปรียบเทียบกับการเปิดตลาดภายใต้ FTA ไทย-ออสเตรเลีย และไทย-นิวซีแลนด์ นอกจากนี้ ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ยังช่วยให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกที่จะนำเข้าวัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำจาก 12 ประเทศ คือ อาเซียน 10 ประเทศและออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ มาขอใช้สิทธิภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ได้ นายวิจักร กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2553 กรมการค้าต่างประเทศมีโครงการที่จะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์โดยการจัดสัมมนาเพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการในการใช้สิทธิประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการที่ประเทศคู่ค้าได้เปิดตลาดภายใต้ความตกลง FTA ต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ผู้ประกอบการและผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการสัมมนาได้ที่ www.dft.go.th หรือสอบถามที่สำนักสิทธิประโยชน์ทางการค้า กรมการค้าต่างประเทศ ผ่านทางสายด่วน 1385

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ