กรุงเทพฯ--11 มี.ค.--ปอร์เช่ เอจี
ปอร์เช่ เอจี เปิดตัวรถสปอร์ตเอนกประสงค์ คาเยนน์ เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดสู่สายตาชาวโลกอย่างเป็นทางการต้นเดือนมีนาคมนี้ที่ งานเจนีวามอเตอร์โชว์
จุดเด่นของนวัตกรรมยานยนต์คาเยนน์เจเนอเรชั่นใหม่นี้คือ ระบบเครื่องยนต์แบบพาราเรลที่รวมเอาทั้งระบบเครื่องยนต์แบบไฮบริดและระบบเครื่องยนต์น้ำมันเชื้อเพลิงควบคู่กันไว้ในเครื่องยนต์ของคาเยนน์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ ซึ่งทำให้อัตราการบริโภคเชื้อเพลิงนั้นมีอัตราอยู่แค่เพียง 8.2 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และอัตรา CO2 emissions อยู่ที่ 193 กรัมต่อกิโลเมตรเพียงเท่านั้น (ตามมาตรฐานยุโรป) คาเยนน์ เอส ไฮบริด รถยนต์สปอร์ตเอนกประสงค์รุ่นใหม่ล่าสุดที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบไฮบริดนี้คือได้มีการรวบรวมเอาสมรรถนะเครื่องยนต์ขนาด 8 สูบกับขนาด 6 สูบเข้าไว้ด้วยกันและพร้อมจะอำนวยการประหยัดน้ำมันไว้ได้อย่างน่าประทับใจ
นอกเหนือไปจากรุ่น Cayenne S Hybrid ที่เปิดตัวนี้แล้ว ในรุ่นอื่นๆ ของคาเยนน์เจเนอเรชั่นใหม่นี้จะเต็มไปด้วยสมรรถนะเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพที่ดีเลิศไม่เหมือนใครในตลาดรถ SUV นี้อีกด้วย ซึ่งเมื่อได้ทำการเปรียบเทียบกับคาเยนน์ในรุ่นก่อนนั้น อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นลดลงกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ และอีกหนึ่งเหตุผลที่คาเยนน์ใหม่นี้มีสมรรถนะเครื่องยนต์ที่เหนือกว่ามาจากการพัฒนาตามหลักปรัชญาของปอร์เช่ที่เรียกว่า “Porsche Intelligent Performance” ที่เน้นหลักการในการพัฒนาเครื่องยนต์ที่จะอำนวยขุมพลังที่เพิ่มขึ้นแต่กินน้ำมันน้อยลง เครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพเหนือกว่า พร้อมค่า CO2 emissions ที่ต่ำลงนั่นเอง
จากเป้าหมายนี้ทำให้เกิดเทคโนโลยีอันทันสมัยและทรงประสิทธิภาพขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นระบบเกียร์อัจฉริยะ Tiptronic S 8 สปีดที่มาพร้อมกับระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ (Auto Start Stop) และอัตราทดเกียร์ที่ดีขึ้น ระบบควบคุมความร้อนของเครื่องยนต์และระบบการส่งผ่านความเย็น ระบบ On-board network recuperation ระบบ variable engine cut-off และโครงสร้างที่เบาบางอย่างอัจฉริยะ
ต้องขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีน้ำหนักที่เบาบางและเปลี่ยนรูปแบบและแนวคิดโดยรวมของตัวรถไป เช่น ระบบขับเคลื่อนทุกล้อด้วยน้ำหนักที่เบาบาง ทำให้น้ำหนักของตัวรถ Cayenne S นี้ลดลงกว่า 180 กิโลกรัมหรือ 400 Ib และด้วยน้ำหนักตัวรถที่เบาบาง ทำให้มาตรฐานความปลอดภัยนั้นเพิ่มมากขึ้นตามไปอีกด้วย ซึ่งข้อดีเหล่านี้ส่งผลให้คาเยนน์ไม่เพียงแต่จะประหยัดน้ำมันขึ้นเพียงเท่านั้นแต่ยังส่งผลให้ตัวรถและเครื่องยนต์มีเสถียรภาพในการขับขี่มากขึ้นและเกาะถนนมากขึ้นอีกด้วย
ประโยชน์ที่ได้จากจุดเด่นและเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้อำนวยให้คาเยนน์ใหม่นี้มีการขับเคลื่อนทั้งในรูปแบบ On-road และ Off-road ได้อย่างสนุกสนานและสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น เพิ่มความสะดวกสบายและความหรูหราอย่างเหนือระดับ รูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในได้รับการออกแบบใหม่เพิ่มความหรูหราพร้อมความเป็นสปอร์ตให้มากขึ้น ด้วยการนำเอาแนวคิดการออกแบบต่างๆของปอร์เช่รุ่นอื่นๆที่เป็นจุดเด่นแห่งความเป็นปอร์เช่มาผสมผสานให้มีความลงตัวอย่างสวยงามในคาเยนน์ใหม่นี้ และนี่คือคำตอบที่ลงตัวของความเป็นรถสปอร์ตในรูปลักษณ์สายพันธุ์ออฟโรดจากปอร์เช่
สำหรับความกว้างของห้องผู้โดยสารภายในนั้นเพิ่มมากขึ้นด้วยขนาด wheelbase ที่ขยายขึ้นกว่า 40 มิลลิเมตร หรือ ยาวขึ้น 1.6 นิ้ว ซึ่งหมายความว่าคาเยนน์ใหม่นี้จะมีขนาด 48 มิลลิเมตรหรือ 1.9 นิ้วยาวกว่ารุ่นเดิม ถึงแม้รูปลักษณ์ภายนอกจะมีขนาดที่ใหญ่ขึ้นแต่ความเป็นเอกลักษณ์ของรูปลักษณ์ความเป็นปอร์เช่นั้นยังคงอยู่ ความสวยงามของภายในคือจุดเด่นที่ต้องจับตามอง เพราะรูปลักษณ์ของห้องผู้โดยสารภายในถูกสร้างขึ้นด้วยอุปกรณ์คุณภาพสูง เช่น คอนโซลกลางที่ได้รับการออกแบบให้คล้ายกับห้องโดยสารของนักบินด้วยการยกขึ้นและเชื่อมต่อกับกล่องเกียร์ได้อย่างลงตัว เบาะหลังยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ 3 ทิศทาง สามารถเอนไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังได้มากขึ้นกว่า 160 มิลลิเมตรหรือ 6.3 นิ้ว เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้โดยสารอีกด้วย
คาเยนน์ใหม่จะเริ่มเปิดตัวอย่างเป็นทางการในยุโรปวันที่ 8 พฤษภาคมนี้และจากนั้นจะเริ่มทะยอยจำหน่ายให้กับลูกค้าทุกท่าน รุ่นที่จะมีขายเริ่มต้นจากรุ่นขนาดเครื่องยนต์ 3.6 ลิตร หรือ V6 ซึ่งในรุ่นนี้มีขุมพลังถึง 300 แรงม้าและอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นอยู่แค่เพียง 9.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร เป็นอัตราที่ลดลงจากรุ่นเดิมกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ในรุ่นของคาเยนน์ดีเซลที่มาพร้อมกับขุมพละกำลังกว่า 240 แรงม้า (176 กิโลวัตต์) 550 นิวตันเมตร เครื่องยนต์ขนาด 3 ลิตร V6 ที่พร้อมจะอำนวยให้รถสามารถลดอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงลงเหลือเพียง 7.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร จาก 9.3 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ซึ่งเป็นการลดอัตราการบริโภคน้ำมันลงกว่า 20 เปอร์เซ็นต์เช่นเดียวกัน
อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงในรุ่นที่มีรอบบิดสูงอย่างรุ่น Cayenne S ที่มีขนาดเครื่องยนต์ที่ 4.8 ลิตร V8 ได้รับการพัฒนาให้มีอัตราน้อยลงไปกว่า 23 เปอร์เซ็นจากรุ่นเดิมเช่นกัน ซึ่งอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงในรุ่นนี้อยู่ที่ 10.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และมีขุมพลังเครื่องยนต์สูงสุดที่ 400 แรงม้าซึ่งมากขึ้นจากรุ่นเดิมกว่า 15 แรงม้า ซึ่งส่งผลให้ Cayenne S นี้มีสมรรถนะเครื่องยนต์อย่างเหนือชั้นเหมือนรุ่นอื่นๆ ของคาเยนน์ในเจเนอเรชั่นใหม่นี้ด้วยเช่นกัน
ส่วนรุ่นท็อปอย่างคเยนน์ เทอร์โบ เครื่องยนต์ใหม่นี้จะมีขุมพลังกว่า 500 แรงม้า (368 กิโลวัตต์) ที่ถูกซ่อนอยู่ในขนาดเครื่องยนต์ 4.8 ลิตร V8 เทอร์โบคู่ ซึ่งมีอัตราการบริโภคน้ำมันแค่เพียง 11.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร (มาตรฐานการขับขี่ในยุโรป) ซึ่งน้อยกว่ารุ่นเดิมกว่า 23 เปอร์เซ็นต์
ในรุ่น Cayenne S Hybrid อัตราการบริโภคน้ำมันนั้นไม่ด้อยไปกว่า 5 รุ่นพี่ของคาเยนน์ดังที่กล่าวมาข้างต้นเลย โดยอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงนั้นจะน้อยกว่า 10 ลิตรของน้ำมันเชื้อเพลิงธรรมดาต่อ 100 กิโลเมตร (ตามมาตรฐานการขับขี่ยุโรป) และลดอัตราของการบริโภค CO2 น้อยลงกว่า 200 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจากอัตรานี้จะเห็นได้ว่า Cayenne S Hybrid ใหม่นี้คือรถยนต์ปอร์เช่เวอร์ชั่นที่สะอาดต่อสภาวะแวดล้อมมากที่สุดซึ่งถูกรังสรรค์และพัฒนาขึ้นตามหลักการปรัชญาการผลิตของปอร์เช่ได้อย่างแท้จริง
การตอบสนองแบบอัจฉริยะของเครื่องยนต์ขนาด 3 ลิตร ซุปเปอร์ชาร์จ V6 และมอเตอร์แบบอิเลคทริค ทำให้ Cayenne S Hybrid นั้นสามารถเน้นประสิทธิภาพสูงสุดในระบบต่างๆ โดยรวมได้ โดยที่ขึ้นอยู่กับสภาวะของการขับขี่ คาเยนน์สามารถนำพาท่านไปสู่เป้าหมายด้วยการขับเคลื่อนแบบระบบเครื่องยนต์แบบเดียวหรือการทำงานของสองระบบเครื่องยนต์ 2 ระบบร่วมกันได้เช่นกัน และด้วยการทำงานของสองระบบเครื่องยนต์นี้ทำให้คาเยนน์สามารถผลิตแรงขับเคลื่อนได้สูงสุดกว่า 380 แรงม้าและแรงบิดสูงสุดที่ 580 นิวตันเมตรที่รอบ 1,000 รอบต่อนาที ซึ่งเป็นสมรรถนะเครื่องยนต์ที่ระดับเดียวกันกับ Cayenne S ที่มีเครื่องยนต์ขนาด V8 เลยทีเดียว
ระบบขับเคลื่อนเครื่องยนต์ทั้งสองแบบนี้จะทำการเชื่อมโยงต่อกันและกันด้วยระบบคลัตช์แยกแบบอัจฉริยะโดย Hybrid Manager และระบบคลัตช์แยกนี้จะเป็นส่วนที่สำคัญในการทำงานของเครื่องยนต์ใน Cayenne S Hybrid ด้วยการเป็นตัวกำหนดว่าจะทำงานด้วยระบบอิเลคทริคมอเตอร์หรือระบบน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียว หรือใช้ทั้งสองระบบร่วมกัน ดังตัวอย่างเช่น ในการขับขี่ในตัวเมืองซึ่งผู้ขับขี่อาจเดินทางระยะสั้นด้วยระบบขับเคลื่อนแบบขุมพลังอิเลคทริคเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ไม่มีเสียงและมีอัตราการเร่งอยู่ประมาณ 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เพื่ออัตราเร่งที่สูงเมื่อทำการ setting off ระบบมอเตอร์อิเลคทริคอาจเพิ่มแรงดันในการส่งตัว ความบริหารจัดการอย่างอัจฉริยะของระบบเกียร์แยกจะทำให้การเปลี่ยนเกียร์ในระบบการขับขี่แบบโหมดไฮบริดนั้นเงียบ ราบเรียบ สะดวกสบาย และรวดเร็วสำหรับผู้ขับขี่ ในขณะเดียวกันระบบการขับเคลื่อนเครื่องยนต์โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิงอาจถูกปิดเมื่ออยู่ที่อัตราความเร็วที่ 156 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการปิดระบบเมื่อแน่ใจว่าไม่ต้องการขุมพลังของอัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่มากไปกว่านี้แล้ว เมื่ออยู่ในโหมดที่เรียกว่าโหมด Sailing ซึ่งเป็นการโลดแล่นไปโดยไม่ต้องใช้ขุมพลัง แรงขับเคลื่อนได้มาจากการเครื่องยนต์ที่เผาไหม้และผลกระทบจากการเบรคจะถูกจำกัดออกไปด้วยการเปลี่ยนช่วงล่างให้ต่ำลงรวมไปถึงการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิง
หมายเหตุ : สำหรับนักข่าวสามารถดาวน์โหลดภาพของปอร์เช่คาเยนน์ใหม่ได้จาก Porsche Press Database ที่เว็บไซด์ https://presse.porsche.de Footage is available to registered users at http://thenewsmarket.com/porsche