บสท. เติมแหล่งทุนให้ลูกค้า Q1 กว่า 900 ลบ. งัดกลยุทธเร่งขาย NPAปล่อยกลับเข้าสู่ระบบ เกิดการลงทุน จ้างงาน สร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจ

ข่าวทั่วไป Wednesday May 31, 2006 15:13 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--31 พ.ค.--บสท.
ในปี 2549 นี้ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) มีเป้าหมายการดำเนินการหลักประการหนึ่งคือการดูแลติดตาม และให้คำแนะนำลูกค้าที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าสุจริตที่มีศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปฏิบัติตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ที่ลงนามไว้กับ บสท.ได้ โดยการช่วยจัดหาสินเชื่อและแหล่งเงินทุนใหม่ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการ บสท. กล่าวว่า “ ไตรมาส 1 ปี 2549 ที่ผ่านมา บสท. ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการหาสินเชื่อใหม่จากสถาบันการเงินทั้งภาครัฐและเอกชน โดย บสท. เป็น ผู้ประสานระหว่างลูกค้าและสถาบันการเงิน อีกทั้งยังยินยอมให้สถาบันการเงินผู้ปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ลูกค้าจดจำนองหลักประกันเป็นลำดับที่ 1 ในการขอสินเชื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บสท. ให้ความช่วยเหลือลูกค้าอย่างจริงจัง ที่ผ่านมาได้ดำเนินการหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนให้กับลูกค้าที่ปรับโครงสร้างหนี้จำนวน 25 ราย วงเงินสินเชื่อใหม่ประมาณ 901 ล้านบาท ในจำนวนลูกหนี้ดังกล่าว 6 ราย ได้รับการอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินแล้วประมาณ 148 ล้านบาท ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ”
“บสท. ได้รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพจากสถาบันการเงินทั้งสิ้น ณ ไตรมาส 1 จำนวน 15,276 ราย มูลค่าทางบัญชี 776,284 ล้านบาท และบริหารจัดการจนมีข้อยุติแล้ว 15,271 ราย มูลค่าทางบัญชี 771,371 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 99.37 ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนทั้งหมด เป็นลูกค้าที่มีข้อยุติด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) จำนวน 7,896 ราย ในจำนวนนี้ 1,448 ราย คิดเป็น มูลค่าทางบัญชีประมาณ 46,966 ล้านบาท บสท. ได้ส่ง ลูกค้ากลับคืนเข้าสู่ระบบสถาบันการเงินได้ตามปกติ เพราะสามารถหาแหล่งเงินจากสถาบันการเงินและจากแหล่งเงินอื่นมาชำระหนี้เพื่อปิดบัญชีกับ บสท. เสร็จสิ้นไปแล้ว โดยปัจจุบันลูกค้าเหล่านี้สามารถกลับไปดำเนินธุรกิจได้ตามปกติมีการลงทุนและจ้างงานเพิ่มขึ้น ในส่วนของลูกค้าที่ถูกดำเนินการบังคับหลักประกัน (Non - TDR) จำนวน 7,375 ราย บสท. ได้พยายามติดต่อให้มาเจรจาปรับโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่องแต่ไม่ได้รับการตอบกลับ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการบังคับหลักประกันเพื่อให้การปรับโครงสร้างหนี้มีข้อยุติ และนำทรัพย์สินหลักประกันที่มีอยู่มา สร้างมูลค่าเกิดการพัฒนาเพื่อก่อให้เกิดประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม ” นายสมเจตน์ กล่าว
สำหรับผลการบริหารจัดการและการดำเนินงาน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2549 บสท. มีรายได้จากการรับชำระหนี้จำนวน 99,860 ล้านบาท แบ่งเป็นการรับชำระหนี้เงินสดจำนวน 85,826 ล้านบาท การบริหารและขายทรัพย์สินรอการขายจำนวน 13,259 ล้านบาท และการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนวน 774 ล้านบาท โดย บสท. ได้นำเงิน ดังกล่าวส่วนหนึ่งไปใช้ในการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินจากการที่ บสท. รับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ 776,284 ล้านบาท ซึ่ง บสท. ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินไป 264,309 ล้านบาท ถึงขณะนี้ บสท. ได้ดำเนินการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินในส่วนของเงินต้น 83,126 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณร้อยละ 30.57 ของตั๋วสัญญาใช้เงินในส่วนของเงินต้นทั้งหมดที่ บสท. ออกให้แก่สถาบันผู้โอน และชำระดอกเบี้ย 12,804 ล้านบาท ซึ่งการไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวนอกจากจะเป็นการลดภาระหนี้สินและดอกเบี้ยให้กับ บสท. แล้ว ยังเป็นการช่วยลดภาระหนี้สาธารณะที่เกิดจากการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินลงด้วย
นายสมเจตน์ กล่าวในตอนท้ายว่า “ทรัพย์สินรอการขายที่ได้จากการปรับโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2549 ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของ บสท. มีประมาณ 84,729 ล้านบาท บสท. ได้จำหน่ายทรัพย์สินไปแล้วกว่า 13,100 ล้านบาท ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก จากการสอบถามข้อมูลจากนักลงทุนที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจาก บสท. ไป จำนวน 475 ราย ในเบื้องต้นพบว่าในอนาคต 2-3 ปี ข้างหน้า ผู้ลงทุน 121 ราย มีแผนการลงทุนเพิ่มเพื่อก่อสร้างโครงการต่างๆ คิดเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 9,500 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการจัดสรรเพื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 5,681 ล้านบาท โครงการเพื่ออุตสาหกรรมประมาณ 1,377 ล้านบาท โครงการที่จะพัฒนาเป็นสำนักงานประมาณ 1,256 ล้านบาท และโครงการพาณิชย์ขนาดย่อมประมาณ 1,203 ล้านบาท นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของการ ฟื้นฟูทางเศรษฐกิจที่ทำให้ทรัพย์สินมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและได้นำไปใช้ประโยชน์ในระบบเศรษฐกิจ ”
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
สำนักงานองค์กรสัมพันธ์
โทร.0-2357-1503-5

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ