พบกับความรักของเขาและเธอได้ 7 กันยายนนี้ ในโรงภาพยนตร์เครือ Apex

ข่าวทั่วไป Wednesday September 6, 2006 12:38 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 ก.ย.--เจ-บิ๊คส์ ฟิล์ม
บริษัทนำเข้า บริษัท เจ-บิ๊คส์ ฟิล์ม จำกัด
ประเทศ อเมริกา
ความยาว 117 นาที
กำกับโดย Robert Towne
นำแสดงโดย Colin Farrell, Salma Hayek, Donald Sutherland, Eileen Atkins, Idina Menzel, Justin Kirk, Dion Basco, Jeremy Crutchley
ประเภท Drama/Romance
หมายเหตุ สร้างจากนวนิยายของ John Fante สร้างโดย Tom Cruise และ Paula Wagner
ข้อมูลงานสร้าง Production information
โรเบิร์ต ทาวน์ (Robert Towne) เจ้าของรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง China Town และ Tequila Sunrise ทำหน้าที่เขียนบทและกำกับภาพยนตร์เรื่องล่าสุด Ask the Dust เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงท้องฟ้าที่สว่างจ้าในยามที่เกิดความตกต่ำในลอส แอนเจลิส จากนวนิยายชิ้นเยียมของ จอห์น ฟานเต้ ซึ่งทาวน์ พุ่งประเด็นนำเสนอ Ask the Dust ไปที่เมืองที่มีความแปลกและย่ำแย่ แต่ก็มีเสน่ห์และร้อนแรง เป็นที่ที่ ทั้งร้อนและปกคลุมไปด้วยฝุ่น ที่ที่เต็มไปด้วยต้นปาล์มที่นำเข้าจากอียิปต์และผู้คนที่มาจากทุกสถานที่เพื่อแสวงหาความร่ำรวย ชื่อเสียง และโชคลาภ ลอส แอนเจลิส คือเมืองที่เป็นที่แรกและที่สุดท้ายที่ความฝันทุกฝันจะเป็นจริงได้ และมันก็เป็นที่สำหรับ อาตุโร แบนดินี่ (Aturo Bandini) แสดงโดย โคลิน ฟาร์เรล (Colin Farrell) ที่มีพ่อเป็นชาวอิตาเลียน ซึ่งเขามีความใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนนิยายชื่อดังและได้แต่งงานกับสาวสวยผมบลอนด์ และคามิลล่า โลเปซ (Camilla Lopez) แสดงโดย ซัลม่า ฮาเยค (Salma Hayek) สาวแม็กซิกันที่แต่งงานมานานและทิ้งนามสกุลตัวเองเมื่อตอนที่ความสัมพันธ์ระหว่างชาวแองโกลและชาวแม็กซิกันไม่สู้จะราบรื่นนัก แบนดินี่และคามิลล่าไม่ลงรอยกัน ต่อสู้กับการใช้ชีวิตตัวเองในเมืองนี้เพื่อที่จะทำให้ฝันเป็นจริง
สำหรับทาวน์แล้ว Ask the Dust แสดงให้เห็นถึงจุดสูงสุดของความรักของคนงานวัย 30 หลังจากได้ค้นพบนวนิยายเรื่องนี้ตอนที่กำลังได้รับออสการ์จากบทภาพยนตร์เรื่อง China Town ทาวน์ก็ได้กลายเป็นเพื่อนกับฟานเต้จนกระทั่งฟานเต้เสียชีวิตในปี 1983
ทั้งคู่มักจะพูดคุยกันว่าจะดัดแปลงนวนิยายเรื่องนี้ให้เป็นหนังได้อย่างไร พอกลางยุค 90 ยี่สิบปีหลังจากที่ทาวน์ได้ตกหลุมรักกับนวนิยายเรื่องนี้ ทาวน์ได้ลงมือเขียนบทภาพยนตร์โดยแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวที่ฟานเต้ได้สร้างมา ทาวน์นำบทที่เขียนเสร็จไปให้จอยซ์ ฟานเต้ (Joyce Fante) ภรรยาม่าย ของฟานเต้และผู้ตัดต่อดู และมีคำที่ทาวน์ได้เขียนไว้ว่า “จอยซ์ อยู่กับมันตั้งแต่เริ่ม เธอแก้ไขเรื่องดั้งเดิมบรรทัดต่อบรรทัด” จอยซ์ตอบกลับทาวน์ด้วยความรู้สึกที่ตื้นตันว่า “ฉันเสียใจที่จอห์นไม่มีโอกาสได้อยู่เห็นมัน ฉันรู้ว่าเขาจะต้องภูมิใจกับมันมาก”
การดัดแปลงเป็นแค่จุดเริ่มต้น ทาวน์ใช้เวลาอีกสิบปีในการเริ่มต้นโครงการและหาเงินทุน ทาวน์ทำให้ Ask the Dust กลายเป็นเรื่องที่ไม่สามารถต้านทานได้ จนทำให้ ทอม ครูซ (Tom Cruise) และ พอลล่า แวกเนอร์ (Paula Wagner) มาช่วยทำให้ฝันของทาวน์ เป็นจริง Ask the Dust เป็นหนังเรื่องแรกที่ทอมและพอล นำไปให้ C/W Productions ทั้งสองคนเคยร่วมงานกับโรเบิร์ต (Robert) มาก่อน และพอลล่าก็เคยเป็นตัวแทนให้กับ CAA ก่อนที่จะมาเป็นผู้สร้าง เขาเขียนชื่อหนังจำนวนหนึ่งให้ทอมและเราก็สร้าง Without Limits แล้วโรเบิร์ตก็เติมเต็มฝันด้วยการสร้างหนังเรื่องนี้มันทำให้ทอมและพอลล่า อิ่มเอมใจเป็นอย่างมากที่ทำให้ทาวน์ได้เดินตามฝันมันเป็นเส้นทางที่มีเสน่ห์ที่ทำให้เรามีความรู้สึกที่ดี คุ้มค่ากับการใช้เวลาอันยาวนานจนกระทั่งได้มันมา ทาวน์บอกว่าเหตุผลที่ทำให้นิยายเรื่องนี้เป็นโปรเจคที่น่าหลงใหลเพราะว่าความรู้สึกแรงกล้าที่เขามีต่อเมืองๆ นี้และงานของเขาในฐานะนักเขียน เรื่องราวนี้มีความแปรเปลี่ยนง่าย มีเหลี่ยม มีความเกรี้ยวกราด เย้ายวน มีทุกอย่างที่ไม่สมหวังที่คนคนนึงจะได้พบเจอในชีวิตและในอนาคต นิยายเรื่องนี้เกี่ยวกับ ลอสแอนเจลิส สำหรับหนุ่มสาว เมืองที่เกินกว่าความทรงจำ ซึ่งน่าทรมาน เพราะมันเหมือนกับการอ่านเรื่องในสมัยเด็กที่มีแต่สิ่งที่รักแต่ไม่มีอยู่จริงแล้ว อย่างที่สองคือเรื่องที่เกี่ยวกับนักเขียนที่รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้ง ไม่มีใครใส่ใจ โง่เขลา บางครั้งก็เหมือนว่าเขายิ่งใหญ่ที่สุดในโลกและคนอื่นๆ ไม่มีพรสวรรค์เลย นักเขียนตนนั้นก็ไม่รู้สึกว่าทำไม และทำไมเขาจะไม่เป็นอย่างนั้นล่ะ
ลอส แอนเจลิส เป็นเมืองแห่งภาพลวงตาและความฝัน นักเขียนทุกคนคือนักฝัน พวกเขามีภาพความคิดและพยามยามที่จะให้มันมีจริง หนังเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าความฝันที่ใครบางคนรู้สึกแรงกล้าและหลงใหลจนกระทั่งทำให้คนอื่นมีส่วนร่วมในการที่จะทำให้ฝันเป็นจริงพอลล่าบอกว่า คำพูดในหนังเป็นบทกวีของโรเบอร์ต ทาวน์ นั่นเอง เป็นโคลงกลอนของ ลอส แอนเจลิส
เกี่ยวกับภาพยนตร์ About the film
ทาวน์ พูดถึงนิยายเรื่อง Ask the Dust ของ จอห์น ฟานเต้ ว่า เขายังไม่เคยเห็นนิยายชิ้นเยี่ยมเรื่องไหนจะดีไปกว่าเรื่องนี้เรื่องราวที่เกี่ยวกับความรักต้องห้ามและความลุ่มหลงที่ไม่ได้รับการปลดปล่อย ทาวน์บอกว่านิยายเรื่องนี้จับเรื่องราวของเมืองที่เขารู้จักดีในความที่มีเอกลักษณ์ของมันในปี 1989 American Film สัมภาษณ์ ทาวน์นึกถึงมันขึ้นมาได้ว่าเขาถูกหนังสือของฟานเต้กระแทกใส่เข้าอย่างจัง มันคือการที่คุณสามารถเปิดไปดูอดีตได้แล้วก็เพ่งมองมันอย่างที่มันเป็น ตามคำบอกของผู้สร้าง พอลล่า แวกเนอร์ เธอบอกว่าหนังสือของฟานเต้ยังคงเป็นการศึกษาตัวละครที่น่าหลงใหลด้วยมันคือสิ่งภายในของตัวละครที่มองผ่านจิตและวิญญาณของ อาตุโร แบนดินี่ เราร่วมมีประสบการณ์ในอารมณ์ ในความรู้สึกต่อโลกของเขา ความกลัว ความลุ่มหลงที่จะทำให้ฝันเป็นจริงในแบบฉบับอเมริกันชน ที่เขาต้องการจะเขียนนวนิยายอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ มีภรรยาสาวสวยผมบลอนด์ และมีแมนชั่นอยู่บนเนินเขา แต่ความฝันในแบบฉบับอเมริกันที่เขากำลังค้นหาไม่มีอะไรตามที่เขาคาดหวังเลย ซึ่งบอกเล่าอย่างน่าทึ่งผ่านทางภาษาของฟานเต้ กับตัวละครที่มีมิติความลึก และการสร้างตัวละครในช่วงตกต่ำของลอส แอนเจลิส แล้วทาวน์ก็นำนวนิยายเรื่องนี้มาสู่แผ่นฟิล์ม
ตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ทาวน์หลงใหลกับการเขียนดัดแปลงนิยาย เรื่องนี้ฟานเต้เขียนถึงผู้เขียนบทภาพยนตร์ว่า ในความหวังจะนำพาคุณไปสู่ที่ๆ ไกลได้ การที่ความฝันจะสำเร็จจะต้องใช้เวลายาวนาน ปีที่ยืดยาวออกไปและจะต้องได้คนสำคัญที่มีพรสวรรค์ในวงการภาพยนตร์มาทำงานด้วยกัน
โคลิน ฟาร์เรล เป็นผู้ถ่ายทอดบท อาตุโร แบนดินี่ จากอีโก้ของจอห์น ฟานเต้ มาสู่ชีวิตจริง เขาคือหนึ่งในนักแสดงชายที่ต้องการตัว เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดบนแผ่นฟิล์มฟาร์เรล นำเอาความสามารถพิเศษข้างในของเขามาใส่ในตัวละคร เขามีเสน่ห์ดึงดูดทั้งเพศหญิงและชาย ทาวน์เล่าว่า เพื่อนสาวของภรรยาเขามาที่บ้านตอนที่โคลินมา เธอบอกว่า ฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ไม่ว่าเขาต้องการอะไร ให้เขาไปทุกอย่างฟาร์เรลบอกว่า Ask the Dust ทำให้คุณพบเจอตัวเองได้ไม่ว่าที่ไหนในโลกนี้ มันคือความหลงใหล ไม่ใช่แค่ฝันที่คุณอยากได้ แต่คุณต้องออกไปตามหามัน
ความหลงใหลในชีวิต ที่ทรหด ความกลัวที่มาปะทะกับความเฉื่อยชา ที่ได้เห็นจากความรู้ไม่ชอบหน้ากันตั้งแต่แรกพบระหว่าง อาตุโร และ คามิลล่า (แต่ท้ายที่สุดก็ดึงดูดกัน) คามิลล่าเป็นสาวเสิร์ฟชาวแม็กซิกัน ที่ไฝ่ฝันจะได้แต่งงานกับหนุ่มอเมริกัน ทั้งอาตุโร และ คามิลล่า เป็นคนคล้ายๆ กัน ทั้งคู่ทำเต็มที่ในการหาสถานที่ที่สันโดษสำหรับตัวเอง
ในขณะที่มองออกไปข้างนอกเพื่อดูว่าโลกยอกมรับพวกเขาอย่างไร ซัลม่าบอกเพิ่มเติมว่า ฟานเต้ จับเอา อาตุโรและคามิลล่า มาอยู่ท่ามกลางสังคมที่ยากมากและการแตกแยกทางการเมือง ฟานเต้ไม่เหนียมอายในการที่จะนำเสนอความสัมพันธ์ของคนแองโกลและลาติโน่ ที่อยู่ในลอสแอนเจลิส ที่มีแต่ความวุ่นวาย ซัลม่าบอกว่า อาตุโร มีหญิงในฝันที่จะอยู่ในอ้อมกอดเขาที่มีผมบลอนด์ ตาสีฟ้า ผิวขาวแบบคาลิฟอร์เนีย ส่วนคามิลล่าต้องการเพียงแค่ได้แต่งงานกับชายอเมริกันที่ร่ำรวย ซึ่งลูกเธอจะได้มีโอกาสที่ดีเพราะเธอไม่เคยมี ทั้งคู่ไม่ได้สิ่งที่ตัวเองฝันไว้อย่างงดงาม แต่ยามที่ได้เจอกัน ความดึงดูดกันและกันของทั้งคู่ก็หยุดไม่ได้ ซัลม่าดูดพลังเข้าไปในตัวของคามิลล่าอย่างเต็มเปี่ยม เธอมีจิตวิญญาณเดียวกับตัวละคร ทาวน์กล่าว ผู้กำกับยังบอกอีกว่า ความสัมพันธ์ในจอของทั้งคู่สะท้อนออกมานอกจอ เพราะซัลม่าและโคลินสนิทสนมกันเป็นอย่างดี ทั้งคู่ทำงานที่มีความหมายต่อทั้งคู่และยังแบ่งปันสิ่งต่างๆ ให้กันอีกด้วย
ความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อนของทั้งคู่พัฒนามากขึ้น เรามักจะเห็นทั้งคู่เดินจูงมือกัน คุยถีงเรื่องหนังหรือฉากต่อไปที่จะถ่าย ส่วนนักแสดงสมทบก็มี โดนัลด์ ซัทเทอร์แลนด์ (Donald Sutherland) กับบทเพื่อนบ้านของแบนดินี่ที่ชื่อเฮลฟริค (Hellfrick), เดม อีลีน แอทคินส์ (Dame Eileen Atkins) กับบทเจ้าของบ้านที่ชื่อ มิสซิส ฮาร์เกรฟส (Mrs.Hargraves), ไอดิน่า เมนเซล (Idina Menzel) ดาราละครบรอดเวย์ กับบท วีร่า ริฟคิน (Vera Rifkin) และ จัสติน เคิร์ค (Justin Kirk)ทาวน์บอกว่า คำมั่นสัญญาถูกแสดงผ่าน เมนเซล ซึ่งเป็นตัวแทนของความตั้งใจของนักแสดงทุกคนที่ตั้งใจให้ความร่วมมือกับหนังเรื่องนี้ ไอดิน่าเป็นนักแสดงละครบรอดเวย์ที่หาเวลายากที่จะหยุดแสดงเพื่อมารับงานนี้ เธอเคลียร์คิวให้ได้ในนาทีสุดท้าย และบินไปแอฟริกาใต้เมื่อได้รับแจ้ง เธอเสียสละเพื่อที่จะได้ร่วมแสดงในเรื่องนี้ ทุกคนก็เช่นกัน พวกเขาทุ่มเทอย่างที่เราร้องขอ ทาวน์ผู้ซึ่งน่าจะเป็นคนเดียวที่สามารถนำ Ask the Dust มาสู่แผ่นฟิล์ม เรื่องราวความรักที่เกิดขึ้น ณ เวลาและสถานที่ที่พิเศษ ซึ่งสามารถบอกเล่าโดยผู้สร้างซึ่งทำการหาข้อมูลการถ่ายทำหนังหลายเรื่องในลอส แอนเจลิสจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องราวของเมืองนี้ ทาวน์บอกว่าเขามองเรื่องราวของหนังเหมือนกับหนังเก่าเรื่องหนึ่งที่มีจุดจบคล้ายเรื่อง โรมิโอแอนด์จูเลียต ซึ่งหนังรักส่วนใหญ่เป็นนั่นคือความโศกเศร้า เรารู้ว่าความรักมีพลังที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าความเป็นบุคคลผู้ซึ่งรับต่อความลุ่มหลง มันทำให้เราเชื่อว่าความรักนั้นมีอยู่ นั่นคือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวของความรักทำให้คนดำเนินต่อไป และเราก็ไปดูเพราะซาบซึ้งและสนุก แต่ความรักก็ทำให้เรามีความหวังด้วย
โรเบิร์ต ทาวน์ มีความรู้ในเรื่องประวัติอเมริกาอย่างละเอียด โดยเฉพาะ ลอส แอนเจลิส จากในอดีตจนถึงปัจจุบัน -ฟาร์เรลเล่า เขารู้มันในทางทฤษฎีแต่ก็มีความรู้สึกไปกับมันด้วย เพราะเขาอาศัยอยู่ แวกเนอร์ยังเน้นว่า ด้วยความรู้อันกว้างขวางของทาวน์ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการเสนอ ลอส แอนเจลิส อย่างที่เป็น เขาหาข้อมูลในยุคนั้นอย่างละเอียดรอบคอบ เขาสามารถบอกคุณได้ว่าตึกไหนเคยอยู่ตรงไหน เป็นอย่างไร เหมือนกับเรายืนอยู่บนเนินเขา บังเกอร์ แล้วมองดูเมืองจากบนนั้น แล้วโรเบิร์ตก็ยังให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆของชีวิตผู้คนในยุคนั้น อย่างเช่นตอนต้นของหนัง แบนดินี่ฟัง
รายการ fruit frost ซึ่งเป็นรายการวิยุที่โรเบิร์ต รู้จักเป็นอย่างดี เขาซึมซับวัฒนธรรมเฉพาะของลอส แอนเจลิส ไว้มาก ทาวน์ยังนำเสนอผู้คนในยุคตกต่ำนั้น ที่ภูมิใจในการที่จะถูกมองว่าดีที่สุด ผู้ชายอาจจะเหลือเงินอยู่ในตัวน้อยนิดแต่เขาจะต้องดูดีในชุดสูทโก้กับผมที่จัดแต่งทรงอย่างดี สาวเสิร์ฟก็อยู่ในชุดเครื่องแบบสีขาวเนี้ยบแม้ว่าเธอจะใส่รองเท้าคู่เก่าก็ตาม ส่วนทรงผมก็ต้องดูดี ทุกคนทำตัวตรงกันข้ามกับความตกต่ำ ไม่เพียงแต่ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ แต่ยังรวมไปถึงวัฒนธรรม และข้างในตัวตนด้วย
เกี่ยวกับ จอห์น ฟานเต้ และ อาตุโร แบนดินี่ About John Fante and Arturo Bandini
Ask the Dusk เขียนโดย จอห์น ฟานเต้ แม้ว่านักเขียนจะไม่ได้รับความระลึกถึงจดจำได้ในงานเขียนของเขาในแวดวงวรรณกรรมอเมริกาในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้เขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักเขียนที่น่านับถือที่สุดในศตวรรษที่ 20 ฟานเต้ เกิดปี 1909 ในโคโลราโด ลูกชายช่างก่อตึกชาวอิตาเลียน หลังจากใช้ชีวิตยากจนในช่วงวัยเด็กและต้องอดทนกับอคติของคนที่ต่อต้านอิตาเลียน ฟานเต้พัฒนาทักษะการเขียนของเขา ในปี 1929 เขาย้ายไปคาลิฟอร์เนียและเริ่มเขียนเรื่องให้กับ H.L.Mencken’s นิตยสาร American Mercury ปี 1936 เขาสร้าง อาตุโร แบนดินี่ ตัวละครที่กลายเป็นอีโก้ในนิยายสี่เรื่องของเขาที่รวมเข้าไว้ด้วยกันเป็นเรื่องของนักเขียนเอง เรื่องแรกคือ Wait Until Spring, Bandini ตีพิมพ์ในปี 1938 (ถูกสร้างเป็นหนัง
ในปี 1989) แล้วต่อเนื่องด้วย Ask the Dust, Dreams from Bunker Hill และ The Road to Los Angeles ฟานเต้เล่าเรื่องราวชีวิตของเขาผ่านตัวละครซึ่งกลายเป็นสิ่งที่เยี่ยมยอดและรู้สึกกระตุ้น อ่อนเยาว์และผู้ใหญ่ ใจกว้างและใจแคบ นิยายนี้คือบันทึกเรื่องราวของวัยที่กำลังมาถึงของผู้เขียน การยอมรับในการเป็นชนชั้นแรงงาน การเป็นปัจเจกในความเป็นศิลปะ และการค้นพบความประนีประนอมระหว่างพื้นฐานความเป็นอิตาเลียน-อเมริกันของเขาและการเลียนแบบอย่างยาวนาน นักเขียนจำนวนมากชี้ชัดด้วยตัวละครของเขาแต่พ่อของฉันบันทึกประสบการณ์วันต่อวันนับแต่วันที่เข้ามาอยู่ลอส แอนเจลิส -วิคกี้ ฟานเต้ โคห์น หนึ่งในสามของลุกของฟานเต้เล่าให้ฟังก็เหมือนแบนดินี่ เขามีบุคลิคที่ชัดเจนและมีอีโก้ที่แรงกล้า คุณต้องมีความเชื่อในตัวเองในช่วงที่ตกต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณต้องการเป็นนักเขียน อันที่จริงฉันคิดว่าพ่อของฉันมีแรงขับไม่เพียงเพราะการเขียนนิยายเท่านั้นแต่ยังเป็นเรื่องของความสำเร็จสูงสุดของเขาอีกด้วย
จิม ฟานเต้ น้องชายของโคห์น จำได้ว่าพ่อของเขาอธิบายให้ฟังถึงชีวิตของเขาและแบนดินี่ที่มีเส้นทางเดียวกัน ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก พ่อพาผมไปดูที่ที่เขาเคยอยู่และซื้อของ เราขับรถกว่า 50 ไมล์จาก Point Dume ไป Bunker Hill ในเมืองลอส แอนเจลิส เราเดินทั่วบริเวณเพื่อนบ้านและเขาก็ให้ผมดูโรงแรม Alta Loma ที่เขาเคยอยู่ ซึ่งกลายเป็นที่ที่ถ่ายทำ Ask the Dust เรามองเห็นตลาด Grand Central ที่ที่เขาซื้อผลไม้กินยามหิว มันน่าตื่นเต้นที่ได้ดูแบนดินี่บนแผ่นฟิล์ม กินแต่ส้มเพราะเป็นสิ่งเดียวที่สามารถซื้อกินได้ มันเหมือนกับสิ่งที่พ่ออธิบายชีวิตตัวเองตอนที่เขามาอยู่ที่นี่
ผมว่าชีวิตจิตใจพ่อผมถูกนำเสนอได้ดีใน Ask the Dust แบบฉบับของทาวน์ -แดน ฟานเต้ บอก แม้ว่าพ่อผมจะเสียชีวิตไปแล้ว ผมก็หวังว่าหนังเรื่องนี้จะสามารถดึงคนให้ไปร้านหนังสือเพื่อค้นหาความหลงใหลที่พ่อมีและระลึกถึงเขาอย่างที่เขาควรจะได้รับ
เกี่ยวกับตัวละคร About the character
จุดศูนย์กลางของ Ask the Dust อยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่าง อาตุโร แบนดินี่ นักเขียนหนุ่มอิตาเลียน-อเมริกัน กับคามิลล่า โลเปซ สาวเสิร์ฟแม็กซิกันที่มีแต่ความโลภความสัมพันธ์เกิดขึ้นในยุค 1930 ช่วงที่คนเข้าประเทศ ความตึงเครียดของเชื้อชาติ และความตกต่ำหมดหวัง อยู่ด้วยการจินตนาการถึงความร่ำรวย แบนดินี่เป็นคนดีโดยธรรมชาติแต่เป็นคนที่หดหู่อย่างมาก ซึ่งนักเขียนส่วนใหญ่เป็นกัน และแบนดินี่ก็ไม่ทำอะไรนอกจากเป็นนักเขียน โคลินเป็นคนที่มีความสามารถทั้งด้านสูงสุดและด้านลึกมีไหวพริบ นุ่มนวล บึกบึน และมีความอวดดี ซึ่งรวมแล้วเป็นตัวละครแบนดินี่ เขาก็คือแบนดินี่ นั่นแหละ ฟาร์เรลบอกว่า แบนดินี่เดืนมางมาลอส แอนเจลิสเพื่อจะเป็นนักเขียนนิยายอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ เขียนเรื่องเกี่ยวกับผู้คนกับความฝัน เขาต้องอยู่แต่ในห้องของโรงแรมเพราะไม่มีเงิน พอได้เจอคามิลล่า เธอคือคนที่ทำทำให้เขานึกถึงความกลัวที่เขามีในตัวเอง ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเขาจะตกหลุมรักเธอแต่เขาแสดงความรักต่อเธอผ่านความโหดร้าย ฟาร์เรลสนใจบทนี้ด้วยความที่ตัวละครมีความเป็นศิลปินและโลกของเขา ตัวละครแต่ละตัวมีความชัดเจน ฟานเต้เป็นนักเขียนที่เก่งมาก ทั้งตัวละครและบทพูด ผมอ่านเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้ง แล้วยังไปหาเรื่องราวของ อาตุโร่ แบนดินี่อ่านอีกด้วย
ผมชอบหาข้อมูลแต่บทภาพยนตร์ก็คือคู่มือของคุณเสมอ การเตรียมตัวสำหรับบทนี้ ที่ฟาร์เรลเรียกว่า ทั้งเพี้ยนและเจ๋ง ในเรื่องนี้คุณจะไม่ได้ยินสำเนียงพูดไอริชของเขาเลย แวกเนอร์บอกว่า ฟาร์เรลเริ่มร่วมงานกับเรื่องนี้ก่อนหนังอเมริกันเรื่องแรกของเขาจะออกฉายเสียอีก ตอนที่ฉันกับโรเบิร์ตพบกับฟาร์เรล เราทั้งคู่ทึ่งกับความเป็นนักแสดงที่เด่นชัดของเขามาก เราได้ดูเรื่อง Tigerland แล้วโรเบิร์ตก็พูดว่า โคลินนี่หละคือ แบนดินี่ มีบางอย่างที่น่าทึ่งในตัวเขา
ตอนนั้นเขายังไม่มีชื่อเสียง แต่เราก็เลือกเขาแล้ว แม้ว่าตอนหลังเขาจะกลายเป็นดาราที่มีแต่คนต้องการตัวคำสัญญาที่เขาให้ไว้กับเราก็ยังคงอยู่ เขายังคงหลงใหลในบทบาทที่เขาจะได้แสดง ฉันชื่นชมและนับถือในความมั่นคงของเขา ฟาร์เรลเพิ่มเติมว่า พัฒนาการของเขาในการสวมบทบาทแบนดินี่มีส่วนมาจากซัลม่า ฮาเย็ค อย่างมาก เธอเป็นคนน่าทึ่งและทุ่มกับงานแล้วเราก็รับส่งกันได้อย่างดี เหมือนอย่างที่แบนดินี่และคามิลล่าเป็น ซัลม่าเป็นคนฉลาด แกร่ง เหมือนบทที่เธอได้รับ และเธอก็ยังนำความบอบบางใส่ในบทบาทด้วย ได้ร่วมงานกับซัลม่าก็เหมือนฝัน ฟานเต้คงต้องซาบซึ้งกับการทำงานของ ซัลม่า ส่วนซัลม่า ฮาเย็ค ก็รู้สึกแบบเดียวกับฟาร์เรล โคลินกับฉันชื่นชอบบทบาทของเรามาก โรเบิร์ตปล่อยให้เราได้เล่นกับบทที่เราได้รับ ฉันรับส่งพลังและการเต้นเร้าของโคลินได้ดี เขาทำให้ฉันได้เข้าถึงบทบาทตัวเองได้ลึกมากขึ้น
แวกเนอร์เสริมว่า ซัลม่าให้คำมั่นสัญญากับทุกขั้นตอนของการสร้างและกลายเป็นคนที่เชื่อมั่นในความฝันของทาวน์ เธอเหมือนนักแสดงที่ยอดเยี่ยมทุกคน ที่สวมบทบาทอย่างเต็มที่ ฝังตัวเองลงไปในบทที่ได้รับ และนำมันออกมาเป็นคามิลล่า เธอยังคงสนใจในภาพรวมของหนังด้วย เธอเป็นคนฉลาดมาก ชัดเจน และสนับสนุนในหนังที่เธอร่วมงานอย่างเต็มที่ความซับซ้อนของตัวละครคามิลล่าดึงดูดซัลม่าให้อยากแสดง หลังจากมีชื่อเสียงทางด้านการแสดงอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ จาก Desperado, From Dusk Till Dawn, 54, Dogma และ Wild Wild West แล้วเธอก็ได้รับการยอมรับในวงกว้างจากการเข้าชิงออสการ์จากบท ฟรีดา ในภาพยนตร์เรื่อง Frida หนึ่งในบทที่ท้าทายที่สุดเท่าที่ฉันเคยแสดง -ซัลม่ากล่าว ตัวละครทุกตัวในหนังเรื่องนี้ต่างก็มีต่างก็มีความชัดเจนในชีวิตของพวกเขา แต่อาตุโรและคามิลล่ามีความเฉพาะตรงความเจ็บปวด ซึ่งปรากฎออกมาทางการบันดาลโทสะอยู่บ่อยๆ
ความสัมพันธ์ของแบนดินี่กับคามิลล่าเห็นชัดจากการรังเกียจเชื้อชาติที่เห็นได้โดยภายนอก คามิลล่าเป็นสาวเสิร์ฟ งานที่ดีที่สุดที่เธอหาได้ โอกาสไม่ได้เปิดกว้างสำหรับคนที่ไม่ใช่คนขาว สิ่งเดียวที่คามิลล่าต้องการคือ ได้แต่งงานกับชาวอเมริกันซึ่งจะทำให้ลูกเธอได้มีโอกาสและชีวิตที่ดีกว่า และแบนดินี่ก็ไม่เหมาะสม ส่วนสถานการณ์ของแบนดินี่ก็เหมือนกัน ความสัมพันธ์เริ่มต้นของทั้งคู่ จุดประกายจากความเหมือนกันเรื่องเชื้อชาติ มันคือการแสดงออกที่ดึงดูดกันอย่างแรงโดยที่พวกเขาก็ไม่เข้าใจส่วนนักแสดงสมทบอีกสามคนต่างก็เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง เป็นนักแสดงระดับรางวัล ช่ำชองทั้งละครเวทีและภาพยนตร์ นั่นก็คือ โดนัลด์ ซัทเทอร์แลนด์, เดม อีลีน แอทคินส์ และ ไอดิน่า เมนเซล ซัทเทอร์แลนด์รับบท เฮลล์ฟริค ทหารผ่านศึกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สวมแต่เสื้อคลุมอยู่บ้านตลอดเวลา เขามักจะเคาะประตูบ้านแบนดินี่เพื่อขอยืมเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ ชอบพูดเปรียบเปรยเรื่องความฝันและความเพ้อฝันที่คอยหลอกหลอนพวกเขาแอทคินส์ รับบท มิสซิส ฮาร์เกรฟ เจ้าของบ้านเช่าของ เฮลล์ฟริคและแบนดินี่ เธออยากร่วมงานในเรื่องนี้เพราะโอกาสที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับและนักแสดง เธอบอกว่าโรเบิร์ตเป็นนักเขียนและผู้กำกับที่มีพรสวรรค์ ส่วนโคลินไม่ใช่แค่ดารา แต่เขาเป็นนักแสดงตัวจริงที่ให้ความบันเทิงอย่างดี แอทคินส์เคยมีเจ้าของบ้านเช่าที่ไม่เหมือนบทที่เธอแสดง ในเรื่องเธอไม่ให้ใครก็ตามได้กดน้ำชักโครกหลังห้าทุ่ม เธอเป็นคนเขี้ยวตัวละครนี้เป็นหญิงม่ายที่สามีทิ้งเงินไว้ให้มากพอที่จะทำห้องโรงแรมให้เช่าโดยเฉพาะผู้เช่าชาย สำหรับสมัยนั้นผู้หญิงที่ทำอะไรคนเดียวถือว่าเป็นเรื่องไม่ปกติไอดิน่า เมนเซล รับบท วีร่า ริฟคิน ผู้หญิงที่มีบาดแผลทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจเธอเคยได้รับ Tony Award รางวัลทางการแสดงละครเวทีมาแล้ว ไอดิน่าบอกว่าบทของวีร่าท้าทายมาก อารมณ์ของเธอเหวี่ยงได้ง่าย จากร่าเริงไปสิ้นหวัง และไม่มีสาเหตุฉันรักในความอ่อนแอและจิตใจที่มีแผลของเธอ สิ่งสำคัญที่สุดคือเธอช่วยให้แบนดินี่แสดงออกความเป็นชายในแบบที่เขาอยากเป็นออกมา เธอบอกว่าบางครั้งเธอก็หลงในความเป็นดาราของโคลิน แต่นั่นก็ทำให้เธอได้พัฒนาตัวละครเธอ เพราะวีร่าหลงเสน่ห์ในตัวแบนดินี่และชอบติดตามใกล้ชิดเขาเหมือนกับเป็นลูกสุนัขที่ตามเจ้าของ ฉันชอบปมของเรื่องที่ตอนท้ายเธอคือคนที่ช่วยให้เขาได้กลายเป็นชายสมบูรณ์มากขึ้น
เกี่ยวกับผู้แสดง About the cast
Colin Farrell (Arturo Bandini)
ชาวไอร์แลนด์โดยกำเนิด ยังคงรับงานต่อเนื่องในฮอลลีวูด เรื่องต่อไปที่เราจะได้เห็นเขาคือผลงานของไมเคิล มานน์ เรื่อง Miami Vice จากทีวีซีรีส์ที่โด่งดังมาก ตอนนี้เขาถ่ายทำเรื่อง Pride and Glory แสดงคู่กับ เอ็ดนอร์ตัน กำกับโดย เกวิน โอ คอนเนอร์ เรื่องราวของครอบเจ้าหน้าที่ตำรวจในนิวยอร์คที่เกี่ยวข้องกับการติดสินบนและเรื่องอื้อฉาว ผลงานที่ผ่านมาของโคลินก็มี Alexander จากผลงานของโอลิเวอร์ สโตน แสดงคู่กับ อัล ปาชิโน่ ใน The Recruit รับบทเป็น Bullseye ใน Daredevil แล้วก็ยังมี Home at the End of the World, Phone Booth, Tigerland, Minority Report, American Outlaws, SWAT และ Intermission เกิดและเติบโตใน Castleknock ประเทศไอร์แลนด์ โคลินเป็นลูกชายของอดีตนัก ฟุตบอล อีมอน ฟารืเรล และเป็นหลานชายของ ทอมมี่ ฟาร์เรล ทั้งคุ่เป็นนักฟุตบอล ของสโมสรไอริช Shamrock Rovers ในยุค 1960 ในวัยเด็ก โคลินมีความตั้งใจที่จะเดิน ตามรอยเท้าพ่อและลุง แต่เปลี่ยนมาสนใจการแสดงโดยเข้าเรียนที่ Gaity School of Drama ในเมืองดับลิน ก่อนจะจบการศึกษา เขาได้รับบทในมินิซีรีส์ Falling for a Dancer และได้เล่นซีรีส์ของ BBC และได้แสดงในหนังฝีมือการกำกับเรื่องแรกของ ทิม รอธ เรื่อง The War Zone ปัจจุบันเขาพักอยุ่ที่เมืองดับลิน ในไอร์แลนด์
Salma Hayek (Camilla Lopez)
เป็นทั้งนักแสดงหญิงฝีมือเยี่ยม ผู้อำนวยการสร้าง และผู้กำกับ ทั้งภาพยนตร์และทีวี ฮาเย็คได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ (Academy Award) ลูกโลกทองคำ (Golden Globe Award) แซ็กอวอร์ด (SAG Award) และ บาฟต้าอวอร์ด (BAFTA Award) ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากเรื่อง Frida ผลงานที่ผ่านมามี After the Sunset แสดงร่วมกับ เพียซ บรอสแนน ปละ วูดดี้ ฮาร์เรลสัน และที่จะได้ชมกันคือเรื่อง Bandidas แสดงคู่กับ เพเนโลเป้ ครูซ และเพิ่งจะถ่ายทำเรื่อง Lonely Hearts ที่เล่นกับ จอห์น ทราโวลต้า เสร็จไป
ส่วนผลงานการกำกับเรื่องแรกของเธอ The Maldonado Miracle ได้ฉายครั้งแรกในงาน ซันดานซ์ ฟิล์ม เฟสติวัล 2003 และล่าสุดยังกำกับมิวสิควิดีโอเพลง Te Amo Corazon ให้กับ Prince ซึ่งออกอากาศเมื่อเดือนมกราคม 2006
ผลงานการแสดงอื่นๆ ก็มี Hotel, Timecode, Dogma, Wild Wild West, Fools Rush In, 54, From Dusk Till Dawn, Desperado, Breaking Up, Spy Kids 3 และ Once Upon a Time in Mexico ภาคต่อของ Desperado ฮาเย็ค เกิดและเติบโตใน Coatzacoalcos ศึกษาที่ International Relations Drama ในวิทยาลัยในเม็กซิโก เธอเริ่มต้นงานแสดงและประสบความสำเร็จจากทีวีและยังคงทำอยู่
Donald Sutherland (Hellfrick)
มีผลงานการแสดงภาพยนตร์กว่า 100 เรื่อง เรื่องล่าสุด คือ Pride & Prejudice ปัจจุบันกำลังถ่ายทำซีรีส์เรื่องใหม่ของ ABC เรื่อง Commander-in Chief ผลงานที่ผ่านมาอื่นๆ ก็มี The Dirty Zone, MASH, Klute, Don’t Look Now, The Day of the Locust, Cassanova, Ordinary People, JFK ซัทเทอร์แลนด์ ได้รับรางวัล เอ็มมี่ และ ลูกโลกทองคำจากเรื่อง Citizen X และลูกโลกทองคำตัวที่สองขากเรื่อง Path to War
Dame Eileen Atkins (Mrs.Hargrave)
เกิดที่ลอนดอน ศึกษาที่ Guildhall School Of Music and Drama เธอคือตำนานแห่งละครเวทีเวสต์เอนด์และบรอดเวย์ ได้รับรางวัลมากมาย ทั้ง Evening Standard Award 1965 สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และ Tony Award รางวัลเดียวกันสองปีให้หลัง Olivier Award รางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม แล้วยังได้รับจาก Drama Desk Award, New York Drama Critics Circle ผลงานมากมายทั้งในลอนดอนและนิวยอร์คที่มีชื่อคือ The Cocktail Party, The Sleepers Den, Heartbreak House ส่วนงานการแสดงบนแผ่นฟิล์มของเธอก็มี The Dresser, Equus, Let Him Have It, Wolf, The Avengers, The Hours, Gosford Park และ Cold Mountain เธอเป็นทั้งนักแสดงละครเวที ภาพยนตร์ และนักแต่งเพลง
Idina Menzel (Vera Rifkin)
แสดงความกล้าและแสดงให้ปรากฏบนเวที พรสวรรค์ที่มีพลัง ให้ผู้ชมทึ่งไปกับการแสดงที่เต็มกำลังและเต็มไปด้วยความรู้สึก ความสำเร็จล่าสุดกับบทบาทในภาพยนตร์เพลง Rent และผลงานภาพยนตร์ที่ผ่านมาของเธอก็มี Summer of Sam, Still a Kiss, Kissing Jessica Stein, Tollbooth และ Water และกำลังจะถ่ายทำ Enchanted คู่กับ ซูซาน ซาแรนดอนเธอได้รับรางวัล Tony Award จากการแสดงละครเวที ส่วนในปี 1998 เธอได้ร่วมแสดงคอนเสิร์ต Lilith Fair summer concert festival และออกอัลบั้มแรกของตัวเองที่ชื่อ Still I Can’t Be Still เมนเซล จบปริญญาตรี การแสดง จาก Tisch School of the Arts ในนิวยอร์ค เธออาศัยอยู่ในแมนฮัตตันกับสามีนักแสดง Taye Diggs
เกี่ยวกับทีมผู้ผลิต About the filmmakers
Robert Towne (กำกับและเขียนบท)
ถูกเสนอชื่อเข้าชองออสการ์สี่ครั้ง ได้รับออสการ์ จาก Chinatown ทาวน์เกิดในลอส แอนเจลิส แต่เติบโตที่ ซาน เปโดร ที่ซึ่งเขาทำงาน เป็น นักหาปลาทูน่า เข้าเรียนปรัชญาที่ วิทยาลัย Pomona ใน แคลร์มอนท์ ผลงานการเขียนบทภาพยนตรืของเขามี Mission Impossible ภาค 1 และ 2, The Firm, Days of Thunder และมีส่วนร่วมในการเขียนเรื่อง The Godfather, Bonny & Clyde, Crimson Tide และ Armageddon ทำให้เขาเป็นหนึ่งนักเขียนบทที่ต้องการตัวมากคนหนึ่ง ทาวน์กำกับภาพยนตร์สี่เรื่องจากงานเขียนของเขารวมถึง Ask the Dust ทาวน์ยังเขียนบทและกำกับ Personal Best, Tequila Sunrise และ without Limits
Tom Cruise (ผู้อำนวยการสร้าง)
กว่า 20 ปีกับความสำเร็จในฐานะนักแสดงและผู้อำนวยการสร้าง ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 3 ครั้ง หนังที่เขาแสดงทำรายได้รวมกัน เกินกว่า 6 พันล้านเหรียญทั่วโลก ใน Ask the Dust ทอมร่วมทีมกับโรเบิร์ต ทาวน์ ผู้กำกับและเขียนบทหลังจากเคยอำนวยการสร้างเรื่อง Without Limits และนำแสดงในหนังที่ทาวน์เขียนบทถึง 4 เรื่อง Mission Impossible 1&2, Days of Thunder และ The Firm ทอมก่อตั้ง Cruise/Wagner Production ร่วมกับ พอลล่า แวกเนอร์ ในปี 1993 เขาอำนวยการสร้างให้กับ Mission Impossible, Shattered Glass, Narc, The Others, Vanilla Sky และ Elizabethtown
Paula Wagner (ผู้อำนวยการสร้าง)
หุ้นส่วน ทอม ครูซ ใน C/W Production มี Paramount Pictures ให้การสนัยสนุนใน 12 ปีที่ผ่านมา ทำหนังต่างกันออกมา 8 เรื่องได้รับรางวัลหลายรางวัล คำวิจารณ์ที่ดีและประสบความสำเร็จทางด้านรายได้ ซึ่งหนังที่พอลล่าและทอมอำนวยการสร้างก็มีหลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นแอ็คชั่นอย่าง Mission Impossible หรือหนังที่น่าตื่นเต้นอย่าง The Others รวมไปถึงผลงานก่อนหน้าของ โรเบิร์ต ทาวน์ที่ชื่อ Without Limits แวกเนอร์ยังรับหน้าที่ผู้บริหารการสร้างเรื่อง War of the Worlds และที่ร่วมอำนวยการสร้างร่วมกับทอมอีกหลายเรื่องคือ The Last Samurai ที่ทอมแสดงนำเอง และล่าสุดคือภาค 3 ของ Mission Impossibleเกือบ 15 ปีกับการทำงานเป็นเอเย่นต์ให้กับ CAA ก่อนหน้านั้นเคยเป็นนักแสดงละครเวที นักเขียนนวนิยาย แวกเนอร์ได้รับรางวัล Women in Hollywood Icon Award จากนิตยสาร พรีเมียร์ และเป็นกรรมการในองค์กรที่เกี่ยวกับภาพยนตร์อีกหลายแห่ง
Don Granger (ผู้อำนวยการสร้าง)
คร่ำหวอดในวงการภาพยนตร์โดยเริ่มจากเป็นผู้คิด สร้างสรรค์ และเป็นผู้ควบคุมงานสร้างและผลิต ร่วมงานใน Pretty Woman, Three Men and a Little Lady และ The Doctor เป็นผู้ดูแลการผลิตในสตูดิโอเรื่อง Mission Impossible, Star Trek, Patriot Games และ Saving Private Ryans
ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาเป็นผู้อำนวยการสร้างอิสระคือ Timeline เติบโตใน Woodbridge, Connecticut จบปริญญาตรีสาขา Political Science and Film จากมหาวิทยาลัย เยล ในปี 1985 ก่อนที่จะย้ายมาทำงานในวงการภาพยนตร์ใน ลอส แอนเจลิส เขาเคยทำงานที่วอลล์ สตรีท ในตำแหน่งนักวิเคราะห์ด้านการเงิน
Caleb Deschanel (กำกับภาพ)
ถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 5 ครั้งจากการกำกับภาพ เรื่อง The Passion of the Christ, The Patriot, Fly Away Home, The Natural และ The Right Stuff ผลงานของเขามีอีกมากไม่ว่าจะเป็น Anna and the King, The Hunted, Message in a Bottle และ It Could Happen to You และผลงานมนการเป็น ผู้กำกับภาพยนตร์ก็มีเรื่อง The Escape Artist, Crusoe และหนังสั้นอีกหลายเรื่อง Dennis Gassner (ออกแบบงานสร้าง) ได้รับรางวัลออสการ์จากการออกแบบงานสร้างเรื่อง Bugsy ของผู้กำกับ แบรี่ เลวินสัน ซึ่งในปีเดียวกันนั้นเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงถึง 2 เรื่อง อีกเรื่องคือ Barton Fink ของคู่พี่น้องโคห์น และยังถูกเสนอชื่อในปี 2003 จากเรื่อง Road to Perdition ของ แซม เมนเดส เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล BAFTA ถึง 4 ครั้ง ไดรับรางวัล 2 ครั้งจาก Road to Perdition และ Trueman Show
Robert K.Lambert (ลำดับภาพ)
ลำดับภาพมามากกว่า 20 เรื่อง รวม Without Limits ของโรเบิร์ต ทาวน์ นอกจากนั้นก็มี Blue Chips, The Exorcist, The Brinks Job, Sorcerer, Bluesky, Three Kings, Bulletproof Monk และ Rush Hour 2
Albert Wolsky (ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
เจ้าของรางวัลออสการ์ 2 ครั้งจาก All That Jazz และ Bugsy ทำงานออกแบบเครื่องแต่งกายมามากกว่า 65 เรื่อง อย่าง Jarhead, Road to Perdition, Maid in Manhattan, Runaway Bride, You’ve Got Mail, The Jackal, Grease, Manhattan, The Pelican Brief เกิดที่ปารีส ย้ายมาอยู่อเมริกาตอนอายุ 10 ขวบ อาศัยอยุ่ใน นิวยอร์ค จบการศึกษาจาก City College ในนิวยอร์ค เริ่มต้นอาชีพจากการทำงานละครเวทีในนิวยอร์ค
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
โป้ง 0-1327-6068,เม้ง 0-9129-0569,
ปลา 0-5824-5890,ปิ่น 0-6780-6096
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ