กรุงเทพฯ--2 พ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงฐานะของบริษัทในการเป็นผู้ผลิตกระดาษพิมพ์เขียนและเยื่อกระดาษชนิดเยื่อใยสั้นรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงการมีโรงงานที่มีประสิทธิภาพและมีการผลิตที่ครบวงจร นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงความต้องการเยื่อและกระดาษที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากการที่บริษัทยังคงมีภาระหนี้ที่สูงและมีประเภทผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างจำกัดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง รวมถึงราคาเยื่อและกระดาษที่ค่อนข้างผันผวน
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ว่าบริษัทจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้นอันเนื่องมาจากความต้องการเยื่อและกระดาษที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งน่าจะส่งผลให้ฐานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้น โดยแนวโน้มอันดับเครดิตดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานที่บริษัทจะใช้เงินสดส่วนเกินไปในการชำระหนี้ล่วงหน้าเป็นส่วนใหญ่ แต่หากบริษัทมีการลงทุนจำนวนมากในอนาคตซึ่งอาจส่งผลกระทบในด้านลบต่อสถานะทางการเงินของบริษัท ก็จะต้องมีการทบทวนอันดับเครดิตและแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทใหม่
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทแอ๊ดวานซ์ อะโกร เป็นผู้ผลิตกระดาษพิมพ์เขียนและเยื่อกระดาษรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย บริษัทและบริษัทในเครือเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจำนวน 2 โรงซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 500,000 ตันต่อปี และมีเครื่องจักรผลิตกระดาษจำนวน 3 เครื่องซึ่งมีกำลังการผลิตประมาณ 564,000 ตันต่อปี บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดสำหรับกระดาษพิมพ์เขียนภายในประเทศในสัดส่วน 29% ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจาก บริษัท กระดาษไทย จำกัด บริษัทยังเป็นผู้ส่งออกเยื่อใยสั้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีการส่งออกจำนวน 126,386 ตันในปี 2547 และ 49,228 ล้านตันในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 สัดส่วนรายได้ของบริษัทในปี 2547 มาจากธุรกิจกระดาษจำนวน 78% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่ธุรกิจเยื่อกระดาษมีสัดส่วนรายได้ 16% ของรายได้ทั้งหมด โดยรายได้ส่วนที่เหลือมาจากการขายไฟฟ้า
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2548 บริษัทแอ๊ดวานซ์ อะโกร มีหนี้สินรวม 16,925 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 16,262 ล้านบาทในเดือนธันวาคม 2547 แต่ลดลงอย่างมากจากปี 2546 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 19,144 ล้านบาท แม้ว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัทได้ลดลงจากระดับ 71.2% ในปี 2546 สู่ระดับ 63.7% ในปี 2547 และสู่ระดับ 62.8% ณ เดือนมิถุนายน 2548 แต่สัดส่วนดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับสูง หนี้สินที่ลดลงเป็นจำนวนมากในปี 2547 ประกอบกับผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 9.8% ในปี 2546 เป็น 17.25% ในปี 2547 อย่างไรก็ตาม เงินกู้ยืมระยะสั้นที่เพิ่มขึ้นจาก 1,786 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2547 เป็น 3,866 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2548 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินรวมของบริษัทยังคงอยู่ในระดับเดียวกับปี 2547 ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทริสเรทติ้งเป็นห่วง
ความต้องการใช้เยื่อกระดาษภายในประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้กระทั่งในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 โดยระหว่างปี 2540-2541 ความต้องการใช้กระดาษพิมพ์เขียนลดลงเล็กน้อยจาก 425,000 ตันในปี 2539 เป็น 397,000 ตันในปี 2540 และ 356,000 ตันในปี 2541 ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2542 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ความต้องการใช้เยื่อและกระดาษพิมพ์เขียนภายในประเทศในช่วงปี 2542-2547 อยู่ที่ระดับ 5.8% และ 12.2% ตามลำดับ ในขณะเดียวกัน ความต้องการในต่างประเทศก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากความต้องที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศจีน ทริสเรทติ้งกล่าว--จบ--