กรุงเทพฯ--31 พ.ค.--พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส
เนสท์เล่ ประเทศไทย ตอกย้ำศักยภาพความแข็งแกร่งในฐานะผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ ประกาศศักยภาพกลยุทธ์องค์กรหลัก 3 ประการ ที่เน้นพัฒนาบุคคลากร พัฒนาระบบธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมเพื่อผู้บริโภค โดยสามารถนำกลยุทธ์เหล่านี้ที่ปรับประยุกต์ใช้กับองค์กรได้อย่างลงตัวและมีประสิทธิภาพ เน้นการบริหารแบบต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบรับสภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และแข่งขันอย่างรุนแรง มั่นใจปี 2549 ธุรกิจโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเติบโตสูงกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
มร.เกรแฮม แคมพ์เบลล์ ประธานกรรมการคณะผู้บริหาร กลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย กล่าวว่า "ทุกวันนี้ นอกจากตลาดโลก และตลาดในประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแล้ว ในส่วนของผู้บริโภคเองก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ทั้งความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น ความคาดหวังในรสชาติและคุณภาพของสินค้าที่นับวันจะทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนั้น ในส่วนของคู่แข่งทางธุรกิจ ก็มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาธุรกิจตลอดเวลาเช่นกัน ฉะนั้น เนสท์เล่ จึงต้องทำให้องค์กรยืดหยุ่น คล่องตัวขึ้นเพื่อให้ทำงานได้รวดเร็วขึ้น ขณะเดียวกันก็มีทิศทางที่ชัดเจนนั่นคือ นอกจากจะเป็นผู้นำในด้านอาหารและเครื่อดื่มแล้ว ยังจะก้าวไปสู่การเป็นผู้นำด้านสุขภาพและโภชนาการด้วย ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้เนสท์เล่สามารถก้าวล้ำเหนือการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง"
ด้วยสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์เนสท์เล่ทั้ง 12 กลุ่ม ส่งผลให้เนสท์เล่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2548 ยอดขายรวมในกลุ่มเนสท์เล่ อินโดไชน่า(ประเทศไทย ลาว พม่า กัมพูชา และเวียดนาม)โดยรวมรายได้จากการส่งออก มีมูลค่าประมาณ 38,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 คิดเป็นร้อยละ 8.4 ในขณะที่เนสท์เล่ ประเทศไทย มียอดขายภายในประเทศ มูลค่าประมาณ 27,000 ล้านบาท และมีรายได้การส่งออกในกลุ่มเนสท์เล่ ประเทศไทย มูลค่า 8,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 22 ของยอดขายกลุ่มเนสท์เล่ อินโดไชน่า และในปี 2549 นี้ เนสท์เล่ได้ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 6-7
สำหรับประเทศไทย เนสท์เล่ มีอัตราการเติบโตจากผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์กาแฟ และครีมเทียม กลุ่มผลิตภัณฑ์นมสำหรับเด็ก และกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำนมบรรจุกระป๋อง และยังครองใจผู้บริโภคอันดับ 1 ของตลาดอยู่ในขณะนี้ ในขณะเดียวกัน เนสท์เล่ไอศกรีมประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และมีอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุดในประเทศ เมื่อเทียบกับคู่แข่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอศกรีม โดยเนสท์เล่ไอศกรีมสามารถขึ้นมาครองตำแหน่งผู้นำตลาดร่วมในปี 2548 และคงอัตราการเติบโตอยู่สูงกว่าร้อยละ 30
สำหรับกลยุทธ์องค์กร 3 ประการ ที่เนสท์เล่นำมาปรับใช้เพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งให้แก่องค์กรและธุรกิจนั้น ประกอบด้วย
1) การพัฒนาบุคลากร ให้มีส่วนร่วมมีความมุ่งมั่น มีความรับผิดชอบสูง และเน้นการทำงานเป็นทีมให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมในการทำงาน สิ่งแวดล้อม และบรรยากาศการทำงานในสำนักงานใหม่ เพื่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ โดยเน้นความโปร่งใสและลดขั้นตอนในการทำงาน เพราะจุดนี้ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการสร้างรากฐานองค์กรให้แข็งแกร่ง
2) การพัฒนาระบบการทำงาน เช่น ระบบ GLOBE ที่นำมาพัฒนาและใช้กันในเนสท์เล่ทั่วโลก ระบบธุรกิจ โดยรวบรวมการปฏิบัติที่เป็นเลิศ สามารถสร้างความได้เปรียบจากธุรกิจใหม่และโอกาสที่มีในการดำเนินธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและระบบยังสร้างความเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกได้อีกด้วย โดยระบบสามารถช่วยลดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยากซับซ้อน ทำงานได้รวดเร็วขึ้น และสามารถตรวจสอบข้อมูลได้ทำให้เกิดความโปร่งใสในการทำงาน
3) การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ ของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมเพื่อผู้บริโภค เนสท์เล่เป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมเพื่อผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยมีผลิตภัณฑ์ และกิจกรรมที่โดดเด่นมากมาย เช่น ผลิตภัณฑ์นมตราหมีบีบ, ผลิตภัณฑ์ตราหมีโกลด์ และผลิตภัณฑ์ไอศกรีมเนสท์เล่ เอกซ์ตรีม ที่ตอบสนองความต้องการขิงผู้บริโภคเป็นหลัก รวมทั้งกิจกรรมรูปแบบแปลกใหม่ในการเข้าถึงผู้บริโภคอีกด้วย
เนื่องด้วย คนไทยในปัจจุบันมีภาวะสุขภาพที่น่าเป็นห่วงมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นต่อไปนี้
- พบสถิติว่าเด็กอ้วนเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 20 ในระยะ 10 ปีที่ผ่านมา และเป็นเรื่องที่น่าวิตกอย่างยิ่งว่า ขณะนี้ประเทศไทยพบเด็กอายุเพียง 3 ปี ป่วยเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 (เบาหวานที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากกรรมพันธุ์)
- อัตราการตายของคนไทยในปัจจุบัน 5 อันดับแรก ได้แก่มะเร็ง ความดันโลหิตสูง หัวใจวาย หลอดเลือดตีบตัน และเบาหวาน
สาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาดังกล่าว มาจากการบริโภคอาหารที่ไม่ดีทั้งด้านโภชนาการและปริมาณรวมทั้งขาดการออกกำลังการที่เหมาะสม
ในฐานะผู้นำด้านการผลิตอาหารและเครื่อดื่ม เนสท์เล่จึงตระหนักในปัญหาดังกล่าว และยึดถือเป็นทิศทางสำคัญที่ต้องร่วมแก้ไข โดยเน้นการให้ความรู้ด้านโภชนาการ ซึ่งเป็นหัวใจหลักในการสร้างความน่าเชื่อถือ ความไว้วางใจในระยะยาวให้แก่ผู้บริโภค โดยสอดแทรกความรู้ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ
- โครงการเด็กไทยสุขภาพดี ซึ่งนับเป็นปีที่ 3 ที่มีการเดินสายกิจกรรมให้ความรู้ด้านโภชนาการผ่านทางสื่อการสอน และกิจกรรมที่สร้างสรรค์แก่โรงเรียนระดับประถมศึกษากว่า 100 โรงเรียนทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด และยังมีการแจกสื่อการเรียนการสอนไปยังโรงเรียนกว่า 5,000 แห่ง
- การเพิ่มเติมข้อมูลน่ารู้ด้านโภชนาการเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ลงบนบรรจุภัณฑ์ ที่เราเรียกว่า'Nestle Nutritional Compass หรือ สัญลักษณ์แห่งคุณภาพโภชนาการ ' ประกอบด้วย 3 ส่วน คือชวนให้จำ ชวนให้คุยกับเรา และชวนให้รู้
- สนับสนุนกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมโครงการการศึกษาวิจัยประเมินปัจจัยเสี่ยงของ โรคเมตะบอลิค ซินโดรม(หรือโรคไขมันในช่องท้อง)ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากไขมันที่แทรกอยู่ตามกระเพาะ ลำไส้ ตับ ตับอ่อน เป็นต้นเหตุทำให้อินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อนออกฤทธิ์ไม่ดี จนเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัณของโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดผิดปกติตามมา ซึ่งโรคในกลุ่มดังกล่าวนี้กำลังเป็นปัญหาคุกคามคนทั่วโลกอีกด้วย
เนสท์เล่ ในฐานะบริษัทผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำของโลก ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 113 ปี ได้นำกลยุทธ์องค์กรหลัก 3 ประการ มาประยุกต์ใช้ได้อย่างเหมาะสมกับโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน และด้วยความมุ่งมั่นของเนสท์เล่ในการส่งเสริมให้ผู้บริโภคใส่ใจในเรื่องอาหาร และโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีและการมีชีวิตที่ยืนยาว นอกจากการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารคุณภาพแล้ว เนสท์เล่ยังเห็นความสำคัญของหารสร่างสรรค์กิจกรรมที่มีสารประโยชน์แก่ผู้บริโภค และต่อสังคมไทยอย่างต่อเนื่องเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สมดังปณิธานที่มุ่งมั่นเสมอมาของเรา นั่นคือ เนสท์เล่ 'Good Food ,Good Life'"มร.แคมเบลล์ กล่าวสรุป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
คุณกุนธิรา ณัฐวัฒนานนทน์
พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส
โทรศัพท์ 02 651-8989 ต่อ 332
E-mail : khuntira@prassociates.net