กรุงเทพฯ--12 มี.ค.--มิกซ์ แอนด์ แมทช์ คอมมิวนิแคชั่นส์
ขนของพรีเมียมสุดคูลเอาใจแฟนพันธุ์แท้นักสะสม พร้อมเปิดคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดพร้อมกันถึง 2 สไตล์ ให้สาวกเมืองไทยไม่ตกเทรนด์ทั้งแฟชั่นบู๊ทสีเจ็บที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมไปทั่วโลก และรองเท้าลำลองในวันสบาย พร้อมตั้งเป้าโตอีก 10% เตรียมรองเท้ารุ่นใหม่เอาใจทุกสไตล์อีกกว่า 50 รุ่น
นางสุดา ทรงอุดมวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โอ. ที. ที. ฟุตแวร์ จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรองเท้า ดร.มาร์ตินส์ แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เปิดเผยถึงการฉลองครบรอบ 50 ปี ของ ดร.มาร์ตินส์ ว่า ในประเทศไทยเตรียมจัดคอนเซ็ปท์เดียวกันกับทั่วโลก คือ “Love My DOCS” โดยนำเอาของพรีเมียมที่เป็นคอลเลคชั่นพิเศษเฉพาะของ ดร.มาร์ตินส์ เพื่ออภินันทนาการให้กับลูกค้าที่ซื้อ รองเท้าดร.มาร์ตินส์ ทุกรุ่นทุกสาขา เริ่มตั้งแต่ 17 มีนาคม จนถึงเดือนเมษายนศกนี้ พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัว 2 คอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด ได้แก่ คอลเลคชั่นพิเศษ Retro Active Boot Collection ที่ขนบู๊ทสุดเท่มาให้เลือกถึง 7 สีเข้มสุดคูล ที่โดดเด่นอินเทรนด์ด้วยพื้นรองเท้าสีขาว ตัวรองเท้าทำจากหนังคุณภาพที่ถูกออกแบบลายให้ดูลำลองแบบแคนวาส แต่ยังคงความเท่คลาสสิคในแบบฉบับของ ดร.มาร์ตินส์ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำที่ยังคงรักษาความนิยมรองเท้าบู๊ท 1460 มานานกว่า 50 ปี พร้อมทั้ง Summer Collection ที่ขนรองเท้า Casual ในสไตล์แตะลำลอง และรองเท้าสานเบาสบาย เพื่อต้อนรับหน้าร้อนนี้ อีก 7 รุ่น
“คอลเลคชั่นพิเศษ Retro Active Boot Collection ออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจมาจากแฟชั่นสไตล์อเมริกัน และเทรนด์แบบเรโทรที่ถูกปรับเปลี่ยนจากสไตล์นักเรียนประถมไปเป็นแบบนักกีฬามหาวิทยาลัย ดังนั้นรูปลักษณ์ใหม่ของ ดร.มาร์ตินส์ สำหรับ Spring Summer 2010 จึงถูกสร้างสรรค์ด้วยแรงบันดาลใจจากชุดนักกีฬามหาวิทยาลัยและเสื้อถักรัดรูปแบบยุคฟิฟตี้ (50th) ที่มีรูปแบบเรียบง่ายแต่แฝงไว้ด้วยเฉดสีเข้ม เน้นการผ่อนคลายอิริยาบถไปกับดีไซน์การแต่งตัวที่สบายออกแนวสปอร์ตและทันสมัยมากขึ้น แต่แฝงไว้ด้วยความหรูของวัสดุ ซึ่งเชื่อว่าคอลเลคชั่นล่าสุดนี้จะทำให้แฟนบู๊ทของดร.มาร์ตินส์ ไม่ตกเทรนด์กระแสแฟชั่นรองเท้าบู๊ทที่กำลังระบาดอยู่ทั่วโลกขณะนี้อย่างแน่นอน
พร้อมกันนี้ยังเตรียมวางจำหน่ายรองเท้า Limited Edition 1460 รุ่นพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 50 ปี โดยทำขึ้นทั่วโลกเพียง 1460 คู่เท่านั้นและผลิตในประเทศอังกฤษ โดยโรงงานต้นกำเนิดในเมืองวอลลาสตัน (Wollaston Factory) และทำจากหนัง Pebble มีให้เลือก 2 สีหลัก คือ สีอมตะ Black Pebble และสีต้นกำเนิดยอดฮิตอย่าง Cherry Red Pebble ทั้งนี้สินค้าจะมีวางจำหน่ายในประเทศไทยประมาณเดือนพฤษภาคมศกนี้และมีเพียงสีละ 8 คู่เท่านั้น โดยวางจำหน่ายเฉพาะที่ห้างสรรพสินค้าเซ็น ชั้น 5 ”
สำหรับกิจกรรมทางการตลาดของ ดร.มาร์ตินส์ ในประเทศไทยได้เตรียมจัดคอนเซ็ปต์เดียวกันทั่วโลก คือ “Love My DOCs” โดยนำเอาของพรีเมียมที่เป็นคอลเลคชั่นพิเศษเฉพาะของ ดร.มาร์ตินส์ มาร่วมอภินันทนาการให้กับลูกค้าที่ซื้อรองเท้า ดร.มาร์ตินส์ ทุกรุ่นทุกสาขา เริ่มตั้งแต่ 17 มีนาคม ถึง 30 เมษายน 2553 หรือจนกว่าของจะหมด อาทิ ซื้อ 1 คู่ ได้แก้ว Love My DOCs 1 ใบ มูลค่า 460 บาท หรือ ซื้อ 2 คู่ พร้อมกัน แลกรับ Dr.Martens Boot Flash Drive 2 GB 1 ชิ้น มูลค่า 1,460 บาท (จำกัดเพียง 50 ท่านแรก) และ พิเศษ เฉพาะลูกค้าที่ซื้อรองเท้า รุ่น 1460 สีใดก็ได้ รับเพิ่มที่ห้อยมือถือรูปรองเท้า Boot 1 ชิ้น มูลค่า 230 บาท โดยของแถมมีจำนวนจำกัดในแต่ละสาขา
นางสุดา กล่าวต่อไปว่า ในปี 2552 ที่ผ่านมา ดร.มาร์ตินส์ มียอดขายโตขึ้นประมาณ 4% จากปี 2551 หรือขายได้ประมาณ 13,000 คู่ และในปี 2553 ดร.มาร์ตินส์ตั้งเป้าหมายเติบโตอีก 10% หรือประมาณ 14,300 คู่ โดยสัดส่วนการขายจะมาจากรองเท้า Classic Style หรือบู๊ท 30% Smart Working 30% และ Casual 40% พร้อมทั้งคาดว่าตลอดทั้งปี 2553 จะมีการนำเข้ารองเท้ารุ่นใหม่อีกมากกว่า 50 รุ่น เพื่อรองรับความต้องการของตลาดในเมืองไทย
“เป็นที่น่าสังเกตว่าในช่วง 2 — 3 ปี ที่ผ่านมาเทรนด์ของรองเท้าบู๊ท ดร.มาร์ตินส์ กลายเป็นกระแสความนิยมของแฟชั่นนิสต้าทั่วโลก รวมทั้งในเมืองไทยด้วย โดยในปีที่ผ่านมาเฉพาะรองเท้าบู๊ทมียอดขายโตขึ้นถึงกว่า 20% ทั้งนี้โดยสาเหตุมาจากการร่วมมือกันในการสร้างสรรค์ผลงานกับบรรดากูรูแฟชั่นชั้นนำของโลก ไม่ว่าจะเป็น ราฟ ไซมอนส์, STUSSY และ แบรนด์ Y’S ของ โยจิ ยามาโมโตะ
สำหรับในเมืองไทยกระแสความฮิตของบู๊ทในสไตล์ ดร.มาร์ตินส์ เริ่มร้อนแรงมากขึ้นในหมู่วัยรุ่นไทยใน ปี 2551 กับการเปิดตัวในช่วง Summer ด้วยหนังแก้วอินเทรนด์ สีส้ม เขียว แดง เหลือง ของ Dr. Martens Fluorescence และตามด้วยหนังแก้วโทนสี pastel ม่วง ชมพูพาสเทล มัลเบอรี่ และฟ้าแซฟไฟร์ ในช่วงปลายปี 2551 ก่อนจะตามด้วย Dr. Martens รุ่น 1F66 Monochrome Boot ในช่วง Summer ปี 2552 ที่มีสีให้เลือก ได้แก่ แดง เขียว น้ำเงิน เหลือง ที่ยกขบวนมาสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวัยรุ่นในเมืองไทย
และในปี 2553 จะเป็นอีกปีที่กระแสของแฟชั่นรองเท้าบู๊ทยังคงได้รับความนิยมอย่างมาก ดังนั้น ดร.มาร์ตินส์ จึงเพิ่มสัดส่วนการนำเข้าของรองเท้าที่เป็น Classic Style หรือบู๊ทมากขึ้น หรือคิดเป็น 30% ของยอดนำเข้าทั้งหมดในปีนี้ “ นางสุดา กล่าวในตอนท้าย
เปิดตำนาน 50 ปี ดร.มาร์ตินส์
ตำนาน Dr. Martens เริ่มต้นจากเมืองซีฮอปท์ซึ่งอยู่ใกล้นครมิวนิค ประเทศเยอรมนี เมื่อปี 1945 ขณะที่ ดร.เคลาส์ มาตินส์ (Dr. Klaus Maertens) ได้รับอุบัติเหตุบาดเจ็บที่เท้า ขณะเล่นสกี ณ เทือกเขาแอลพส์ (the Bavarian Alps) ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยพยุง และรองรับน้ำหนักที่ต้องทิ้งผ่านมายังส้นเท้า ขณะเหยียบพื้น หรือขณะเดิน เขาจึงออกแบบพื้นรองเท้าที่สามารถรับช่วงสรีระของเท้า เสมือนเป็นเบาะที่อัดอากาศอยู่ด้านใน (Air Cushioned) โดยการใช้แผ่นยางเก่าๆ มาประกบชิดกันระหว่างชั้นให้มีช่องดักอากาศอยู่ภายใน ทำให้เกิดความรู้สึกนุ่มและสวมใส่สบายทั้งยังเป็นการปฐมพยาบาลขั้นต้นสำหรับผู้ได้รับบาดเจ็บที่เท้าอีกด้วย (อันเป็นที่มาของการจดเครื่องหมายการค้า Bouncing Soles ในเวลาต่อมา)
เขาได้โชว์ต้นแบบพื้นรองเท้าอันนี้ให้กับเพื่อนนักประดิษฐ์นั่นคือ ดร.เฮอร์เบิรต์ ฟังค์ (Dr.Herbert Funck) เพื่อพิจารณา ก่อนจะตัดสินใจร่วมกันพัฒนาและผลิตรองเท้าประเภทนี้ต่อไป
ต่อมาในปี 1959 ดอกเตอร์ เฮอร์เบิรต์ ฟังค์ (Dr. Herbert Funck) และ ดอกเตอร์ เคลาส์ มาตินส์ (Dr. Klaus Maertens) ตัดสินใจที่จะหาบริษัทผู้ผลิต และจัดจำหน่ายรองเท้าของพวกเขา พร้อมทั้งตั้งชื่อของ แบรนด์ ว่า Dr. Martens ณ จุดเริ่มต้น โรงงานหลายแห่งได้ปฏิเสธเนื่องจากต้องมีเทคนิคพิเศษที่อัดอากาศอยู่ด้านใน (Air Cushioned)ซึ่งล้ำสมัยมากในเวลานั้น แต่ในที่สุด กลุ่มบริษัท อาร์ กริกส์ (The R.Griggs Group) ตั้งอยู่ที่เมืองวอลลาสตัน (Wollaston) ประเทศอังกฤษ ได้รับผลิตผลงานของพวกเขา โดยผลิตรองเท้าบู๊ทคู่แรกที่มีวิวัฒนาการพื้นรองเท้าแบบ Air Cushioned
ในวันที่ 1 เมษายน 1960 นับเป็นวันถือกำเนิดของรองเท้าบู๊ท Dr. Martens 1460 ซึ่งนับเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญของ Dr. Martens และถือเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงถึงความเป็นชาวสังคมอังกฤษด้วยเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของการเย็บขอบด้วยด้ายสีเหลือง (Yellow Stitch) บวกกับคุณภาพที่ทนทานต่อการใช้งานหนัก นับจากนั้นเป็นต้นมา รองเท้า Dr. Martens ก็ได้มีการพัฒนารูปแบบดีไซน์ให้มีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง จึงได้รับความนิยมและแพร่หลายอย่างรวดเร็วมาถึง 50 ปี โดยปัจจุบันมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ และมีสาขาทั้งยุโรป อเมริกา และเอเชีย กว่า 60 ประเทศทั่วโลก
สอบถามข้อมูลข่าวเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ:
ปัทมา เปรมปรี หรือ ณัฐนันท์ สมาธิ , บริษัท มิกซ์ แอนด์ แมทช์ คอมมิวนิแคชั่นส์ จำกัด
โทร. 0 2967 7713 4
อีเมล์ ying_mandm@yahoo.com, oum_mandm@yahoo.com