กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--ลลิล พร็อพเพอร์ตี้
บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ประกาศผลประกอบการประจำปี 2549 โดยรับรู้รายได้ 1,927.69 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 821.81 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42.6% ของรายได้ และมีกำไรสุทธิที่ 396.39 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 0.48 บาทต่อหุ้น พร้อมจ่ายเงินปันผลรวมในปี 2549 เป็นจำนวน 0.24 บาทต่อหุ้น หรือ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อราคาหุ้น(ปัจจุบัน) 5.5% โดยจะจ่ายอีก 0.12 บาทต่อหุ้น สำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลัง หลังจากจ่ายไปแล้ว 0.12 บาทต่อหุ้นสำหรับครึ่งปีแรก ทั้งนี้บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 4,510.02 ล้านบาท หนี้สินรวม 1,176.28 ล้านบาท ส่วนของเจ้าของ 3,333.74 ล้านบาท โดยมีอัตราหนี้สินต่อทุนที่ 0.35 เท่า สำหรับปี 2550 บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 3-4 โครงการ มูลค่าโดยประมาณ 3 พันล้านบาท
นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฯ กล่าวว่า ในปี 2549 ที่ผ่านนับว่ามีความไม่แน่นอนอยู่สูงมากทั้งในด้านการเมืองและเศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับเหนือ 60 — 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการประท้วงของกลุ่มประชาชนที่ต้องการขับไล่รัฐบาลก่อนจนนำมาสู่การปฎิรูปการปกครองในวันที่ 19 กันยายน ซึ่งล้วนส่งผลให้ความเชื่อมั่น และกำลังซื้อภาคประชาชนลดลง ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนเกิดความไม่มั่นใจ และชะลอการตัดสินใจในการซื้อที่อยู่อาศัย
อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมแล้วยังคงปรับตัวได้ดี และมีเสถียรภาพยิ่งขึ้นใน ช่วงเวลาที่ผ่านมา สำหรับในปี 2549 แล้วในช่วง 11 เดือนแรกของปีอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปีก่อนโดยมีอัตราการเจริญเติบโตที่ระดับ 8 % โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภคจะเป็นกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียมในเมืองที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้า ซึ่งมีระดับราคาในช่วง 1 — 1.5 ล้านบาท ในขณะที่บ้านเดี่ยวที่ปรับตัวลดลง 25 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีการเปิดโครงการใหม่ที่ชะลอตัวลง
ลลิลฯ ในปี 2550 ยังคงมองว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์น่าจะยังคงชะลอตัวอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีแรก อันเนื่องมาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่กลับมา และดอกเบี้ยเพิ่งเริ่มลดลง แต่จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่อยู่ในช่วงปรับลดลง ราคาน้ำมันโลกที่เชื่อว่าน่าจะมีเสถียรภาพมากขึ้น การลงทุนในโครงการระบบขนส่งมวลชนที่เป็นรูปธรรมของภาครัฐฯ เสถียรภาพทางการเมืองที่มาพร้อมกับการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีการเลือกตั้งขึ้นได้ภายในปีนี้ ปัจจัยบวกทั้งหลายเหล่านี้ เชื่อว่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้ภาคประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ภาคเอกชนเริ่มลงทุนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีทิศทางที่ดีขึ้น
สำหรับนโยบายธุรกิจของบริษัทฯ ในปี 2550 จะเปิดโครงการเพิ่มอีกประมาณ 3-4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโครงการรวมทั้งสิ้น 24 — 25 โครงการ และสามารถรองรับการรับรู้รายได้ ได้สูงถึง 10,000 ล้านบาท โดยโครงการที่คาดจะเปิดในปีนี้มีรายละเอียด ดังนี้
1. โครงการบ้านบุรีรมย์ รามอินทรา มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท คาดเปิดภายในครึ่งปีแรก
2. โครงการบ้านบุรีรมย์ เทพารักษ์ สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท
3. โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท คาดเปิดในครึ่งปีหลัง
4. โครงการใหม่
รายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ คุณลัคนา เบื้องสูง (เยาว์)
โทร. 089-815-4690 , โทรสาร 0-2732-1041-5 ต่อ 423