ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ “บ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ “A/Stable”

ข่าวทั่วไป Tuesday August 21, 2007 08:43 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ส.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,900 ล้านบาทของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ชุดเดิมของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางการเงินของบริษัทที่ยอมรับได้ ตลอดจนการมีธุรกิจที่กระจายตัวและสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วน การมีคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ การเติบโตของธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมในต่างประเทศ และโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจอาหารบริการด่วนที่มีการแข่งขันที่รุนแรงและมีอัตรากำไรที่ต่ำ นอกจากนี้ การที่บริษัทขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจที่อยู่อาศัยราคาแพงและธุรกิจโรงแรมในต่างประเทศ ประกอบกับผลกระทบในแง่ลบต่อธุรกิจโรงแรมจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินบาทยังเป็นปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับของกระแสเงินสดให้แข็งแกร่งต่อไปได้ โดยที่ผู้บริหารของบริษัทจะยังคงใช้เงินลงทุนในแผนขยายกิจการอย่างระมัดระวังทั้งจากกระแสเงินสดภายในและจากการกู้ยืม
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ก่อตั้งโดย Mr. William Ellwood Heinecke ในปี 2521 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จในการขยายกิจการจนปัจจุบันถือได้ว่าบริษัทเป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่มีการกระจายตัวมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งประกอบด้วยโรงแรมทั้งที่บริษัทเป็นเจ้าของหรือบริหารซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางเมืองและโรงแรมแบบตากอากาศพร้อมบริการสปาที่หรูหราจำนวนทั้งหมด 15 แห่ง รวมมากกว่า 2,300 ห้องซึ่งอยู่ในประเทศไทย มัลดีฟ และเวียดนาม โรงแรมเหล่านี้บริหารและดำเนินงานภายใต้ตราสัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกอย่าง Marriott และ Four Seasons และตราสัญลักษณ์ของบริษัทเอง คือ Anantara และหลังจากการปรับโครงสร้างของกลุ่มไมเนอร์ในปี 2546 บริษัทได้นำธุรกิจอาหารบริการด่วนของกลุ่มมาดำเนินการภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2523 และเป็นผู้ให้บริการธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย MFG เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ของต่างประเทศจำนวน 4 ตราสัญลักษณ์ คือ สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เล่อร์ แดรี่ ควีน และ เบอร์เกอร์ คิง นอกจากนี้ยังรวมถึง เดอะ พิซซ่า คอมปะนี ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของบริษัทเองด้วย โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2549 บริษัทมีร้านประกอบการและให้แฟรนช์ไชส์รวมทั้งหมด 649 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
รายได้จากธุรกิจโรงแรมและอาหารบริการด่วนมีสัดส่วนมากกว่า 90% ของรายได้รวมของบริษัท เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในธุรกิจ 2 ประเภทแล้ว บริษัทมีฐานรายได้ที่ใหญ่และหลากหลายกว่าจากการขยายตัวเป็นอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 ความสามารถในการทำกำไรของอุตสาหกรรมโรงแรมจะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินบาทเนื่องจากการตั้งอัตราห้องพักส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ แต่รายได้ของบริษัทยังคงเพิ่มขึ้น 14% เป็น 6,567 ล้านบาทจาก 5,758 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วน โดยรายได้ของโรงแรมเพิ่มขึ้น 16% เป็น 2,648 ล้านบาทเนื่องจากการเปิดตัวโรงแรม โฟร์ซีซั่นสมุยวิลเลจ ในต้นปี 2550 และการปรับตัวดีขึ้นของอัตราโดยรวมของรายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ (Revenue Per Available Room -- RevPAR) ของบริษัทในระดับ 3,777 บาทต่อห้องในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 จากผลของการบริหารจัดการอัตราห้องพัก โดยบริษัทกำหนดอัตราห้องพักโดยการคำนวณจากอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทล่วงหน้า ในขณะเดียวกัน รายได้ของธุรกิจอาหารบริการด่วนของบริษัทก็เพิ่มขึ้น 10% หรือ 3,350 ล้านบาทเนื่องจากผลของการขยายสาขาเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2550
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า สัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 45.3% ณ สิ้นปี 2549 เป็น 47.3% ณ เดือนมิถุนายน 2550 เนื่องจากภาระหนี้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 7,542 ล้านบาท และแม้ว่าบริษัทจะตั้งเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทที่มีสินทรัพย์ไม่มาก (Asset-light Company) แต่แผนการขยายกิจการจะทำให้บริษัทต้องมีรายจ่ายฝ่ายทุนเป็นอย่างมากเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการเติบโตในระยะยาว โดยเป็นที่คาดการณ์ว่าบริษัทจะลงทุนจำนวนมากในธุรกิจโรงแรมเนื่องจากบริษัทได้ประกาศว่าจะลงทุนในโครงการ St. Regis Hotel & Residence Bangkok ซึ่งจะต้องใช้เงินลงทุนมากกว่า 4,700 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อเป็นค่าลงทุนก่อสร้างโครงการ ซึ่งเงินทุนส่วนหนึ่งจะใช้กระแสเงินสดภายในของบริษัท ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานประมาณ 2,200-2,500 ล้านบาทต่อปี ดังนั้น จึงคาดว่าบริษัทจะรักษาระดับโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ที่ประมาณ 50% เอาไว้ในช่วงระยะเวลาของการก่อสร้าง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2550 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ