กรุงเทพฯ--18 มี.ค.--ตลท.
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การที่ผู้ชุมนุมได้เดินทางมายังหน้าอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ โดยผู้ชุมนุมได้แจกเอกสารและขอคำชี้แจงเกี่ยวกับการที่ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอชี้แจงว่า ปัจจัยที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ประกอบด้วย ปัจจัยทั้งภายนอกที่เอื้ออำนวย และปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศและปัจจัยพื้นฐานตลาดหุ้นไทยที่แข็งแรงสนับสนุน
ในด้านปัจจัยภายนอก สภาพคล่องในตลาดทุนโลกที่ยังมีอยู่สูง รวมทั้งการที่ธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณที่จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายไปอีกระยะหนึ่งเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สะท้อนจากการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิม ทำให้ผู้ลงทุนโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้วต้องการหาแหล่งลงทุนใหม่ในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) ที่ได้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ประกอบกับการที่ผู้ลงทุนมีความเชื่อมั่นในพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศในแถบยุโรปที่ยังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจากทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เปราะบางและปัญหาการชำระหนี้สาธารณะของภาครัฐ ทำให้ตลาดหุ้นในเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทยได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนต่างประเทศค่อนข้างมาก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ของตลาดหุ้นในภูมิภาคและตลาดหุ้นไทยต่างปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา
ในด้านปัจจัยภายในที่เป็นปัจจัยบวก คือปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยและของตลาดหุ้นไทยที่ยังคงมีความแข็งแรง สะท้อนจากเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจทั้งในระดับภาพรวมและระดับภาคธุรกิจที่ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 4 ปี 2552 GDP ของไทยขยายตัวถึง 5.8% เทียบกับไตรมาส 4 ปี 2551 ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2552 ปรับสูงขึ้นถึง 42% เมื่อเทียบกับปี 2551 นอกจากนี้ อัตราเงินปันผลตอบแทน (Market Dividend Yield) จากการลงทุนในบริษัทจดทะเบียน ณ 16 มี.ค. 2553 อยู่ที่ 3.51% ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดหลักทรัพย์ในภูมิภาค
นอกจากนี้ หุ้นไทยยังได้รับปัจจัยบวกจากมุมมองที่ดีขึ้นของนักวิเคราะห์การลงทุน เช่น ฝ่ายวิจัยของ Morgan Stanley ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำของโลก ได้ให้คำแนะนำแก่ผู้ลงทุนให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นไทย (จาก equal-weight มาเป็น overweight) โดยให้เหตุผลสำคัญ 2 ข้อ ได้แก่ (1) ราคาหุ้นไทยยังถูก โดยดูจาก Forward P/E (อัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นปัจจุบันต่อกำไรคาดการณ์ต่อหุ้น) ที่ระดับ 11.4 เท่า (ณ วันที่ 16 มีนาคม 2553) ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค และ (2) ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยที่ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวดีขึ้น
จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่จะเหตุการณ์ชุมนุม โดยนับจนถึงวันที่ 17 มี.ค. 2553 มีมูลค่าซื้อสุทธิรวม 32,006 ลบ. และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงดังกล่าว
ถึงแม้เศรษฐกิจไทย ยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านสถานการณ์ทางการเมือง แต่นักลงทุนต่างชาติได้รับทราบสถานการณ์การเมืองของไทยมาโดยตลอด และอาจมีการประเมินว่าสถานการณ์ทางการเมืองไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ จึงยังคงมีความมั่นใจในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม ภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์ มีการปรับตัวตามปัจจัยต่าง ๆ ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้ลงทุนควรต้องมีการติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ สำหรับการตัดสินใจลงทุน
สำหรับมาตรการเพิ่มการดูแลความปลอดภัยของอาคารตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ประสานงานกับสถานีตำรวจลุมพินี ที่พร้อมจะเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยของอาคาร และพร้อมจะปฏิบัติงานได้ทันที โดยมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน และระบบงานสำคัญ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. S-E-T Call Center 0-2229-2222
ติดต่อส่วนประชาสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229—2036 /
กนกวรรณ เข็มมาลัย โทร. 0-2229—2048 / ณัฐยา เมืองแมน โทร. 0-2229-2043