สป.สรุปผลประชามติการสัมมนาระดมความเห็นเกี่ยวกับการร่างรธน.เวทีระดับจังหวัด (จ.ขอนแก่น)

ข่าวทั่วไป Friday February 2, 2007 09:20 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ก.พ.--สป.
สภาที่ปรึกษาฯ จัดเสวนาระดมความเห็นจากประชาชนจากจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเวที่ที่ 2จังหวัดขอนแก่น เพื่อสังเคราะห์เป็นข้อมูลต่อการจัดทำความเห็นต่อการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร
เมื่อวันที่ 1 ก.พ. ที่ผ่านมา คณะทำงานส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปการเมือง(สรรป.) สภาที่ปรึกษาฯ จัดการสัมมนาระดมความเห็นเวทีระดับจังหวัด เรื่อง “รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยควรมีสาระสำคัญอย่างไร” ซึ่งถือเป็นเวที 2 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเวทีที่เป็นการระดมความเห็นจากภาคประชาชนใน 3 จังหวัด คือ จ.ขอนแก่น จ.มหาสารคาม และจ.กาฬสินธุ์ ณ ห้องมงกุฏเพชร โรงแรมโฆษะ จ.ขอนแก่น โดยมี นายปานชัย บวรรัตนปราณ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธานเปิดงานสัมมนา ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะสนับสนุนการให้ความเห็นเกี่ยวกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อสะท้อนความเห็นจากประชาชน เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ และเพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปฎิรูปการเมืองและการร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนเพื่อการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและการออกเสียงเลือกตั้ง
ทั้งนี้การเสวนาในครั้งนี้ มีการแบ่งกลุ่มย่อยเพื่อหาข้อสรุปถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ควรกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อาทิ อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร อำนาจตุลาการและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ สิทธิเสรีภาพของประชาชนและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
1.อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร
อำนาจนิติบัญญัติ ในเรื่องของระบบรัฐสภา เห็นควรให้มีสภาแบบ 2 สภา คือ สส.และ สว.เพื่อให้การพิจารณาเรื่องกฎหมายทำได้อย่างรอบคอบมากขึ้น ส่วนที่มาและคุณสมบัติของสส.มติที่ประชุมเสียงข้างมากเห็นว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรที่จะมีการสังกัดพรรคการเมือง และควรมีจำนวนสส. 300+100 คน ส่วนวุฒิการศึกษาสำหรับสส.ควรเป็นระดับปริญญาตรีหรือไม่นั้น ที่ประชุมเห็นว่าควรกำหนดวุฒิการศึกษาขั้นต่ำในระดับปริญญาตรี และสังกัดพรรคการเมืองระยะเวลา 90 วัน ก่อนการเลือกตั้ง และควรตรากฎหมายให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของประชาชน
ส่วนอำนาจหน้าที่ ที่มาและคุณสมบัติของสว.นั้น ที่ประชุมส่วนใหญ่แสดงความเห็นว่า สว.ควรมีอำนาจในการกลั่นกรองกฎหมายอย่างเดียวและมีอำนาจในการควบคุมและตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รวมถึงการมีอำนาจในการแต่งตั้งและถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ส่วนที่มาของ สว. เห็นว่าควรมาจากการสรรหาขององค์กร ชุมชนและจากการเลือกตั้งและมีจำนวนสว.จำนวน 200 คน เท่าเดิม สำหรับคุณสมบัติของ สว. เห็นว่าไม่ควรเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและควรมีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรีขึ้นไปและควรมีวาระการดำรงตำแหน่งได้วาระ(สมัย)เดียว 6 ปี
อำนาจบริหาร เห็นว่านายกรัฐมนตรีควรมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและมาจากการเลือกตั้งโดยตรง และควรกำหนดวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 วาระ หรือ 8 ปี นอกจากนี้ การห้ามมิให้คู่สมรสและบุตรถือหุ้นในกิจการที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐ รวมถึงการกำหนดเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย
2. อำนาจตุลาการและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
อำนาจตุลาการ เรื่องศาลยุติธรรม เห็นควรให้ควรรื้อระบบศาลยุติธรรมใหม่ทั้งระบบ กำหนดให้มีคณะลูกขุนในการทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดี ควรให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการใช้อำนาจของศาลยุติธรรม โดยกำหนดให้ คณะกรรมการตุลาการต้องมีองค์ประกอบจากภาคประชา ส่วนการจัดตั้งศาลพิเศษ เห็นว่าควรมีการจัดตั้งศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ โดยยึดหลักการจัดตั้งตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2540 โดยที่องค์ประกอบของศาลรัฐธรรมนูญ และศาลปกครอง ตุลาการควรมีที่มาจากภาคประชาชนให้มากขึ้นและปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง รวมถึงการกำหนดให้ประชาชน มีสิทธิ์ในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในระดับต่างๆ ได้ โดยสามารถยื่นต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และควรกำหนดให้ประชาชนผู้มีสิทธิลงคะแนนเลือกตั้งจำนวน 30,000 คน มีสิทธิถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ในเรื่องของกระบวนการสรรหา ไม่ควรให้ฝ่ายการเมืองมีส่วนร่วมเป็นกรรมการในกระบวนการสรรหาองค์กรอิสระ และควรกำหนดตำแหน่งวาระการดำรงตำแหน่งของคณะกรรมการองค์กรอิสระต่างๆ ให้เท่ากันทั้งหมด
ส่วนคุณสมบัติของกรรมการในองค์กรอิสระนั้น ควรเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในสาขาที่สอดคล้องกับบทบาทและหน้าที่ขององค์กรนั้นๆ และควรกำหนดคุณสมบัติของกรรมการองค์กรอิสระ ให้เปิดกว้าง เพื่อให้ภาคประชาชนมีสิทธิเข้าดำรงตำแหน่งได้มากขึ้น
3. สิทธิเสรีภาพของประชาชนและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐสิทธิเสรีภาพ
- นอกจากสิทธิเสรีภาพแล้วควรเพิ่มความเสมอภาคและภราดรภาพด้วย
- สตรีควรมีสิทธิในการมีส่วนร่วมตัดสินใจในทุกระดับ โดยให้มีระบบสัดส่วนหญิงและชาย
- ให้ประชาชนมีเสรีภาพด้านวิชาการ โดยเฉพาะการคิด พูด และสังเคราะห์ข้อมูล
- กลุ่มองค์กรหรือสมาชิกองค์กรใดๆ ควรมีสิทธิเข้าถึงบริการของรัฐ เพื่อการสนับสนุนการดำเนินงาน รวมทั้งให้มีการกำหนดตัวชี้วัดในการเข้าถึงบริการของรัฐด้วย
- ให้ขยายการศึกษาภาคบังคับให้ทั่วถึง จนถึงระดับปริญญาตรี รวมทั้งให้งบประมาณสนับสนุนสนับสนุนสถาบันการศึกษาให้เท่าเทียมกัน เพื่อให้มีมาตรฐานการศึกษาเหมือนกัน
- ให้ประชาชนเป็นเจ้าของและบริหารจัดการคลื่นวิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ มิใช่ให้อยู่ในความรับผิดชอบขององค์กรใดองค์กรหนึ่งสิทธิฟ้องร้องนักการเมือง
- ควรให้สิทธิโดยตรงแก่ประชาชน จำนวนไม่น้อยกว่า 1,000 คน สามารถฟ้องร้องผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่รัฐที่ทุจริต ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาได้
การเพิ่มบทบาทภาคประชาชน
ควรให้สิทธิประชาชนในการลงประชามติ โดยก่อนลงประชามติจะต้องให้ประชาชนได้รับทราบข้อมูลข่าวสารล่วงหน้าก่อน และการอันใดที่จะมีผลกระทบต่อสังคม และคนทั้งประเทศ ต้องให้มีการลงประชามติ
แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ควรกำหนดให้แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐมีสภาพบังคับ และควรกำหนดให้สภาที่ปรึกษาฯ มีบทบาทหน้าที่ เพิ่มเติมจากรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 นอกเหนือจากการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี ในปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น สามารถเสนอร่างกฎหมายเกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น และควรเพิ่มเติมกรอบเวลา รวมทั้งให้ความเห็นชอบต่อคณะรัฐมนตรีในกรณีที่ประชาชนได้ลงมติแล้ว
ทั้งนี้ จะนำผลการสัมมนาที่ได้จากเวทีระดับจังหวัด มาประมวล และสังเคราะห์ เสนอต่อเวทีการประชุมสัมมนาระดับชาติ ครั้งที่ 1 ซึ่งกำหนดจัดขึ้นประมาณต้นเดือนมีนาคม 2550 เมื่อได้ผลการสัมมนาระดับชาติ ครั้งที่ 1 แล้ว จะนำไปเปรียบเทียบกับร่างรัฐธรรมนูญที่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญส่งให้สภาที่ปรึกษาฯ พิจารณาเสนอความเห็น โดยจะจัดการประชุมสัมมนาเวทีระดับชาติ ครั้งที่ 2 ประมาณในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2550 เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนนำเสนอต่อคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ และสภาร่างรัฐธรรมนูญต่อไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
กลุ่มงานประชาสัมพันธ์
โทรศัพท์ 02-612-9222 ต่อ 119 โทรสาร 02-612-6918-19

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ