กรุงเทพฯ--11 เม.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีประกันของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนโดย International Finance Corporation (IFC) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Positive” หรือ “บวก” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดของบริษัทที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในบริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทย รวมถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจสื่อสารข้อมูล (Data Communications Business) และโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท และคณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากฐานะทางการเงินของบริษัทที่ค่อนข้างเปราะบางอันเป็นผลมาจากการมีภาระหนี้จำนวนมาก ตลอดจนผลกระทบจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และการสื่อสารข้อมูล และความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านโทรคมนาคม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จะไม่ลดลงจากเดิมมากในท่ามกลางสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรง แนวโน้มดังกล่าวยังตั้งอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถสรุปแผนการเปลี่ยนแหล่งเงินกู้ใหม่ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2550 อย่างไรก็ตาม ความล่าช้าของแผนดังกล่าวหรือความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดที่ลดลงอาจส่งผลกระทบในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัทได้ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าของโครงการเปลี่ยนแหล่งเงินกู้ของบริษัทอย่างใกล้ชิดต่อไป
ทริสเรทติ้งรายงานว่า กลุ่มบริษัททรู (TRUE) เป็นผู้นำในด้านบริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรของประเทศ ธุรกิจหลักของบริษัท 3 กลุ่มประกอบด้วย ธุรกิจ Wireline หรือ กลุ่ม TrueOnline ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Wireless) หรือกลุ่ม True Move และธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) หรือกลุ่ม TrueVisions ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วน 40% 44% และ 16% ตามลำดับ สถานะผู้นำของบริษัทเป็นผลมาจากความเป็นผู้นำในตลาดการให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานในเขตกรุงเทพมหานครและตลาดบรอดแบนด์ (Broadband) โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 55% และ 80% ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทยังคงความเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ที่สุดซึ่งให้บริการผ่าน บริษัท ทรูวิชั่นส จำกัด (มหาชน) (ชื่อเดิมคือ บริษัท ยูไนเต็ด บรอดคาสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือยูบีซี) ที่บริษัทได้ซื้อกิจการเมื่อปลายปี 2549 รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ภายใต้การดำเนินงานของ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด (TRUE MOVE) โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 19% ของจำนวนผู้ใช้บริการ
ธุรกิจโทรคมนาคมเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันรุนแรงโดยเฉพาะในกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการต่างส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ ที่ทำให้อัตราค่าบริการลดลงอย่างมาก การใช้กลยุทธ์ในลักษณะนี้มีแนวโน้มที่จะทำให้ผู้ประกอบการมีอัตราการทำกำไรที่น้อยลง รายได้ของบริษัทในส่วนของธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานนั้นมีแนวโน้มที่จะลดลงอันเนื่องมาจากการมีสินค้าทดแทนคือโทรศัพท์เคลื่อนที่ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตในธุรกิจสื่อสารข้อมูลน่าจะช่วยชดเชยรายได้ในส่วนโทรศัพท์พื้นฐานที่ลดลงได้
ในปี 2549 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น ลดลงเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ที่มาจากธุรกิจที่ทำกำไรน้อยเพิ่มขึ้น รวมทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจโทรคมนาคม บริษัทมีอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นปี 2549 ที่ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่ 92% แม้ว่ารายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นกว่า 17% จากการรวมผลการดำเนินงานของบริษัททรูวิชั่นส แต่เงินทุนจากการดำเนินงานในปี 2549 กลับมีเท่ากับ 12,262 ล้านบาทซึ่งเป็นจำนวนที่เกือบเท่ากับในปี 2548 ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้สุทธิลดลงจาก 16% ในปี 2548 เป็น 15% ในปี 2549 เนื่องจากในปี 2549 บริษัทมีเงินกู้สุทธิเพิ่มขึ้น
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในขณะที่อันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกัน TRUE07OA, TRUE087A และ TRUE117A ขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของบริษัททรู คอร์ปอเรชั่น แต่เพียงประการเดียว แต่อันดับเครดิตหุ้นกู้ TRUE112A ของบริษัทมาจากการค้ำประกันวงเงินกู้บางส่วน (50% ของเงินต้น) โดย IFC ซึ่งเป็นสมาชิกของ World Bank Group โดย IFC ได้รับการจัดอันดับเครดิตระดับ “AAA” จาก Standard & Poor’s และระดับ “Aaa” จาก Moody’s Investors Service