กรุงเทพฯ--27 ก.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) สืบเนื่องจากความไม่แน่นอนในการหาแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อใช้ทดแทนหนี้เงินกู้ปัจจุบันของบริษัท โดย ณ เดือนมิถุนายน 2550 บริษัทมีภาระหนี้กับสถาบันการเงินต่างๆ ทั้งสิ้น 14,508.29 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยภาระหนี้ภายใต้สัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้จำนวน 9,256.16 ล้านบาท และภาระหนี้ภายใต้โครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดจำนวน 5,252.13 ล้านบาท บริษัทได้วางเงินไว้ที่ศาลล้มละลายกลางจำนวน 3,092.18 ล้านบาทเพื่อใช้ชำระหนี้ในราคาที่ตกลงไว้ ซึ่งหากหักภาระหนี้ด้วยเงินที่วางไว้ที่ศาลล้มละลายกลาง ภาระหนี้ของบริษัทจะลดลงเหลือ 11,416.11 ล้านบาท ทั้งนี้ ภาระหนี้ภายใต้โครงการซื้อหนี้คืนแบบมีส่วนลดและภาระหนี้กับสถาบันการเงินจะครบกำหนดภายในเดือนธันวาคม 2550 นี้ ที่ผ่านมาบริษัทได้ติดต่อกับสถาบันการเงินหลายแห่งเพื่อดำเนินการจัดหาแหล่งเงินกู้ใหม่สำหรับนำมาใช้ทดแทนหนี้เงินกู้ปัจจุบันตั้งแต่ปลายปี 2549 โดยกระบวนการดังกล่าวใช้เวลานานกว่าที่บริษัทคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทได้แจ้งให้ทริสเรทติ้งทราบว่าการหาแหล่งเงินกู้น่าจะสรุปผลได้ภายในไตรมาส ที่ 3 ของปี 2550
ทริสเรทติ้งได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทเป็น “BBB” จากเดิมที่ “BBB-” เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนโครงสร้างเงินทุนของบริษัทที่แข็งแกร่งขึ้นจากการปรับลดลงอย่างมากของภาระหนี้ โดยเงินที่นำมาชำระคืนหนี้มาจากเงินเพิ่มทุนของบริษัท ฐานะทางการเงินของบริษัทในปี 2550 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงอย่างมากของต้นทุนทางการเงิน ทั้งนี้ ภาระดอกเบี้ยจ่ายในไตรมาสแรกของปี 2550 ลดลงอย่างมากจาก 336 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 16 ล้านบาท อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทปรับตัวดีขึ้นจาก 4.23 เท่าในปี 2549 มาอยู่ที่ 9.88 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2550 โครงสร้างเงินทุนของบริษัทค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 20.34% ณ เดือนมีนาคม 2550
ทริสเรทติ้งคาดว่าจะเข้าไปทำการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทหลังจากการจัดหาแหล่งเงินกู้ใหม่เพื่อใช้ทดแทนหนี้เงินกู้ปัจจุบันเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ หากบริษัทไม่สามารถหาแหล่งเงินกู้ใหม่ได้ภายในเวลาที่เหมาะสม ก็มีแนวโน้มที่จะมีการปรับลดอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับ “BBB”