บทวิเคราะห์ภาวะเงินเฟ้อของไทย เดือนมีนาคม โดยธนาคารเอชเอสบีซี

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 8, 2010 09:03 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 เม.ย.--ธนาคารเอชเอสบีซี อัตราเงินเฟ้อเดือนมีนาคมของไทย เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (เทียบกับร้อยละ 3.7 ในเดือนกุมภาพันธ์) สถานการณ์เงินเฟ้อ หากตัดปัจจัยของฤดูกาลออกไป อัตราเงินเฟ้อของไทยในเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากเดือนก่อน ซึ่งต่ำกว่าระดับร้อยละ 0.4 ของเดือนที่ผ่านมา และต่ำกว่าประมาณการของเอชเอสบีซี ราคาข้าวที่ตกลงอย่างต่อเนื่องและการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นปัจจัยที่กดดันภาวะเงินเฟ้อในเดือนมีนาคม อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปรับลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 3.7 ของเดือนที่แล้ว มาอยู่ที่ร้อยละ 3.4 เป็นผลมาจากราคาสินค้าอาหารของเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำกว่าเดือนที่แล้วที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 ผลที่ตามมาคือ ราคาสินค้าอาหารสดลดลงราวร้อยละ 1.4 ขณะที่ราคาพลังงานแกว่งตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จากเดือนก่อน อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ที่ไม่รวมอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากร้อยละ 0.3 ของเดือนก่อน เป็นร้อยละ 0.4 ในเดือนมีนาคม ผลที่เกิดขึ้น ราคาน้ำมันดิบที่เริ่มทะยานสูงขึ้นอาจมีผลกดดันต่อราคาสินค้า แต่ชดเชยได้ด้วยอัตราการใช้กำลังการผลิตในประเทศที่ยังคงติดลบ กำลังการผลิตส่วนเกินในระบบ และการแข็งค่าของเงินบาทจะช่วยพยุงแรงกดดันของเงินเฟ้อ ราคาสินค้าที่ค่อนข้างต่ำที่เกิดขึ้นจะช่วยกระตุ้นการเติบโตเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในปี 2553 ซึ่งเป็นการเติบโตที่มีอัตราการบริโภคภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญ เอชเอสบีซี คาดว่ากนง.จะยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ตามเดิมในการประชุมวันที่ 21 เมษายน เนื่องจากตระหนักถึงความตึงเครียดทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง และผลกระทบต่อการเติบโตเศรษฐกิจ โดยมองว่ายังสามารถคอยดูอัตราเงินเฟ้อในระดับปัจจุบันได้ระยะหนึ่ง นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าประมาณการในช่วงร้อยละ 0.5-3.0 อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางมีแนวโน้มที่จะขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ร้อยละ 1.25 ซึ่งถือเป็นอัตราที่ต่ำสุดในภูมิภาค เอชเอสบีซี เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกร้อยละ 0.25 ในการประชุมของกนง. ในเดือนมิถุนายน ประเด็นที่จับตา ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าจะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายมานานเกือบปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เอชเอสบีซี เชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยจะยังไม่ขยับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการกนง. เดือนเมษายนนี้ แต่จะปรับขึ้นในเดือนมิถุนายนแทน โดยการปรับขึ้นราวร้อยละ 0.25 ในระยะเวลา 3 เดือน ไม่ได้เกิดจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่เพิ่มขึ้นเป็นสาเหตุหลัก แต่จะส่งสัญญาณที่ส่อแววการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ ทำให้การพึ่งพามาตรการกระตุ้นของภาครัฐน้อยลง สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วรนันท์ สุทธปรีดา, สาวิตรี หมวดเมือง โทรศัพท์ 0-2614-4609, 0-2614-4606 หมายเหตุถึงบรรณาธิการ: 1. ธนาคารเอชเอสบีซีในประเทศไทย เอชเอสบีซีเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกในประเทศไทย เปิดสำนักงานให้บริการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 ด้วยประสบการณ์ด้านการเงินการธนาคารและเครือข่ายสาขากว้างขวางทั่วโลก รวมกับความรู้ความชำนาญของบุคลากรภายในประเทศ ธนาคารเอชเอสบีซีเปิดให้บริการด้านการเงินและการธนาคารเต็มรูปแบบ ทั้งบริการด้านเงินฝาก สินเชื่อธุรกิจ พาณิชย์ธนกิจ ธุรกิจสถาบันการเงิน บริการด้านบริหารเงินและตลาดทุน บริการดูแลและรับฝากหลักทรัพย์ บริการการค้าและเครือข่ายธุรกิจระหว่างประเทศ และบริการด้านการชำระเงินและบริหารเงินสดแก่ลูกค้าประเภทองค์กร ตลอดจนบริการบุคคลธนกิจและธุรกิจบัตรเครดิตแก่ลูกค้าประเภทบุคคล ธนาคารเอชเอสบีซีได้รับการยอมรับจากทั่วโลกในด้านบริการที่ได้มาตรฐานสูง ความมีจรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจ และเจตนารมณ์ในการมุ่งมั่นบำเพ็ญประโยชน์แก่สังคม 2. เอชเอสบีซี โฮลดิ้ง พีแอลซี หรือ กลุ่มเอชเอสบีซี กลุ่มเอชเอสบีซี เป็นสถาบันผู้ให้บริการด้านการเงินและการธนาคารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ปัจจุบันมีเครือข่ายสาขาประมาณ 8,000 แห่งใน 88 ประเทศและเขตปกครอง ทั้งในยุโรป เอเชีย แปซิฟิก ตะวันออกกลาง อเมริกา และแอฟริกา ให้บริการแก่ลูกค้าจำนวน 100 ล้านคนทั่วโลก มีสินทรัพย์รวม 2,364,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552) ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งกลุ่มเอชเอสบีซี

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ