กรุงเทพฯ--19 เม.ย.--สหมงคลฟิล์ม
สานต่อ จินตนาการ หยั่งลึกสู่ก้นบึ้งแห่งจิตวิญญาณการต่อสู้ สู่วิถีแห่งการผสมผสาน“ศิลปะโขน” และ “การต่อสู้” ก่อเกิด “นาฏยุทธ์” สุดลึกล้ำ การกลับมาของ “จาพนม ยีรัมย์” กับ “องค์บาก3” บทสรุปแห่งภาพยนตร์แอ็คชั่นระดับตำนานที่คนทั้งโลกรอคอย
Q.ทักทายกันก่อนในภาพยนตร์เรื่ององค์บาก 3 จามีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง
J. สวัสดีครับผม จาพนม ยีรัมย์ หรือโทนี่ จา เป็นผู้กำกับ,ออกแบบกำกับฉากแอ็คชั่น และดีไซน์การต่อสู้ คิดเรื่องรวมไปถึงเป็นนักแสดงนำจากภาพยนต์เรื่อง องค์บากภาค 3 ครับ
Q.จากองค์บากภาค2 มาจนถึงองค์บาก3 คาแรคเตอร์ของเทียน มีพัฒนาการของตัวละครแตกต่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไรบ้าง
J. ในภาพยนต์เรื่ององค์บาก 2 คนดูได้สัมผัสถึงคาแรกเตอร์ของเทียนตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่เป็นคนชอบศิลปะการต่อสู้ ชอบเกี่ยวกับดาบซึ่งมีพ่อเป็นทหาร เป็นแม่ทัพที่ถูกส่งตัวมาทำการ เราจะเห็นว่านิสัยและคาแรกเตอร์ของเทียนเป็นคนที่แข็งแกร่ง ห้าวหาญมีความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว อยากเป็นทหารเหมือนพ่อ ก็เลยใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งจะเดินตามรอยพ่อให้ได้ มีสัญชาตญาณของนักสู้มันสูบฉีด นั่นคือฝั่งดำ ฝั่งที่มีความเข้มแข็ง ห้าวหาญของท่าน แต่พอมาถึงภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค 3 นี้ คาแรกเตอร์ก็จะมีความนุ่มนวลขึ้น โดยความแตกต่างจากภาค 2 ที่ว่าในภาค 3 จะเห็นด้านที่มีความอ่อนไหว ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะตัวเทียนได้ถูกขัดเกลาในเรื่องของนาฏศิลป์จากครูบัว แล้วก็ได้ถูกถ่ายทอดออกมา เกลาออกมาเป็นนาฏยุทธ์ ในองค์บากภาค 2 เทียนจะมีความแข็ง แข็งในเรื่องของศิลปะการต่อสู้ สัญชาตญาณดิบออกมา แต่ภาค 3 มีความแตกต่างกัน คือมีความอ่อนโยนครับ เรียกว่ามีการพัฒนาของตัวละคร มีการพัฒนาคาแร็กแตอร์ของตัวละครตัวนี้
Q.เชื่อว่าแฟนๆของจาพนมที่เป็นคนไทย และแฟนๆ โทนี่จาที่มีอยู่ทั่วโลก คงเฝ้ารอการมาขององค์บาก 3 อย่างใจจดใจจ่อ หลังจากตอนจบของ “องค์บาก2” เกิดคำถามที่ว่าเรื่องราวจะดำเนินต่อไปเป็นอย่างไร แล้วเกิดอะไรขึ้นกับ “เทียน” หลังจากนั้น
J. การดำเนินเรื่องของภาค 3 จะนำพาคนดูไปสัมผัสกับรอยบากที่อยู่ตรงกลางของจิตใจเทียน ซึ่งเปรียบเสมือนว่าตัวเทียนได้ผ่านการเดินทางที่ต้องไปเจอกับอุปสรรคมากมาย เจอวิถีชีวิตของผู้คนต่างๆ จบจากองค์บาก 2 คนดูได้คิดต่อว่า องค์บาก 3 ชะตากรรมจะเป็นอย่างไร แล้วตัวละครตัวนี้จะเดินไปในทิศทางไหน มันเหมือนเป็นวงล้อที่เป็นชะตากรรมของชีวิตได้หมุนมาเจอ ในภาค 2ได้เจอครูบัว ซึ่งในองค์บาก 3 ก็บวชเป็นพระแล้ว ก็จะให้คำสอนที่เกี่ยวกับพุทธ แล้วก็พราหมณ์ จากในภาค 2 ครูบัวที่ล่วงรู้ถึงชะตากรรมเทียน ก็เลยสอนศิลปะ นาฏศิลป์ เพื่อขัดเกลาจิตใจให้เกิดความโอนอ่อน แต่ด้วยดวงชะตาของเขาแล้ว พลิกผันจับอาวุธ ก็เลยเกิดความวุ่นวายในชีวิต กลับไปล้างแค้นด้วยใช้อาวุธของตัวเองที่ฝึกฝนมา เพื่อไปทำร้าย พอไปทำร้ายแล้วมันจึงย้อนกลับมาหาตัวเอง องค์บากภาค 3 เลยเป็นเรื่องราวที่เชื่อมต่อกันระหว่างชะตาของชีวิตเทียน ที่ไม่ได้มีให้เห็นแค่แอ็คชั่นอย่างเดียว คนดูจะได้เห็นหลากหลายอารมณ์ คือการคิดค้น และพัฒนาการของตัวละครตัวนี้ มีความอ่อนไหว ความลึกซึ้ง มีความรัก ตัวละครของเทียนในภาค 3 จะมีการพัฒนาการไปสู่บทบาทอีกด้านหนึ่งของตัวละครที่มีความอ่อนไหว มีความน่ารักซ่อนอยู่ และมีความละเมียดละไมอ่อนโยน ซึ่งจะมีการพัฒนาไปอีกสเต็ปนึง ซึ่งเป็นการค้นพบ องค์บากการค้นพบในที่นี้ก็คือการค้นพบสัจธรรมนั่นเอง ก็คือมีแข็ง ก็ต้องมีอ่อน ในองค์บาก 3 คนดูก็จะได้เห็นบทบาท และคาแร็กเตอร์ของเทียนแตกต่าง มีมิติเพิ่มมากขึ้น ภาค 2 จะเป็นสัญชาตญาณดิบของตัวละครตัวนี้ ถ้าเทียบแล้วก็คือฝั่งดำนั่นเอง ส่วนภาค 3 จะเป็นการพัฒนาการที่ให้ตัวละครตัวนี้ดำเนินชีวิตไปสู่จุดเปลี่ยนแปลง ก็จะมีเรื่องของความรักเข้ามา ซึ่งจะมีความผูกพันกับตัวพิม นางเอก และเกี่ยวพันกับอีกตัวละครหนึ่งก็คือไอ้เหม็น ซึ่งเล่นโดย พี่หม่ำ พี่หม่ำเล่นเป็นชายที่ไร้สติ แต่ทำให้ชะตาชีวิตของเทียนกลับพลิกผันได้ คนดูจะได้เห็นว่าตัวละครตัวนี้มีการพัฒนาเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ และลึกซึ้งมากขึ้นแต่ในขณะเดียวกันในเรื่องราวก็ยังมีการตอบโจทย์ที่ว่า ตัวเทียนต้องผจญชะตากรรม อย่างเช่นต้องผจญมาร เขาเรียกว่าการที่เราจะค้นพบอะไร เราก็ต้องเจอมารมาทดสอบ ทำให้ชะตากรรมนี้ไปเจอกับคนเหล่านี้ นั่นก็ศัตรูคู่ปรับอย่างภูติสางกา ที่รับบทโดยเดี่ยว ชูพงษ์ แล้วก็ยังมีผู้ร้ายจากภาค 2 ด้วยนั่นก็คือพระยาราชเสนา นั่นคือพี่ตั้ว ศรัณยู
Q.ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นแค่หนังแอ็คชั่นธรรมดา กลับกันค่อนข้างมีรายละเอียดมีแก่นแท้ของเรื่องที่ลึกซึ้งและเข้มข้นเลยทีเดียว เป็นความตั้งใจเลยไหมที่จาเองตั้งใจที่จะนำเสนอออกมาในลักษณะนี้ขององค์บาก3
J. ที่จริงแล้วเป็นการตั้งโจทย์มาตั้งแต่คิดที่จะทำองค์บากแล้ว รอยบากสำหรับผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่น่าค้นหา ตั้งแต่องค์บาก 2 แล้วว่า รอยบากนี้มันเป็นบากอะไร เรามีคำถามแล้ว เราก็จะตอบคำถาม ตอบโจทย์นี้ รอยบากนั่นก็คือชะตากรรม ส่วนชะตากรรมจะพลิกผันไปทางใดนั้นองค์บาก 2 ก็เป็นการปูให้เห็นถึงชะตากรรมที่นำไปสู่องค์บาก 3 ก็จะเป็นพัฒนาการของตัวละครที่ต้องดำเนินต่อว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใด ผมคิดว่าผมได้ทำหนังเรื่องนี้ มันก็ทำให้เราได้คิดอยู่ตลอดเวลา ได้ทบทวนถึงที่มาที่ไปว่าชะตากรรมหรือการใช้ชีวิต หรือมนุษย์เรา หรือแม้กระทั่งมองตัวละครแต่ละมุม แต่ละด้าน ทำอย่างไรให้ตัวละครแต่ละตัวโลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์ม แล้วออกมามีมิติทุกตัวละคร แอ็คชั่นในมุมมองของผมคือ อยากทำอะไรที่ เราออกหมัดออกไปแต่ละหมัดแล้วมันมีความหมาย มีโจทย์อยู่แบบนี้ ก็เลยมานั่งคิดว่าองค์บากมันเป็นจุดที่ลงตัวที่สุด คำว่าองค์บากแล้วก็ใส่ศิลปะการต่อสู้ที่แปลกใหม่เข้าไป นั่นก็คือการค้นพบศิลปะใหม่นั่นก็คือนาฏยุทธ์ ซึ่งเป็นการคิดค้นขึ้นมาระหว่างนาฏศิลป์ รวมกันกับศิลปะการต่อสู้เป็นนาฏยุทธ์ออกมา แล้วทีนี้โจทย์ของเราก็คือการเล่นคิวบู๊ออกไป ไม่ว่าการนำเสนอความรุนแรงออกไป หรือในด้านของความบันเทิง ผมมองถึงว่ามันได้อะไรด้วย ดนดูเข้าไปดูหนังก็จะได้อะไรด้วย ได้แง่คิดด้วยว่า เฮ้ย! ถ้าเราจับอาวุธเข้าไป แล้วไปประหัตประหารเขาแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้น อะไรที่จะย้อนกลับมาหาเรา แม้กระทั่งความโกรธ ความโลภ ความหลงอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับว่าเป็นอย่างหนึ่งก็คือให้แง่คิดกับสิ่งที่เราคิดค้นขึ้น ถ้าคนดูได้ไปดูหนังเรื่องนี้ก็จะได้มุมมองที่หลากหลาย อาจจะมองกันคนละมุม แต่ผมว่าในจุดหนึ่งที่ได้ไปดูในหนังก็จะเห็นจิตวิญญาณที่เราได้ใส่เข้าไป ซึ่งไม่ใช่แค่ว่าแอ็คชั่น แล้วก็เตะต่อยกันอย่างเดียว แต่ผมอยากใส่อะไรที่มันเป็นแนวความคิด ปรัชญา แล้วก็ศาสนาเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นวิถีคนไทยของเรา นั่นก็คือขนบธรรมเนียมประเพณีไทย ที่ยึดถือกันมาทั้งพราหมณ์ และพุทธออกไป
Q.ในองค์บาก 1 จาทำให้คนทั้งโลกรู้จักหันมาทึ่งกับ “มวยไทยโบราณ” ในขณะที่ต้มยำกุ้ง ต่อยอดไปอีกขั้นกับมวยคชสาร มาจนถึงองค์บาก 2 นำทุกศิลปะการต่อสู้รวมเป็นหนึ่งเดียว และในองค์บาก3 เอาศิลปะอย่างโขนมาถ่ายทอดเป็นศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่า นาฏยุทธ์ อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เรานำโขนมานำเสนอออกมาเป็นศิลปะการต่อสู้รูปแบบใหม่
J.จริงๆ แล้วภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค 1 เราใช้มวยไทยโบราณที่นำเสนอออกให้คนทั่วโลก และคนไทยได้เห็น ต้มยำกุ้งก็เป็นมวยคชสาร เป็นมวยทุ่ม ทับ จับ หัก พอมาองค์บากภาค 2 มันเป็นการรวบรวมศิลปะการต่อสู้มา ไว้ในตัวคนเดียว พอมาภาพยนตร์ที่ 3 มันเป็นโจทย์ที่เราต้องทำการบ้านหนักขึ้น แล้วก็มากขึ้น แล้วก็มามองดูว่า อะไรที่มันแสดงความเป็นไทย ก็ไปนึกถึง คือโดยส่วนตัวแล้วผมชอบโขนนะ แล้วท่าทางของโขน มันดูแล้วถ้านำมาใช้ในการต่อสู้หรือถ้าเราเลือกมองโขนในอีกมุมหนึ่ง คือโขนมันมีหลายเหลี่ยม ซึ่งผมก็มองอีกมุมหนึ่งว่า เหลี่ยมนี้มันควรจะมาใช้ในด้านการต่อสู้ แล้วก็นำมาใช้ในภาพยนตร์เพื่อเผยแพร่ออกไป มันก็คงจะแปลกดี ก็เลยเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้กับผม คือผมไปดูโขน แล้วก็ไปรู้จักกับครูบาอาจารย์ ไปศึกษาเรื่องโขนถึงขนาดว่า ที่มาของโขนเป็นมาอย่างไร ก็มาจากอินเดีย รามัญ ก็มีตัวพระ ตัวยักษ์ ตัวลิง เราก็เริ่มสนใจ ไปดูเรื่องลายแกะสลักในหิน เราก็เห็นว่าท่าจับ ท่าพระมันเหมือนเป็นการต่อสู้ แต่พอมาผนวกเข้ากับศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเราก็มาคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรที่จะนำศิลปะตรงนี้ออกไปทางภาพยนตร์ แล้วคนดูรู้สึกว่ามันมีกลิ่นของโขน มันมีกลิ่นของความเป็นไทยออกไป แล้วมีเสน่ห์ ซึ่งแตกต่างจากโขนที่เล่น วิถีการนำเสนอก็จะแตกต่าง ผมก็นำเสนอครับ จุดหนึ่งก็คือความเป็นไทยครับ เราเป็นคนไทย เราก็อยากหยิบความเป็นโขนขึ้นมา ออกมาแล้วก็ให้คนดูในรูปแบบของภาพยนตร์ นั่นก็คือการนำเสนอของผม
Q. กว่าจะสำเร็จออกมาเป็นนาฏยุทธ์ จาใช้เวลาบ่มเพาะในการคิดค้นนานไหม เท่าที่จำได้ จาเคยโชว์ให้เห็นครั้งแรกในงานสุพรรณหงส์เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นหลายคนยังนึกภาพไม่ออกว่า จากำลังจะทำอะไร
J. 5 ปีแล้วครับ กว่าจะบ่มเพาะ จริงๆ ในบรรดาตัวละครของโขน ผมชอบตัวละครอยู่ตัวหนึ่ง จริงๆ มันมีตัวละครอยู่เยอะมากนะครับ ตัวผมชอบหนุมาน อย่างของจีนเขามีมวยลิงใช่ไหมครับ ก็ไปนึกถึง ก็ไปเห็น ไปเปิดดูในตำราของท่ามวยอะไรต่างๆ เขาก็จะมีท่าหนุมานเหยียบกรุงลงกา หนุมานถวายแหวนอะไรพวกนี้ ก็ได้มาศึกษาเรื่อยๆ ก็เลยชอบมากครับ ผมว่าการคิดค้นมันเริ่มตั้งแต่ผมอยู่ที่วิทยาลัยพละศึกษาที่มหาสารคาม เพราะผมชอบตัวละครตัวนี้ ก็คือหนุมาน แล้วก็ได้เก็บรวบรวมมาเรื่อยๆ จนกระทั่งผมได้ฝึกท่าโขนอะไรพวกนี้ ก็ไปเรียนท่าโขนเพิ่มตั้งแต่เรียนวิทยาลัยพละ แต่มาถึงตรงนี้ก็เรียกได้ว่ามันได้จังหวะเหมาะเจาะที่ว่าพอเราเสร็จต้มยำกุ้ง แล้วก็มาทำองค์บากภาค 2 ก็เลยไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ก็เป็นเวลา 5 ปีนะครับ ที่เรารวบรวมข้อมูลตอนนั้น ที่เรารวบรวมเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วก็เรียนโขนกับครูบาอาจารย์ อย่างเช่นครูสอนการแสดงคือครูแอ๋ว อรชุมา แล้วก็ครูเชษฐ์ (พิเชษฐ์ กลั่นชื่น)ซึ่งเป็นเกี่ยวกับโขนนะครับนาฏศิลป์ แล้วอาจารย์พิเชษฐ์ ซึ่งเป็นทั้งครู และเป็นทั้งพี่ชายให้คำแนะนำแลกเปลี่ยนกัน ผมก็มีมวยไทยที่ผมไปแลกเปลี่ยน มันมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราไม่คาดคิดเลยว่า 2 คนที่ได้มาเจอกัน ผมได้เจอกับครูพิเชษฐ์ กลั่นชื่น โดยครูแอ๋ว อรชุมาแนะนำให้เจอ เราก็ทำเวิร์คช็อปนี้ขึ้นมา เป็นเวิร์คช็อปที่ผมเรียนมวยไทย ส่วนอาจารย์เขามีโขนใช่ไหมครับ เราก็มาปล่อยจิตวิญญาณ ปล่อยอิมโพรไวซ์กันขึ้นมา แล้วเราก็เห็นภาพครับ ภาพนั้น แบบเฮ้ย ทำไมไม่เอามันมาทำหนัง เราคิดมันในใจ เอามันมาทำหนังสิ มันมีท่าต่อสู้ที่มันสามารถมารวมกันได้ ระหว่างโขนกับศิลปะการต่อสู้ มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ นับจากนั้นก็รวบรวมข้อมูลขึ้นมา ไปประเทศกัมพูชา ไปรวบรวมข้อมูลมา ไปกับครูบาอาจารย์รวบรวมข้อมูลมา อยากไปดูต้นตอของโขนเขมรมันเป็นอย่างไรบ้าง เขาบอกว่าโขนเขมรมันออกดิบๆ ก็เลยบินไปกัมพูชาครับที่นครวัด เอากล้องวีดีโอ กล้องภาพนิ่งไปถ่ายภาพศิลปะนูนต่ำ ท่าการต่อสู้ เป็นการเล่าเรื่องของรามเกียรติ์ ท่าจับพระ ท่าลิง ท่ายักษ์ ท่าอะไรเยอะมากมายนะครับ เราก็ถ่ายเก็บไว้ โอ้ยย ทำไมมันมีท่าจับ ท่าอะไรเนี่ยะ ซึ่งมันตรงกับที่ครูบาอาจารย์เคยสอนผม ตอนนี้ท่านเป็นพันเอกอำนาจ พุกศรีสุข ท่านเรียนเกี่ยวกับมวยไทยโคราช ได้ไปคุยด้วยว่าในภาพศิลปะนูนต่ำที่มีโขนเนี่ยะ มันเป็นท่ามวยนะ ผมเลยจำตรงนี้มา เลยเอามาคิดว่าเราศึกษาตรงนี้จริงจังดีกว่า ก็ไปดูไปถ่ายเก็บข้อมูลมา แล้วก็มาเรียงร้อย แล้วก็ไปดูโขนที่เขาเล่นกันที่เขมร อุ้ย! ทำไมเขาดิบจัง ทำไมเขากระโดดแล้วมีท่าทางที่มันสวยงามจังเลย แล้วกลับมาเมืองไทยอีก มาเจออาจารย์ แล้วก็มาพบกัน มาทำเวิร์คช็อบกัน ผมมีความสุขมาก ผมได้รำโขน เขาเรียกว่าได้ค้นพบนาฏศิลป์ กับศิลปะการต่อสู้ มวยไทยมาผนวกกัน แล้วเราก็มาคิดว่าจากยักษ์มีความเข้มแข็ง ส่วนลิงก็จะมีความคล่องแคล่วว่องไว พระก็คือความพริ้วไหว แล้วผมอยู่ตรงนั้นทั้งวันเลยกับครูบาอาจารย์ ก็ได้คิด แล้วช่วงที่มีเทศกาลหนัง งานสุพรรณหงส์ 5 ปีแล้วมั้งครับ ที่เขาหลักนะครับ แล้วได้เปิดตัวจริงๆ ได้แย็บออกไปนิดนึง คนยังไม่รู้ว่าผมอยากใส่อะไร คนยังไม่รู้ว่าผมจะทำอะไร ก็คือจะแปลกๆ ใหม่ ก็จะมีรำดาบ แล้วก็มีท่ายักษ์ แล้วก็มีท่าโขน มีท่าศิลปะการต่อสู้โดยใช้ดาบใช้อะไรด้วย แต่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นแรกนะครับ ที่มีความคิดว่าจะนำนาฏยุทธ์มาใส่ในองค์บากภาค 2 และภาค 3
Q.บรรยากาศตรงนั้นภาพของจากับมวยไทย ครูพิเชษฐ์กับท่วงท่าของโขน ถ้าหลับตาและจินตนาการออกมาเป็นภาพเป็นฉากในภาพยนตร์เราคงมองเห็นตัวละครนักเต้นใน STEP UP มา BATTLEกัน หรือ เอมิเนม ดวลท่อนแร็พหรือฮิพฮอพกันอย่างใน 8 miles
J. ใช่ครับ ก็คือการตีความ ไหลด้วยความรู้สึกของตัวละครตัวนั้น สดๆ เลย ก็คือตัวละครตัวนี้เขามีความสามารถอะไร แล้วผมมีความสามารถอะไร มันเหมือนต่อสู้ แต่ไม่ใช่ปะทะกัน มันมีชั้นมีเชิงกัน เออ มันแปลกแค่ยืนเฉยๆ มันก็มีอารมณ์ มีความรู้สึก ผมก็ออกศิลปะการต่อสู้ไป มวยไทยที่ผมเล่าเรียนมา ทั้งหมดคืออิมโพไวซ์ไปหมด ตีความตัวละคร ตัวอะไรไปหมด ซึ่งตัวผมเองก็ชอบฮิพฮอพ ตีความเพลงออกมา แล้วจะเต้นยังไงที่จะให้ความรู้สึกอินตามไปกับเพลง เฉกเช่นเดียวกัน นาฏยุทธ์ก็เช่นเดียวกัน ที่จริงแล้วมีก็ศาสตร์เดียวกันนะ เพียงแต่ว่าเราตีโจทย์มันให้แตก แล้วถ่ายทอดให้ความรู้สึกนั้นออกมา
Q.จนในที่สุดคนดูหนังก็จะได้เห็น นาฏยุทธ์ที่จาคิดค้นออกมาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่จะปรากฎอยู่ในองค์บาก3 แต่ทราบมาว่ายังมีแอ็คชั่นหลากหลายรูปแบบที่จาเองต้องการนำเสนอในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย
J. หลังจากที่เราได้ศิลปะชิ้นใหม่มาแล้ว นั่นก็คือนาฏยุทธ์ จากนั้นเราก็มาดูแอ็คชั่นในหนังที่จะใส่ลงไป มันต้องมีอะไรที่แปลกใหม่ ที่ไม่ซ้ำกับองค์บาก 2 แน่นอน อย่างในองค์บาก3 เราจะค่อยๆ เปิดการต่อสู้ที่เป็นการใช้อาวุธ โทนี่ จายังไม่ได้ใช้อะไร โดยมีบทมีเรื่องเข้ามาเป็นตัวนำส่งรองรับให้มีที่มาที่ไปด้วย อย่างฉากต่อสู้ที่ถูกพันธนาการโดยโซ่ตรวน จะต่อสู้ยังไงถึงจะหลุดพ้น โดยมีบท แล้วก็มีการนำเอาพลองมาใช้ ถ้าเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ก็คือการใช้พลองไม้ศอกนั่นเอง และก็ยังมีฉากที่อลังการอีกฉากหนึ่ง นั่นก็คือฉากที่ต่อสู้บนหลังช้างทั้งหมด ซึ่งในฉากนี้เราก็จะมีการนำเอานาฏยุทธ์ที่เราคิดมาเอามาใส่ตรงนี้ด้วย เพราะเป็นไฮไลท์ที่สูงสุด นั่นก็คือคุณจะได้เห็นการต่อสู้แบบนาฏยุทธ์ที่คุณไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน รวมทั้งแอ็คชั่นบนหลังช้างที่ไม่ซ้ำกับองค์บาก 2 ด้วย อย่างสำหรับแอ็คชั่นบนหลังช้างเราเตรียมงานกัน 2 เดือน ซึ่งผมให้ทีมสตั้นท์ลงไปรีเสิร์ชข้อมูลว่าช้างทำอะไรได้บ้าง เพราะว่าเราเคยทำกับช้างมาแล้ว ทีนี้เรามาคิดว่าถ้าเราต่อสู้บนหลังช้างด้วย ลอดท้องช้างด้วย จับงวงช้างด้วย จับงาช้างด้วย ลอดแล้วคนวิ่งกันไปกันมาสลับมีอาวุธด้วย ช้างจะมีท่าทีหรือมีความรู้สึกอย่างไร มันจะสามารถทำได้ไหม ก็ลองไปรีเสิร์ช ก็เอากล้องวิดีโอไปถ่ายทำเป็นเวิร์คช็อพออกมา เออมันก็ทำได้ มันก็เข้า แล้วเราก็มาคิดเพิ่ม ทำอย่างไรที่จะนำเอานาฏยุทธ์เข้าไปใส่ให้มันลงตัว ก็พอดี ก็เหมาะเจาะพอดีว่าตัวยักษ์กับตัวลิงใส่ไปตรงช้าง ก็เข้าพอดีเลย เตรียมงานทั้งหมด2เดือน แล้วทำเวิร์คช็อพมาถ่ายเวิร์คช็อพอีกเอาช้างมารวมกันเรามีเวลาประมาณ10วัน ซึ่งเราต้องฟิตซ้อมวอร์มช้างทั้งหมดเลย พอถึงเวลาถ่ายจริงก็ต้องถ่ายอีกเป็นเดือน ยังไม่หมดแค่นี้ครับ ถ้าเราได้ตัวของศิลปะการต่อสู้แล้ว ทำยังไงที่มันต้องมีความขัดแย้งใช่ไหมครับ พอเราได้ศิลปะที่เป็นตัวเอกแล้วก็ต้องมีมาร ศิลปะที่เป็นฝั่งมาร มีนาฏยุทธ์แล้ว ก็ต้องมีภูติยุทธ์ นั่นเป็นการรวบรวม เขาเรียกว่าอวิชาทั้งหมด คือมวยที่เกี่ยวกับอวิชา ซึ่งนำแสดงโดยเดี่ยว ชูพงษ์ น้องผมเองครับ ซึ่งเรียนมาด้วยกันตั้งแต่วิทยาลัยพละฯ ผมก็คิดมาว่าจะทำอย่างให้ตัวละครตัวนี้โดดเด่นขึ้นมาเป็นคู่ปรับด้วยที่สมน้ำสมเนื้อกัน แล้วก็เป็นศาสตร์ศิลป์ใหม่ด้วย ศิลปะการต่อสู้ที่ใหม่ด้วย เขาก็เป็นตัวแทนของภูติยุทธ์นี้
Q.สำหรับจาแล้วมีวิธีการคิดอย่างไร ในการที่เราจะรู้ว่าสิ่งที่เรามอง เลือก หยิบจับหรือสิ่งที่เราสนใจสามารถนำมาออกแบบ มาคิดค้นถ่ายทอดออกมาเป็นศิลปะการต่อสู้ได้ รวมทั้งมานำเสนอ นำมาผูกกับบทกับเรื่องราวออกมาเป็นภาพยนตร์ได้ด้วย
J. ก็อย่างที่ผมบอกว่าโขนมันมีอยู่หลายเหลี่ยม คนดูอาจจะมองข้างหลัง อาจจะมองทางขวา ทางซ้าย แต่ผมก็จะมองอีกแบบหนึ่งคือผมชอบศิลปะการต่อสู้ ผมชอบมวยไทย ผมชอบงานศิลปะที่ออกมาจากจิตวิญญาณ แล้วเราก็มองว่า เราจะทำยังไงที่จะนำเสนอในรูปแบบของภาพยนตร์ ภาพยนตร์มันสามารถสื่อออกไปให้คนได้รับความรู้สึกได้อย่างมากมายตา หู จมูกทั้งหมดเลยที่รับออกไป ผมทำหนังแอ็คชั่น ผมก็มองในมุมของแอ็คชั่น และก็มองโขน เออ ถ้าโขนมาต่อสู้ล่ะ หรือถ้าจะหยิบเอาคาแรกเตอร์ของหนุมานมาต่อสู้ มาป้องปัด มันก็จะมีเสน่ห์ในตัวของมัน หนุมานก็มีเยอะ รามเกียรติ์ก็มีอยู่ทั่วไปแล้วใช่ไหมครับ แต่จะทำอย่างไรที่จะเอาแอ็คชั่นของตัวละครตัวนั้น อยู่ที่มุมมองของการนำเสนอ มองให้มันเป็นมวย มองให้มันเป็นภาพยนตร์ก็ต้องแยกไปอีก แต่ผมเอาโขนมาใส่เป็นภาพยนตร์ เหมือนกับที่ผมคิดต้มยำกุ้ง คือมวยคชสาร ช้างมีลักษณะอย่างไร ก็เลยมามองโขน สิ่งเหล่านี้เกิดจากแรงบันดาลใจที่ครูบาอาจารย์ได้ถ่ายทอดให้ด้วย เหมือนเกี่ยวกับที่ผมชอบศิลปะการต่อสู้ที่หลากหลาย ผมชอบกังฟู ชอบเทควันโด ยูโด มวยไทย ยิมนาสติก ชอบกระโดดทุกสิ่งทุกอย่าง ผมชอบไปดูโขน นาฏศิลป์ เออ มันก็แปลกดีเหมือนกันนะ ว่าเรื่องของศิลปะผมชอบ แต่มุมมองที่การนำเสนออย่างเช่น คือผมชอบตัวหนุมาน ผมไม่เคยคิดนะว่าวันหนึ่งผมจะได้ใช้ตัวหนุมานมานำเสนอในภาพยนตร์
Q.หรืออย่างการที่เราคลุกคลี ปีนอยู่บนหลังช้าง อาบน้ำให้ช้างมาตั้งแต่เด็กก็เป็นแรงบันดาลใจในการนำมาเป็นท่ามวยช้าง คชสารอย่างในต้มยำกุ้ง
J. ครับก็เหมือนกันกับต้มยำกุ้ง อย่างเช่นกระโดดตามงวงช้าง หลังช้างอะไรแบบนี้ ก็เอาท่าทางของช้างมาใช้ในการต่อสู้ สิ่งเหล่านี้มันอยู่ใกล้ตัว มันอยู่กับตัวของผมอยู่แล้วครับ อย่างเช่นเราอาบน้ำให้ช้าง เรากระโดดไปกระโดดมา ก็เป็นท่าต่อสู้บนหลังช้างแล้ว มันเป็นการคิดต่อผสมผสาน เขาเรียกว่าของเดิมของเก่าที่มันมีความฝังใจมาแต่เด็ก มันก็เลยถูกพัฒนาการจนมาถึงวันหนึ่ง เป็นจังหวะด้วยครับ เป็นจังหวะที่ถึงเวลาแล้วที่เราจะสร้างงานศิลปะอะไรมาสักชิ้นหนึ่งให้มันเป็นสิ่งที่ใหม่ๆ อย่างเราจะหยิบศิลปะชิ้นหนึ่งมา เขาจะเล่าอย่างไร เช่นครูบาอาจารย์เขาเขียนวาดรูปท่านจะเล่าอะไร ผมก็เหมือนกัน ผมจะทำหนังชิ้นหนึ่ง ผมจะเล่าอะไร แล้วผมจะใส่อะไร ผมทำแอ็คชั่น ผมจะใส่อะไรลงไป มันก็มีเกร็ดละเอียดเล็กย่อยออกไป ผมทำหนังองค์บากก็มีบทองค์บากที่นำเสนอองค์บาก เสนอวิถีชีวิต แต่พอมาทำแอ็คชั่นก็ทำแอ็คชั่นอะไรที่มันดูแล้วใหม่ ที่มันดูแล้วคนช็อคกันทั้งโลก และผมทำศิลปะการต่อสู้ที่เกี่ยวในหนัง ผมก็ต้องคิดเพิ่มต่อว่า อะไรที่เราชอบตอนเด็ก เออเราชอบมวยลิง ของไทยก็มีหนุมาน ยักษ์ พระ ท่าทางก็สวย เลยเป็นการต่อยอด พอถึงจังหวะเลยลงตัว แต่โดยทั้งนี้ทั้งนั้น มันต้องมีความสุขก่อน ตั้งโจทย์ว่ามีความสุข เราจะถ่ายทอดโขนตรงนี้ให้คนสามารถจับต้องได้ เป็นวิชาที่สามารถจับต้องได้ พอมาองค์บาก 2 องค์บาก 3 ก็จะมีท่า ท่ายักษ์ ท่าพระ
Q.มาถึงสิ่งที่คอแอ็คชั่นทุกคนรอคอย เมื่อเบอร์1 2คนมาปะทะกัน จาVS.เดี่ยว ที่ทุกคนรอคอย
J.แล้วก็มีฉากที่สำคัญนั่นคือ นาฏยุทธ์ ต้องเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ก็เลยวางว่าทำอย่างไรเมื่อเราคิดศิลปะการต่อสู้ตรงนี้มาเป็นนาฏยุทธ์แล้ว คู่ต่อสู้เราต้องเก่งด้วย ถึงจะสมน้ำสมเนื้อก็เลยได้เดี่ยวมา ซึ่งเดี่ยวเองเป็นรุ่นน้องของผมที่เรียนอยู่ที่วิทยาลัยพละศึกษาที่จ.มหาสารคาม ซึ่งตอนนั้นผมเป็นประธานชมรม เขาก็อยู่ร่วมแก๊งค์เดียวกันคือฝึกศิลปะการต่อสู้ด้วยกัน ซึ่งตัวเดี่ยวเองเขาไวมีพัฒนาการที่ดีมากๆเลย แล้วก็ขยันในการฝึกซ้อม ก็คือเขารับอะไรแล้วก็มาฝึกซ้อมก่อนแล้วก็แก้เพียงนิดเดียวเขาก็ไปได้แล้ว ผมก็เลยเลือกเดี่ยวมาเป็นคู่ต่อสู้ อีกอย่างหนึ่งเราก็เคยเรียนวิทยาลัยพละด้วยกัน แล้วศาสตร์ตรงนี้มันต้องเข้าใจกัน เวลาปะทะมือกันมันต้องเข้าใจกัน น้ำหนักมือ ไม่ว่าจะเป็นการพลิ้ว การหลบ ถึงจะออกมาดูแล้วสมจริงที่สุด อย่างเดี่ยวมาจากที่เดียวกัน แล้วได้มาทำหนังด้วยกันมีอาจารย์คนเดียวกันคืออาจารย์พันนา ฤทธิไกร แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขามีความรักในเรื่องของแอ็คชั่น คือรักในสิ่งที่ทำเหมือนกันทั้งคู่ ไม่ใช้สตันท์แมน คืออัดก็อัดกัน คือเคยเตะกันมาก่อน ทั้งคู่เราเตะกันได้ อย่างผมก็เตะเดี่ยวได้ เดี่ยวก็เตะผมได้ เป็นศิษย์รุ่นพี่รุ่นน้องอย่างตอนเรียน เราก็ออกไปเล่นกีฬาไปเล่นอะไรพละศึกษา ก็เตะต่อยกันได้โดยเฉพาะน้องเรา ผมก็เลยคิดว่าเดี่ยวเหมาะสมที่สุดกับตัวละครตัวนี้ที่จะต้องมาประหัตประหารห้ำหั่นกันด้วยศิลปะการต่อสู้ที่แปลกใหม่ทั้งในส่วนของนาฏยุทธ์เราเอง กับภูติยุทธ์ของน้อง ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ซึ่งก็คือศิลปะ(การต่อสู้แบบมาร) เพราะตัวละครของเดี่ยวคือสางกา ตัวคาแรคเตอร์ตัวนี้จะมีความเก่งทุกศิลปะการต่อสู้ แต่ว่าใช้ไปในทางที่ผิดเท่านั้นเอง อวิชาเล่นมนต์ ไสยเวท ออกดิบๆ ภูติผี ลึกลับ ลักษณะท่าทางเป็นอีกา คือต้องบอกว่าในทุกท่วงท่าของการต่อสู้ หรือตัวละครแต่ละตัวที่จริงมันต้องเอื้อกับบทที่เรานำเสนอด้วย อย่างฉากแอ็คชั่นที่ต่อสู้กับเดี่ยวเรามีน้ำเพราะอะไร เพื่ออะไร เพื่อความสวยงาม และตัวบทด้วย พอสางกาตกลงน้ำ มันเหมือนเป็นการแก้ทางมวยอีกชั้นเชิงและลีลา ซึ่งอีกาเป็นนก ความโดดเด่นคือการบิน แต่พอตกน้ำก็คือเปียกบินไม่ได้ ก็จะมีสิ่งที่เอื้อไปถึงบท แล้วก็แอ็คชั่น คิวบู๊ ศิลปะการต่อสู้ และก็ตัวละคร ก็มีรูปร่างเป็นอย่างนี้ สถานการณ์จะเป็นยังไง เราก็ปรับเปลี่ยนตามบท ตามตัวละคร ตามแอ็คชั่น อย่างเช่นนาฏยุทธ์ก็เปรียบเสมือนกับน้ำ เขาก็มีข้อเปรียบ มันมีความสัมพันธ์กันที่จะทำให้คนดูได้สัมผัส ท่าพระเปรียบกับเหมือนสายน้ำ สงบนิ่ง
Q : แม้แต่ในทุกรายละเอียดของแอ็คชั่น ก็มีการสอดแทรกเรื่องราว จาพนมต้องคิดเยอะขนาดนั้นเลย
J : ตรงนี้มันต้องทำการบ้านอยู่แล้วว่า คือจะใช้ท่าพระ ให้เหมาะสมคือช่วงไหน ใช้ท่าลิงช่วงไหน ใช้ยักษ์ช่วงไหน ระห่ำใช้ช่วงไหน ภาพไฮไลท์ใช้ช่วงไหน มันต้องทำการบ้านครับความละเอียดละอ่อนตรงนี้ ถ้าเราไม่นึกถึงทำแบบง่ายๆ ทำหนังก็จบไป แต่นี่คือเราอยากให้คนดูได้คิดอะไรด้วย ได้มุมมองว่าเขามีกระถางไว้ตรงนี้เพื่ออะไร มีน้ำเพื่ออะไร ให้คิดลึกตรงนั้นไปนิดนึง มันก็จะได้อืม หนังเรื่องนี้มันได้อะไรนะ
Q : เป็นผู้กำกับที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด ที่ตัวเองรัก จากความคิดที่เป็นอากาศและแปรออกมาเกิดเป็นภาพจริงๆ
J: ผมมีโอกาสได้ทำหนังเรื่องนี้ได้คิดในฐานะผู้กำกับ คือคิดว่าอยากใส่ตรงนี้ลงไป ใส่นาฏยุทธ์ลงไป ออกหมัดโน่นนี่ออกไป ผมได้ทำ ในขณะเดียวกันผมได้นักแสดงที่มีพลัง และก็ใจรักไม่ว่าจะเป็นนักแสดงอาวุโส อาจารย์ที่ทุกคนเคารพ คืออาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา ซึ่งมาเล่นเป็นบทครูบัว หรือพระบัวเป็นตัวละครพระที่มีมิติ พระที่ผ่านโลกมามาก ก่อนหน้านั้นเคยเป็นพราหมณ์มาก่อน ที่ผ่านมาอาจเคยเห็นอาหนิงเล่นบทร้าย บทอะไรมาแล้ว แต่นี่คือมาเล่นเป็นพระ ผมก็ยังไม่เคยเห็นนะว่าอาหนิงมาเล่นเป็นพระ แล้วอาหนิงถ่ายทอดcharacter ตรงนี้ออกมา ได้อย่างมีพลังมากๆ ก็คือเหมือนพระจริงๆที่ให้เทศนา ดูแล้วอิ่มใจมาก บ่งบอกไปถึงอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครพระบัวที่ให้แง่คิดให้คำสั่งสอนกับเทียน ซึ่งอาหนิงเนี่ยถ่ายทอดออกมาด้วยจิตวิญญาณจริงๆ กับคำพูด “ปล่อยวาง ว่างเปล่า ทุกสรรพสิ่ง มันเป็นแค่ภาพลวงตา” แค่คำพูดคำเนี่ยนะสื่อให้คนดูเหมือนกับว่าพระอาจารย์ที่เทศน์ได้เลย บ่งบอกออกมาได้ถึงขนาดนั้น ดูแค่แววตา เล่นแค่แววตาตรงนี้ มันก็สื่อออกมาว่าปล่อยวางซะ ซึ่งขนาดผมเล่นผมยังขนลุก ผมยังน้ำตาเอ่อ มันรู้สึกว่านี่สินักแสดง ผมยังเทียบชั้นไม่ได้เลย ท่านปลดปล่อยเราถึงขนาดขนลุกออกมา มันเป็นพลังของตัวละคร เป็นเทคนิค ซึ่งอาหนิงทำออกมาได้ดีและก็มีความอดทนครับ ผมก็เกรงใจ ในฐานะผมเป็นผู้กำกับ ผมก็เกรงใจในการที่จะต้องให้อาหนิงทำวอแคป(เมคอัพเอฟเฟ็คต์ครอบผมทำศรีษะล้าน)ที่เป็นสี่ห้าชั่วโมงครับ ต้องมานั่งใส่วอแคปแล้วแกก็ใจเย็น สวดมนต์ จาเมื่อไหร่จะเข้าล่ะ เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมากๆ เป็นผู้ใหญ่ที่ผมให้ความเคารพมากๆ โดยเฉพาะท่านกินเจด้วย ทานผลไม้ทานมื้อเดียว
และก็ยังมีนางเอกซึ่งขาดไม่ได้ก็คือน้องจ๊ะจ๋า(พริมรตา เดชอุดม) มาเติมสีสันให้ชีวิต ให้รู้สึกว่าในหนังเรื่องนี้มันไม่ขาดความรัก ไม่ขาดความหวาน เขาเรียกเป็นยาใจมาห่อหุ้มตัวละครตัวนี้ ตัวเทียนเอาไว้ นั่นก็คือความอ่อนหวาน ถ้าบอกว่ามีผู้ชายก็ต้องมีผู้หญิง มีพระเอกก็ต้องมีนางเอก นางเอกที่จะรับบทได้นั้นต้องเข้าใจในศิลปะการแสดง เข้าใจในเรื่องของอารมณ์ได้ดี ซึ่งน้องจ๊ะจ๋าเนี่ย พอผมได้สัมผัส ได้อิมโพรไวซ์ด้วย ได้ศึกษา ได้รำ เขาเรียกว่าได้แอ็คติ้งด้วยกัน มันมีความรู้สึกว่าเขาส่งพลังได้อย่างดีมากโดยเฉพาะในความเป็นผู้หญิง ผู้ชายมีความแข็งแกร่ง ความดุดันอยู่แล้ว โดยเฉพาะตัวละครของเทียนถูกพันธนาการด้วยความบอบช้ำมากมาย พิมซึ่งเล่นโดยจ๊ะจ๋าเขาฉุดพลังของผมขึ้นมาได้ ฉุดพลังของเราขึ้นมาด้วยพลังของเขา เขาเป็นคนที่พอเขาอยู่ในตัวละครนั้น เขาออกมาได้เลยนะ พี่จาเอาตรงนี้เพิ่มไหม หนูว่าคิดว่าตรงนี้ ตัวละครของพิม ความเป็นเด็กของพิมมันมีความแข็งอยู่นะ ถ้ามีความแข็งแกร่งพอ จะต้องดึงพลังของตัวเทียนที่บอบช้ำออกมาได้ เขาเป็นนักแสดงที่สามารถโต้ตอบกับเราได้ และจ๊ะจ๋าก็ทำออกมาได้ดีซึ่งทำให้เราน้ำตาไหล ขนลุก แค่สัมผัส เป็นฉากหนึ่งที่กอด ผมยังอายเลย เขาก็ใจเย็นๆ พี่จาใจเย็น เราไม่เคยเข้าพระเข้านางจริงๆ แต่ตอนนั้นคือเรามาเข้าพระ ก็มีการปรับจูนกัน พอสัมผัสมันมีพลังเกิดขึ้น เขาเล่นเข้ามาส่งต่อ จะเห็นได้ออกมาจากท่ารำที่เรารำบำบัดเพื่อรักษาตัวเทียน จ๊ะจ๋าทำออกมาได้ดี คือส่งพลังไปที่ร่างกาย ส่งพลังไปที่มือ มันก็เลยเป็นพลังบวกที่มันกลมกลืนกัน พาไปๆ ซึ่งตรงนี้ต้องยอมรับว่าเขาเป็นนักแสดงที่มีพลัง และจะขาดอีกไม่ได้คือพี่หม่ำ(หม่ำ จ๊กมก)พี่หม่ำซึ่งเล่นเป็นคนบ้า แต่เป็นตัวละครที่ให้แง่คิด มีอยู่ฉากหนึ่งที่ผมชอบมากเลย เป็นฉากต่อสู้ที่พี่หม่ำร่วมด้วย พี่หม่ำก็จะต่อสู้ในแบบคนบ้าที่ไร้สติ แต่สุดท้ายในฉากนี้ทำให้ตัวเทียนได้ค้นพบกับความคิดที่ว่า ขนาดคนบ้ายังต่อสู้ ยังชนะ ถ้าเทียนมีสติ สิ่งที่สำคัญก็คือต้องชนะใจตนเอง มันจะสื่อความหมายไปพร้อมกับแอ็คชั่นที่เรานำเสนอออกไป เหมือนในฉากแอ็คชั่นนี้จะมีเถาวัลย์เข้ามาเกี่ยวข้อง มันเป็นฉากแอ็คชั่นที่เล็กมากเลยแต่มันให้ความคิด เถาวัลย์เส้นเดียวกันก็คือจิตเขาที่บริสุทธิ์ หรือจะเปรียบได้ว่าเป็นเส้นบ่วงแห่งชะตากรรม แต่เพียงเราเดินคนละทางเท่านั่นเอง และการต่อสู้ที่ใช้เถาวัลย์พันเกี่ยวนั่นคือพันธนาการรัดตัว สุดท้ายมารัดตัวเอง เราจะต่อสู้ทำไมเมื่อต่อสู้แล้วยิ่งถูกพันธนาการลงไปทุกเมื่อ ตัวเทียนก็เลยสลัดพันธนาการนั้นออก สลัดใส่คู่ต่อสู้ กลายมาเป็นเถาวัลย์เส้นเดียวกันกับตัวละครคนบ้ากับคนที่ยังมีสติอยู่ โชคดีที่เราได้พี่หม่ำมาเล่น คือบอกได้ว่าพี่หม่ำเป็นคนที่ทุ่มเทมากๆ แล้วบทพี่หม่ำต่างจากภาพยนตร์เรื่องอื่น ผมบอกได้เลยว่าเป็นเรื่องแรกที่เล่นเป็นคนบ้า แล้วบทไอ้เหม็นของพี่หม่ำเปิดมาตรงไหนก็จะมีความหมายตรงนั้น ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็คชั่นที่เรียงร้อยขึ้นมา มันให้คำสั่งสอน ให้ข้อเปรียบเทียบระหว่างคนบ้ากับคนดี อะไรคือบ้า บ้าด้วยกิเลสตัณหา มันก็จะมีข้อเปรียบเทียบ มีฉากหนึ่งที่เทียนถึงขนาดจะกระโดดลงหน้าผาฆ่าตัวตาย แต่คนบ้ายังไม่คิดที่จะฆ่าตัวตายเลย เราใส่อะไรที่เป็นมุมมองให้คนคิดได้อย่างน้อยคือเป็นกำลังใจ เราเริ่มเป็นกำลังใจให้เขาที่จะต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรค อย่างตัวผมก็ได้ไอเดียนะที่ผมไปรายการตีสิบ ผมเห็นคนที่พิการ ผมก็ไปให้พลังเขา ทำอย่างงี้ ปล่อยอารมณ์ตามนะ แล้วก็ทำเรียงร้อยมือมือเราจับนิ้ว จีบนิ้วไป แล้วก็ท่ากำมัดเนี่ยเริ่มเป็นพลังงาน เป็นยักษ์ เขาก็ทำตาม แล้วพอเขาทำตามเขาก็เกิดมีความสุข ผมก็เลยได้ไอเดียนั้นมา ระหว่างคนพิการ ถึงขนาดเขาพิการถ้าดึงจิตเขาออกมาไม่ให้เขาพิการเหมือนร่างกาย เขาก็มีความรู้สึกเหมือนคนธรรมดา โดยไม่ได้ยึดติดเรื่องของร่างกาย ผมก็เลยเอาคนบ้า ก็คือได้พี่หม่ำมา ซึ่งมันลงตัวมาก ต้องไปดูๆ แล้วพี่หม่ำเป็นพี่ชายที่แสดงสปิริตแบบการเป็นนักแสดงชั้นเยี่ยมออกมาให้เห็น นั่นก็คือฉากที่ผมต้องยืนอยู่บนหน้าผาแล้วก็ข้างลงนี่สูงเท่ากับตึกใบหยกนะครับ แล้วตัวพี่หม่ำจะต้องเดินไปที่หน้าผาซึ่งเดินตามตัวละครผมยืนบนหน้าผาแล้วพี่หม่ำก็เอาวะเพื่อน้อง ได้ใจมากๆเลยครับ พี่หม่ำก็ใช้สลิงเส้นเดียวไปยืนถึงขอบ แล้วต้องเขี่ยหินตกหน้าผาให้ดูว่าเราไม่ใช้ CG นะครับ เราไม่ใช้เทคนิคอะไร เขี่ยไปให้ดูว่าตก ต้องยอมรับว่าพี่หม่ำคือสุดยอดครับ ทุ่มเทแบบเต็มที่มาก ไม่เคยทำเรื่องไหนแล้วไม่เคยขาสั่นได้มากถึงขนาดนี้ มาหนังองค์บาก 3 เนี่ยะ พี่หม่ำบอกว่าทำให้ มาเล่นบทนี้ กระทั่งเดี่ยวซึ่งเป็นเพื่อน เป็นคู่ปรับที่เหมาะสมมาก เรียกว่าถึงพริกถึงขิง และก็เข้าใจถึงอารมณ์ของการต่อสู้อย่างที่บอก รวมทั้งพี่ตั้วศรัณยู ในบทพระยาราชเสนา ในองค์บากภาค3 เราจะเห็นด้านที่อ่อนแอ ด้านความเป็นมนุษย์ มากขึ้นในตัวละครตัวนี้ แต่ก็ยังมีแววตาแห่งความหวาดกลัว มีกิเลส มีความเป็นตัวร้ายอยู่ในทุกอณู
Q : ในหนังหลายๆเรื่องที่ผ่านๆมา มักจะมีการพูดกันว่าทำไม จาพนม ไม่ค่อยพูด ชนิดที่ว่านับคำได้
J : หลายๆเรื่องที่บอกว่าทำไมจาพนมไม่พูดมั่ง ทำไมอึดอัด แต่เรื่องนี้ก็มีการพูดนะครับ แต่ว่าการที่ผมพูดออกไปมันต้องมีปรัชญา มันให้แง่คิด เพราะว่าตามตัวละครตัวนี้ไม่น่าจะพูดอะไรเยอะ ในหนังเรื่องนี้อยากสื่อไปในภาพ ในเฟรม ที่มุมกล้องของน้ากล้วยที่นำเสนอ ในแววตา ในลักษณะสีหน้าท่าทาง ให้ความรู้สึกตีความหมายไปว่าเพื่ออะไร เพราะอะไร ที่มาที่ไป ไปสู่อะไร ในหนังเรื่องนี้จะนำเสนอภาพ ผมชอบหนังชาลี แชปลิน เขาไม่ได้พูดเลย แต่เขาทำให้คนหัวเราะได้ ก็เหมือนกัน อย่างผมอยากให้ภาพนี้ให้ คนดูรู้ว่าเป็นสีแดง แต่เราบอกด้วยพลังที่มันแดง นี่คือพลังที่มีเลือดเนื้อด้วย ด้วยการแสดงออกมาจากความรู้สึก อยากให้เข้าถึงความรู้สึกข้างในมากกว่า
Q : ฟังๆดูแล้ว งานด้านภาพก็เป็นองค์ประกอบสำคัญ กับองค์บาก3 ที่มีรายละเอียดทั้งในส่วนของแอ็คชั่น และเรื่องของสัจธรรมรวมไปถึงความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่ตัวผู้กำกับต้องการนำเสนอ มีความหนักใจในส่วนตรงนี้ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังแอ็คชั่นพีเรียทในสไตล์จาพนม
J : ต้องบอกว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของหนังหลายๆเรื่องที่ประสบความสำเร็จ ก็คือน้ากล้วย ณัฐวุฒิ กิตติคุณ(โหมโรง,นางนาก,ตำนานสมเด็จพระนรเศวรมหาราช,องค์บาก1-2-3,ต้มยำกุ้ง) ซึ่งได้ผู้กำกับภาพคนนี้มา และเป็นผู้ใหญ่ในวงการที่เราให้ความเคารพ พี่กล้วยเขาจะมีมุมมองทางเรื่องของอารมณ์ภาพ ขนาดภาพ ไม่ว่าจะเป็นทุกเฟรมทุกช็อตก็จะมีมิติ ก็จะมีความหมายซึ่งในตรงนี้ผมก็มาคุยมา เล่าความรู้สึกของผมที่อยากให้พี่กล้วยได้นำเสนอออกไป และก็ให้พี่กล้วยถ่ายทอดออกมาให้ชัดเจนมากขึ้นกับความรู้สึกที่ผมต้องการ กับความรู้สึกภายในของตัวละคร มันเป็นสิ่งที่ลงตัวมากครับ ซึ่งได้ผู้กำกับภาพอย่างน้ากล้วยมานี่ก็คือบอกได้หมดเลย ขยับมือนี้ความรู้สึกอะไร เส้นเอ็น น้ำที่กระเพื่อม หยดน้ำที่โปรยตกลงมา เม็ดเลือด หยาดฝนที่ให้ความรู้สึก คือบางทีเราก็นึกไม่ถึงอย่างเช่น ถ้าเราไม่สู้ใช่ไหม เราแค่หลับตาแล้วภาพควันลอยมาบังหน้า เราไม่ต้องต่อสู้เลย ก็เป็นภาพคนลอย มันก็สื่อ มันก็เล่าเรื่องได้ อย่างนี้คือเป็นการแลกเปลี่ยนมุมมองให้ความรู้สึก แม้กระทั่งหยดเลือดที่สูญเสียลงไปกับการฆ่ากิเลส กับแววตาของครูบัวอะไรต่างๆ แม้กระทั่งพิมที่สื่อสารระหว่างการบำบัดเทียนที่มือ ที่สอดเข้าไปเรียงร้อย ทำยังไงที่ภาพนั้นจะสื่อออกมา ซึ่งพี่กล้วยสุดยอดลงตัว รวมไปถึงภาพที่มันโหดร้ายของตัวละครแต่ละตัว แต่ละฉาก แต่ละช็อตออกมา ทุกภาพจะมีความหมาย ซึ่งมุมมองของผู้กำกับภาพแตกต่างกัน อยู่ที่วิธีคิดและแนวความคิด อย่างเช่นพี่กล้วยอาจเคยกำกับภาพมาหลายเรื่อง มีกำกับนเรศวรอะไรที่แอ็คชั่นเหมือนกัน แอ็คชั่นที่มีช้างเหมือนกันครับ ก็แปลกใหม่ เพราะว่าหนังศิลปะการต่อสู้ก็ต้องมามองอีกว่าจะนำเสนอแบบไหนที่จะทำให้คนดูเข้าถึงได้ โดยเฉพาะแอ็คชั่นช้างเป็นการถ่ายทำที่ยากมาก มุมกล้องต้องเป๊ะมาก เพราะว่าเป็นสิ่งที่อันตรายและทำไม่ได้บ่อยครั้ง งั้นต้องวางมุมภาพให้กล้องสองตัวสามตัว เครนอะไรต้องพร้อมเลย ทุกอย่างถูกประสานงานและมันก็ลงตัวที่สุด อย่างผมตั้งโจทย์การทำหนังแอ็คชั่น ภาพกับแอ็คชั่นต้องไปด้วยกัน ต้องสื่อสารมันต้องมีความสัมพันธ์ ทำยังไงที่จะให้คนดูมีสิ่งที่แปลกใหม่ แล้วได้อารมณ์อินเข้าไป ให้ความรู้สึกเข้าไปในหนังเรื่องนั้นว่าอันนี้โหดร้ายจริงๆ อันนี้ร้องไห้จริงๆ ขำจริงๆ มันอยู่ที่ภาพตรงนั้นเป็นตัวสื่อด้วย ซึ่งองค์ประกอบตรงนั้นได้น้ากล้วยมาทำ ได้แสง น้าหาญมาทำตรงนี้ ผมบอกว่าฉากนี้เราไม่อายต่างประเทศครับ เพราะว่าต่างประเทศเขาก็มี CG ใช้ CG ทำช้างอย่างที่เราเห็น ซึ่งเราไม่มีความสามารถที่จะไปทำแบบนั้นได้ เราก็ต้องยอมรับเขา แต่ว่าเรามีความเป็นไทย เราก็มีความสามารถแบบของไทย นั่นก็คือความสามารถของเราเนี่ยแหละ ดิบๆด้วยมันสมอง ด้วยสองมือของเรานี่แหละ ด้วยบุคลากรทุกคนมาช่วย ระดมความคิด ไม่ว่าจะเป็นแสง ไม่ว่าจะเป็นตากล้อง ไม่ว่าจะเป็นทีมงานทุกคน ฝ่ายอาร์ต ฝ่ายเสื้อผ้า ประดิษฐ์ทุกอย่าง ขนาดผมบิดไปนิดนึงก็ไม่ได้ครับ มันไม่ continue คือมันละเอียดครับ หนังเรื่องนี้ละเอียด เม็ดเลือดที่หยดลงมาให้ความรู้สึกอะไร น้ำตาให้ความรู้สึก ดาบที่เปื้อนเลือดให้ความรู้สึกอะไร กับผมเส้นผมที่เกรอะกรัง ทำไมถึงต้องมาเกรอะกรัง ทำไมถึงต้องมาฟันดำ ทำไมต้องเล็บดำ ทำไมเสื้อผ้าถึงต้องขาด ทำไมเสื้อผ้าต้องมีหัวครุฑ ทำไมเสื้อผ้าต้องเป็นหัวนาค ถ้าดูไปแล้ว ผมอยากให้คนดูดูเข้าไป แล้วมันจะได้อะไร ดูแล้วจะให้ความรู้สึก ถ้าเราศึกษาก่อนแล้วเราเข้าไปดูในหนังเนี่ยะ มันจะได้ความรู้สึกมากๆ ทั้งหมดมันจะขมวดกัน แล้วคุณจะดูหนังแบบมีความสุข อินกับหนัง อินกับบท กับฉากทุกฉาก และอินกับแอ็คชั่นทุกแอ็คชั่น
Q : พูดได้ว่า องค์บาก3 เป็นผลงานที่แสดงสปิริตของทีมงาน ของนักแสดง ของพลังความคิดจากคนไทยที่แสดงออกถึงศักยภาพของหนังไทย
J : ทีมงานทุกคนมีความตั้งใจ และหวังไว้ว่า ซึ่งผมคิดว่ามีเป้าหมายเดียวกันก็คือ นำหนังไทยไปสู่ตลาดนอก ผมบอกว่าชาวต่างชาติที่ผมได้มีโอกาสไปสัมผัสไปนั่งดูกับเขา กับคนดูเลย แล้วคนดูต่างประเทศไม่ได้พูดภาษาเราเลย พอดูแล้วเขาลุกขึ้นปรบมือ จับเสื้อผ้า จับอะไรอย่างนี้ มันมีความรู้สึกว่ามันแปลกมันไม่เหมือนบ้านเขา ตรงนี้ต้องยกผลประโยชน์ให้กับทีมงานทุกคนที่แสดงสปิริตออกมา ทำยังไงที่หนังถึงออกมามีคุณภาพอย่างนี้ ทำไมหนังถึงออกมาแล้วองค์ประกอบมันละเอียด ทำไมมันถึงละเอียด ก็เพราะว่าอยากให้หนังตรงนี้ออกไปต่างประเทศแล้ว ให้รู้ว่าเป็นหนังที่มาจากเมืองไทยนะ นี่แหละกลิ่นของความเป็นไทย ของคนไทย คือที่ทีมงานของพวกเราที่เป็นคนไทยมีความตั้งใจมาก เรื่องของ location ทำยังไงให้มันปราณีตนั้น ไปดู location จากเหนือจรดใต้เลยครับ ไปดูว่าตรงไหนที่มันเหมาะสมกับหนังเรื่องนี้ เข้ากับหนังเรื่องนี้ ไปศึกษา รีเซิร์ชข้อมูล อย่างไป รีเซิร์ชโขน ไปรีเซิร์ชนาฏศิลป์ ไปรีเซิร์ชการรำการเต้น ศิลปะการต่อสู้ทุกคน นี่คือเบื้องหลังที่ยังไม่ถูกเปิดเผยออกมา ซึ่งเราทำงานพิถีพิถันมาก ซึ่งเราทำงานหนักมาก คนดูอาจจะได้เห็นแค่ชั่วโมงกว่าหรือไม่ถึงชั่วโมงนั่นคือหนังจบแล้ว แต่วิธีการทำงานของเรานั้นคือทุกวินาทีครับ ทุกวินาทีคือการขับเคลื่อน ฝ่ายอาร์ตไปดู ฝ่าย location ไปดู location ที่เหมาะสม ทำยังไงที่จะให้มาได้ตามผู้กำกับ ทำไงภาพถึงจะได้ ภาพก็ต้องลงไป ตากล้องก็ต้องลงไป ช่างภาพ เสียง เพื่อไปวัดเสียง ไปวัดแสงก็ต้องไป ไปทำเพื่อเอาข้อมูลนั้นมา แสงตรงนี้ได้ไหม หรือระดับหน้าผาเป็นยังไง ความยากง่าย level ของหิน การที่เราไปยืนมันได้ตำแหน่งองศาของภาพไหม ให้ความรู้สึกยังไงของตัวละครที่ต้องไปยืนอยู่โดดเดี่ยว แล้วตัวละครที่ก้าวเข้ามามันบาลานซ์กันไหม แสงได้ไหม ตรงนี้มันไม่ถูกเปิดเผยออกมา ผมอยากให้คนดูได้รับรู้ว่ากระบวนการของการทำงานเบื้องหลังจะไม่ค่อยได้รู้ แต่ ณ ตรงนี้คือการที่เราได้เห็นความเป็นหนังออกมา มันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก ทุกคนได้ทำออกมาอย่างสำเร็จ ทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุด
Q : ทราบมาว่ามีการใช้โลเกชั่นถ่ายทำทั่วเมืองไทย ทั้งunseenด้วย ตั้งแต่เหนือจรดใต้เลยทีเดียว
J : การถ่ายทำของเราทุก location เราไปหมดเลยครับ ภาคเหนือที่ ภูชี้ฟ้า เชียงราย ฉากถ้ำ และก็ยังลงไปที่กระบี่ครับ ไปน้ำตก ไปที่กระบี่ ไปถ้ำมรกต เขาใหญ่นี่ก็ใช่ ฉากที่ฝึกนาฏยุทธ์ และที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่ง location นั้น ก็จะให้เข้าถึง location จริงๆ นั่นก็คือปราสาทตาเมือน ซึ่งเราได้ปราสาทนี้มาและมีการเซ็ทและเพิ่มเติมเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของหนัง แล้วก็ฉากที่ครูบัวบวช ซึ่งฉากที่วัดเขาโต๊ะ ตรงนั้นจะเป็นแหล่งที่รวบรวมศิลปะและวัฒนธรรม แม้กระทั่งบ้านครูบัว พิธีกรรมการบวงสรวง เราก็ต้องไป รีเซิร์ชเอาข้อมูลจากชาวบ้านว่าวิธีในการรำพิธีไหว้ครู ในการรำบวงสรวงเป็นยังไง แม้กระทั่งบวชของครูบัวก็ต้องไปดูว่า location ได้ไหม มันส่งไหมให้กับตัวละครตัวนี้ กับบทกับหนังตรงนี้ไหม และก็รวมไปถึงพระราชวังขนาด 25 ไร่ที่ระยอง ที่เราจะใช้ในฉากที่อลังการ นั่นคือฉากชนช้าง ฉากต่อสู้ที่มันอลังการที่ยิ่งใหญ่ออกมา แล้วก็ยังมีฉากหน้าผาซึ่งเป็นฉากที่ให้แง่คิดอีกมุมหนึ่งของตัวละคร ที่ผาเจ็ก อุบลราชธานี
Q.โปรเจ็คต์“องค์บาก” มีความสำคัญอย่างไรกับผู้ชายที่ชื่อ “จาพนม” เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมานานแค่ไหนอย่างไรแล้ว
J. ที่จริงองค์บากเปรียบเสมือนกับวิถีชีวิตของเรา เป็นการนำเสนอว่าความฝันของผมว่าสักวันหนึ่งเ ราจะเป็นนักแสดง ที่ถ่ายทอดศิลปะการต่อสู้ออกไป จนได้เจออาจารย์พันนา แล้วก็ได้ทำหนังขึ้นมา ได้สัมผัสกับทีมงานหลายๆฝ่าย ได้สัมผัสกับสิ่งที่เราได้เล่น ได้กระทำนั่นคือหนัง ซึ่งรวมกันแล้วเป็นเวลา8ปีได้กับการบ่มที่ว่า อยากทำองค์บากนี้ขึ้นมา แล้วเป็นศิลปะการต่อสู้แบบใหม่ และมีมุมมองที่มีความคิดที่มันเป็นตัวตนของเรา ผมคิดว่าผมทำอันนี้แล้วมีความสุข เช่นผมหยิบช้างมาก็เป็นมวยคชสาร ผมหยิบโขนมาก็เป็นมวยนาฏยุทธ์ อะไรตรงนี้ แล้วก็ผมชอบศิลปะภาพยนตร์ มันเป็นสิ่งที่สื่อให้คนดูได้เห็น และรู้สึกครับ 8ปีกับองค์บาก สำหรับในการเตรียมงานเหมือนกับเป็นการบ่ม ความรู้สึกที่ว่าสักวันหนึ่งอยากจะทำ แล้วก็มีโอกาสได้ทำ และได้ทำแบบทุ่มชีวิต ทุ่มจิตวิญญาณออกไป
Q.จริงไหมที่ว่าพอมาเป็นผู้กำกับ จาพนม ค่อนข้างให้ความสำคัญและพิถีพิถันในการทำงานกับโปรเจ็คต์องค์บากนี้ถึงขนาดที่ว่าอะไรที่ไม่ดี ไม่ใช่ก็ถ่ายใหม่เลย รวมไปถึงการมีมาตรฐานในการทำงานที่ค่อนข้างสูงมาก
J. ที่จริงแล้วนะครับ คือในองค์ประกอบของหนังก็มีเรื่องเยอะอยู่แล้ว ฝ่ายโน่นฝ่ายนี้ ฝ่ายทีมงาน กองถ่ายโปรดักชั่นในการพรีโพร มาโปรดักชั่นอีก ไหนจะฝ่ายทีมงานกล้อง ทีมงานไฟ แล้วก็การทำงานที่จะได้อย่างใจเรา มันไม่สามารถจะเป็นไปได้ทุกอย่าง เพราะต้องขึ้นอยู่กับสภาวะและสถานการณ์ด้วย การที่เราจะทำงานไปสู่เป้าหมาย เราก็ต้องเตรียมความพร้อมของเรา นั่นคือ เราต้องเผื่อใจไว้ด้วยสเต็ปหนึ่ง คือถ้าไม่ได้ เราก็เปลี่ยน คือมันสามารถปรับเปลี่ยนได้ องค์ประกอบไม่เช่นนั้นถ้าเราทำไปแล้วหยุด เรามารอแดด รอฝน รอฟ้า มันก็ทำงานไม่ได้ดั่งประสิทธิภาพ ซึ่งการทำหนังแอ็คชั่น มันไม่เหมือนหนังทั่วๆไป ผมว่าศิลปะภาพยนตร์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ผู้กำกับทุกคนละเอียดอ่อนหมด แต่ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมากน้อย แต่ในมุมมองของคนดูเขาอาจจะไม่รู้ว่าเราทำ เราเย็บด้ายขนาดนั้น แผลแตกขนาดนั้น ต้องเย็บกี่เซ็นต์ เขาไม่ได้มอง เขามองที่ภาพ แต่ในมุมมองของคนทำงานทุกคนละเอียดอ่อนหมด ทุกคนมีความปราณีตเพราะทุกคนอยากให้หนังออกมาดี มีคุณภาพ ในที่สุดแล้วนายทุนอยากให้หนังออกมาทำเงิน ต้องการให้หนังออกมามีคุณภาพ นักแสดงต้องการอยากให้หนังออกมาดีทุกคน ผกก.ก็อยากให้งานออกมาดี ก็เลย ตรงนี้หน่อย ตรงนี้เพิ่มอีกหน่อย แต่ถ้ามันไม่ได้ก็ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน การดำเนินงาน
Q.กว่าจะได้ดู “องค์บาก3” หลายคนรู้สึกว่าทำไมถึงต้องใช้เวลานานขนาดนั้น
J. หลายคนอาจจะบอกว่าทำไมถึงนานจังเลย ผมก็บอกว่าเออมันก็นานเหมือนกันนะ แต่ในมุมของคนทำคือไม่ได้คิดอะไรตรงนั้นเลย แต่จะทำอย่างไรให้หนังมันออกมามีความปราณีต ทำออกมาแล้วให้มันมีเสน่ห์ มันมีพลังในตัวของมันให้คนดูรู้สึกว่าเออคุ้มค่าในการหยิบเงินสักบาทสักสตางค์ไปจ่ายค่าตั๋วหนัง ไม่ใช่ว่าต้องคิดแล้วคิดอีก โอเคเชื่อมั่นได้เลยครับว่าผมไปดูหนังแล้วผมได้อะไรแน่นอนเลยครับ ได้อะไรอย่างน้อยก็แอ็คชั่น ได้อะไรอย่างน้อยก็ความบันเทิง ยังมีสิ่งอะไรที่มันได้อะไรอีกมากมาย
Q.กับโปรเจ็คต์ภาพยนตร์แอ็คชั่นพีเรียดอย่าง “องค์บาก3” ถามจริงๆว่ายากมากขนาดไหน
J. ยากกก..... เพราะว่ามันยากเป็นดับเบิ้ล เพราะองค์บาก2 มาจนถึงองค์บาก3 เราพยายามที่จะทำอะไรที่มันใหม่ หรืออีกอย่างหนึ่งคือไม่ทำองค์บาก3 แล้ว ไม่ทำต่อแล้ว มันจบแล้ว มันปิดฉากตรงปิดรอยองค์บากแล้ว ต่อไปก็ทำหนังเรื่องอื่นแล้ว ทำหนังตลก ทำหนังรักอะไรไป เพราะนั่นคือโจทย์ที่มันโอ้โห้...ยาก แต่ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่ท้าทายนะ มีความสุข โอ้โห คือถ้าทำอะไรที่มันง่าย มันก็ง่ายนะ มันยากในที่นี้มันทำให้เราได้คิด กระตือรือร้น ทำให้เราได้ไขว่คว้า ได้ต่อสู้ .ผมมองว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นบันไดที่ก้าวไปทีละสเต็ป ก้าวๆขึ้นไป ทำให้ภูมิคุ้มกันของเรา ร่างกายของเราแข็งแกร่งขึ้น และอีกอย่างหนึ่งผมบอกได้เลยว่าการศึกษามันไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่เก่ง ผมชอบที่จะศึกษา ไปคนโน่นบ้างตรงนั้นตรงนี้บ้าง อาจารย์ผมมีเยอะมาก อยู่รอบทิศทางเลย ผมอยากได้อารมณ์ตรงนี้ ผมอยากนำเสนอเกร็ดนั้นบ้างเกร็ดนี้บ้าง เพราะเราถือว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดีต่อเรา เรียนรู้ไปเถอะครับ เรามีโอกาสแล้ว เราได้ทำ ยิ่งเป็นผลบวก เผอิญเราได้ถ่ายทอดสิ่งที่เราได้เรียนรู้มา ได้ถ่ายทอดออกไปในหนัง อย่างครูบาอาจารย์ท่านได้เห็น นี่นะลูกศิษย์เรานะ ภูมิใจ นี่นะเขาหยิบมาจากนี้ ซึ่งเราไปเจอไปกับครูบาอาจารย์ เราไปค้นคว้า แล้วเราได้มานั่งดูหนังที่เราทำ มันมีความรู้สึกว่าเราภูมิใจ
Q.จากวันแรกจนถึงวันนี้ องค์บาก3 หนังที่เป็นทั้งชีวิตของจาพนมปิดกล้องแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้าง
J. ก็คือภาพยนตร์เรื่ององค์บากภาค3 ผมก็ไม่นึกไม่ฝันว่าจะมาเร็วขนาดนี้ จนกระทั่งตัวเองพลิกผันกลายมาเป็นผกก. และเป็นนักแสดงนำ ผมต้องขอขอบคุณเสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ ,พี่ปรัชญา ปิ่นแก้วที่คอยให้คำปรึกษา และอาจารย์พันนา ฤทธิไกรที่ให้คำปรึกษา คำแนะนำในเรื่องของหนังแอ็คชั่น ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านบอกเราได้เรียนรู้ ในที่สุดผมก็ได้ทำสิ่งที่เป็นมาสเตอร์พีซของผม ได้ทำออกมาจากใจจากจิตวิญญาณจริงๆ ผมทำแบบเต็มที่แล้ว ที่เหลือนั่นคือให้คนดูได้ดู ได้สัมผัส แล้วก็ให้มีความสุขกับการได้ชมภาพยนตร์เรื่ององค์บาก3นี้ อย่างน้อย คือเข้าไปดูหนัง คนดูได้ดูฉาก ได้ดูเสื้อผ้า ได้ดูบท ได้ดูฉากแอ็คชั่นที่มันแปลกใหม่ แล้วก็ได้ดูภาพแต่ละฉากแต่ละซีนที่มันให้ความหมายอะไร อย่างหนึ่งละที่ผมนำเสนอไป ผมนำเสนอพราหมณ์และพุทธ ผมนำเสนอโขน ผมนำเสนอจิตวิญญาณที่เป็นตะวันออกของเรา แล้วก็ภูมิปัญญาของครูบาอาจารย์ของเรา บรรพบุรุษของเรา มันทำให้เลือดสูบฉีด การที่เราทำหนังขึ้นมา คิดค้นขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง มันไม่ใช่ใครที่ไหน แต่มันคือบรรพบุรุษ มันคือภูมิปัญญาของครูบาอาจารย์ คือภูมิปัญญาของครูของพวกเราคนไทย นี่แหละครับ ถ้าเราไม่ทำ มันก็จะไม่เกิดขึ้น ผมถือว่าผมขอเป็นตัวแทนในการทำภ.องค์บาก3นี้ให้กับคนดูคนไทยได้สัมผัส และระลึกถึงบรรพบุรุษและระลึกถึงครูบาอาจารย์ในหนังเรื่องนี้
Q.อีกกลุ่มนักแสดงที่มีบทบาทสำคัญกับ “องค์บาก3” มากๆเลยก็คือ “ช้าง”
J. รู้ไหมครับว่าหนังทุกเรื่อง เพราะสิ่งเหล่านี้ผมเกิดมากับช้าง ผมคู่กับช้าง องค์บากภาคแรกผมก็มีช้าง ต้มยำกุ้งผมก็มีช้าง องค์บากภาค2 ผมก็มีช้าง และองค์บากภาค3ผมก็มีช้าง ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า ช้างเปรียบได้กับเทวดานะครับที่ไม่ใช่สัตว์ เขาเป็นเพื่อน เขาเป็นมิตรร่วมโลกที่ทำให้เราได้มีแผ่นดินหรือประเทศไทยมาจนถึงทุกวันนี้ คือถ้าเป็นหนังที่ผมเล่นต้องมีช้างครับไม่มากก็น้อย เพราะว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของเรา นั่นคือเพื่อนของเรา นั่นคือเทวดาของเรา นั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเรา คู่บ้านคู่เมือง คู่แผ่นดิน ต้องขอบคุณเขาอย่างมาก และต้องตอบแทนบุญคุณเขา ช้างไทยครับ ที่จริงภ.เรื่ององค์บาก3 ช้างมีหลายเชือกที่มาร่วมแสดงครั้งนี้ แต่ตัวเอกก็มีช้างหนุ่มเสก ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดอย่างมาก และบัวบาน แค่ชื่อก็เป็นมงคลแล้ว ทั้งคู่ไม่ว่าจะเป็นช้างหนุ่มเสก ช้างบัวบาน มีความเฉียวฉลาดมากๆให้ทำอะไรเขาก็ทำ เหมือนกับว่าแสนรู้มากๆ เป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญถึงช้างไทยที่มีความเฉลียวฉลาด เพราะว่ามีความอดทน ในการตรากตรำทำงานกับกองถ่ายองค์บาก3มาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นแดด ลม ฝน ฝุ่น เขายืนอยู่ตรงนั้น และทำให้หนังองค์บาก3ผ่านพ้นไปด้วยดี ถึงแม้กระทั่งตกมันนะครับ เขาก็ไม่ยอม ร่วมแรงร่วมใจคนกับช้างประสานกลายเป็นหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นมาสเตอร์พีซ ก็ได้เลย เพราะว่าเป็นสิ่งที่หาไม่ได้แล้วครับ หนังแอ็คชั่นที่ก็แปลกใหม่ และการต่อสู้บนหลังช้างที่ถ่ายทำเทคนิคโดยจริงๆ โดยไม่ใช้ตัวนักแสดงแทน ไม่ใช้สลิง แล้วคนดูจะได้เห็นความจริงความดิบของความสามารถของช้าง ความสามารถของคน ของบุคลากรทีมงานทุกคนที่มารวมตัวกันเป็นหนึ่งเพื่อให้ทุกคนได้ดู องค์บาก3 ครับ 5 พ.ค. นี้เจอกันแน่นอน