กรุงเทพฯ--20 เม.ย.--บลจ.นครหลวงไทย
นางสาวรรณจันทร์ อึ้งถาวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน นครหลวงไทย จำกัด แนะกระจายความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดหุ้นจีนของกองทุนเปิดนครหลวงไทย China Fund ซึ่งเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุน Hang Seng H-Share Index ETF ซึ่งจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนจากการลงทุนในดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง โดยกองทุนเป็นกองทุนที่มีเงื่อนไขอายุโครงการที่มีลักษณะพิเศษ โดยกองทุนจะครบกำหนดประมาณเดือนปลายเดือนกันยายน 2553 (กรณีที่ 1) หรือ เมื่อหน่วยลงทุนมีมูลค่าก่อนหักค่าใช้จ่าย และค่าธรรมเนียมไม่ต่ำกว่า 11.50 บาทต่อหน่วย เป็นเวลา 3 วันทำการติดต่อกัน (กรณีที่ 2) ทั้งนี้จะขึ้นอยู่ว่ากรณีที่ 1 หรือ กรณีที่ 2 จะเกิดขึ้นก่อน ซึ่งปัจจุบัน บลจ.นครหลวงไทยกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการขออนุมัติจากผู้ถือหน่วยลงทุนเพื่อแก้ไขโครงการให้ซื้อหรือขายได้ทุกวันทำการและทำการปรับลดค่าธรรมเนียม Back End เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับนักลงทุน
ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยในเดือนที่ผ่านมา มีการปรับตัวสูงขึ้นจากกระแสเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ แต่ปัญหาการเมืองและการชุมนุมที่มีอยู่เป็นระยะ อาจจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวน จึงมีความเสี่ยงที่ตลาดอาจจปรับฐานได้ นอกจากนี้เมื่อนักลงทุนต่างชาติได้กำไรทั้งจากราคาหุ้นไทยที่ปรับสูงขึ้นและค่าเงินบาทที่แข็งค่า ก็อาจถอนเงินลงทุนบางส่วนเพื่อไปลงทุนยังประเทศอื่นได้เช่นกัน
ดังนั้นนักลงทุนควรกระจายความเสี่ยงของการลงทุนไปยังหุ้นต่างประเทศหรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน เนื่องจากจีนยังเป็นประเทศที่มีการเจริญเติบโตสูงมาก เห็นได้จากที่ IMF คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่ 10.0% และ 9.7% ในปี 2553 และ 2554 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียและเศรษฐกิจโลก อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่มากกว่าทุกประเทศได้อย่างต่อเนื่องด้วยแรงขับเคลื่อนของอุปสงค์ภายในประเทศเพราะจีนมีประชากรจำนวนมากและประชาชนเริ่มมีรายได้ที่สูงขึ้น ทำให้มีความต้องการซื้อสินค้าและเครื่องใช้ต่างๆ มากขึ้น
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังได้ใช้ทั้งนโยบายการเงิน-การคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มมีความวิตกกังวลว่าเศรษฐกิจที่มีการเติบโตอย่างร้อนแรงเกินไปอาจจะนำไปสู่ภาวะฟองสบู่ รัฐบาลจีนจึงได้เริ่มเข้ามาควบคุมการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนมีการปรับฐานเป็นระยะๆ จากการควบคุมความร้อนแรงดังกล่าวจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจีนในระยะยาวให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพมากขึ้น
ปัจจุบันการลงทุนในหุ้นจีนจึงได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก แต่เนื่องจากการลงทุนในหุ้นจีนมีข้อจำกัดบางประการสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ทำให้การเข้าลงทุนโดยตรงในหุ้นจีนซึ่งซื้อขายในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ (A-Share) ทำได้ลำบาก นักลงทุน ต่างประเทศจึงหันไปหาทางเลือกอื่นๆ ที่จะลงทุนในหุ้นจีน ซึ่งทางเลือกที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ การลงทุนในหุ้นจีนซึ่งซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกง (H-Share) เป็นสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งสามารถทำได้คล่องตัวกว่า นักลงทุนสามารถลงทุนตรงในหุ้นหรือผ่านกองทุนรวมประเภทดัชนี ที่ผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกง (HSCEI Index) ก็ได้
นับจากต้นปี 2553 ถึง 7 เม.ย. 2553 ดัชนีหุ้นจีนในตลาดฮ่องกงมีการปรับตัวสูงขึ้นน้อยกว่าดัชนีหุ้นไทยและประเทศอื่นๆในเอเชียอีกหลายประเทศเนื่องจากความวิตกกังวลเรื่องภาวะฟองสบู่ในจีน ปัจจุบัน ดัชนี HSCEI อยู่ที่ประมาณ 13,000 จุดหรือที่ P/E Ratio (อัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ) 13.5 เท่า ซึ่งยังตํ่ากว่า P/E Ratio เฉลี่ยของประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ประมาณ 15 เท่า และ P/E Ratio ของตลาดหุ้นจีนในเมืองจีน (A-Share) ที่ประมาณ 18 เท่า จากข้อมูลดังกล่าว หุ้นจีนซึ่งซื้อขายในตลาดหุ้นฮ่องกงจึงมีราคาที่น่าสนใจอยู่ (ข้อมูลทั้งหมดจาก Bloomberg ณ 7 เม.ย. 2553)
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่สนใจจะลงทุนในหุ้นจีนควรจะเป็นนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ จึงเหมาะกับนักลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวที่เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะยังเติบโตดีต่อเนื่องไปได้ ความเสี่ยงหลักที่นักลงทุนควรพิจารณาจึงรวมถึง ความเสี่ยงจากความผันผวนของดัชนี HSCEI ซึ่งกองทุนหลักที่ใช้ในการอ้างอิงผลตอบแทน (Market Risk) ความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินดอลล่าร์ฮ่องกงเทียบกับเงินบาท (Currency Risk) ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) และความเสี่ยงจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของประเทศจีนและฮ่องกง (Country Risk) เพราะฉะนั้น นักลงทุนจึงควรพิจารณาและศึกษาข้อพึงระวังเกี่ยวกับการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
สำหรับนักลงทุนที่ไม่อยากพลาดโอกาสการลงทุน สามารถเข้าใช้บริการ Smart Click ซึ่งเป็นบริการที่สามารถเข้ามา ซื้อ ขาย สับเปลี่ยนหน่วยลงทุนได้ตลอด 24 ชั่วโมง บนเว็บไซด์ www.sci-asset.com โดยสามารถหักบัญชีเงินฝากธนาคารได้ถึง 7 ธนาคาร ได้แก่ ธ.นครหลวงไทย, ธ.กสิกรไทย, ธ.ไทยพาณิชย์, ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงศรีอยุธยา, ธ.ทหารไทย และธ.ธนชาต หรือสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริการลูกค้า โทร. 0-2624-8555 กด 2 หรือ บมจ.ธนาคารนครหลวงไทย สำนักเพชรบุรี โทร. 0-2208-5000 และ SCIB Contact Center โทร.0-2828-8000