กรุงเทพฯ--21 เม.ย.--ธนาคารกรุงเทพ
- กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7
- รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9
- อัตราส่วนเงินกองทุนแข็งแกร่งที่ร้อยละ 16.4
ธนาคารกรุงเทพรายงานผลการดำเนินงานของธนาคารและบริษัทย่อยสำหรับไตรมาสแรกของปี 2553 มีกำไรสุทธิ 6,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,203 ล้านบาท หรือร้อยละ 24.7 จากไตรมาสเดียวกันของปี 2552
นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า "ผลประกอบการของธนาคารกรุงเทพที่ดีขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งส่งผลดีทั้งต่อการส่งออกและการลงทุน ประกอบกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การที่ธนาคารสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าพร้อมทั้งสนับสนุนทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ให้รับมือกับความท้าทายทางด้านการเงินได้อย่างเหมาะสมก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกส่วนหนึ่ง
"เป้าหมายสำคัญของธนาคารในปีนี้คือ การมุ่งเน้นขยายสินเชื่อ การเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม และการรักษาความแข็งแกร่งทั้งในด้านสภาพคล่องและเงินกองทุน ในภาวะที่เศรษฐกิจกำลังปรับตัวดีขึ้นนี้ การมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงและฐานลูกค้าที่เข้มแข็งทำให้ธนาคารพร้อมที่จะเติบโตในทุกโอกาสที่จะเกิดขึ้น"
เงินให้สินเชื่อในไตรมาสแรกของปี 2553 มีจำนวน 1,146,018 ล้านบาท ทรงตัวในระดับเดียวกันกับ ณ สิ้นปี 2552 ในขณะที่ธนาคารมีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.6 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9
จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้วและเป็นการเพิ่มขึ้นจากหลายผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากรายได้ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องกับบริการประกันชีวิตผ่านธนาคาร การให้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ บริการบัตรเครดิต และบริการธุรกรรมโอนเงิน เป็นต้น ธนาคารสามารถรักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากยังคงอยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 85.5 และดำรงอัตราส่วนเงินกองทุนเมื่อรวมกำไรและหักเงินปันผลแล้ว อยู่ที่ร้อยละ 16.4 ซึ่งเป็นระดับที่แข็งแกร่ง ในไตรมาสนี้ ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 194 ล้านบาทและมีอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงจากร้อยละ 2.99 ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็นร้อยละ 2.89 นอกจากนี้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจำนวน 1,739 ล้านบาท หรือร้อยละ 26.0 ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น และมีกำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขายเพิ่มขึ้น
ธนาคารสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้อย่างน่าพอใจ โดยรายจ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเพียง 104 ล้านบาทหรือร้อยละ 1.1 จากไตรมาส 1 ปี 2552 และลดลงร้อยละ 6.5 จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 9,836 ล้านบาท และอัตราส่วนรายจ่ายต่อรายได้ในไตรมาสนี้อยู่ที่ร้อยละ 47.4 ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพ 56,381 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 4.3 ของสินเชื่อรวม เทียบกับร้อยละ 4.4 ณ สิ้นปี 2552
ในไตรมาสนี้ธนาคารมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญจำนวน 2,050 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 ธนาคารมีสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวน 66,966 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ร้อยละ 118.8
ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 31 มีนาคม 2553 มีจำนวน 206,249 ล้านบาท โดยเมื่อนับรวมกำไรสุทธิครึ่งหลังของปี 2552 และไตรมาสแรกของปี 2553 และหักด้วยเงินปันผลที่จะจ่ายในเดือนพฤษภาคม ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นและเงินกองทุนชั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง อยู่ในระดับที่ประมาณร้อยละ 16.4 และร้อยละ 13.4 ตามลำดับ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งแกร่งและสามารถสนับสนุนให้ธนาคารดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นคงต่อไปในอนาคต