กรุงเทพฯ--21 เม.ย.--ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
ณ ปัจจุบัน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ("MINT") ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและอีก 13 ประเทศ ประกอบด้วย โรงแรม 30 แห่ง ร้านอาหาร 1,116 สาขา จุดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอาง 279 แห่ง โดยรายได้จากการดำเนินธุรกิจภายในประเทศไทยคิดเป็นร้อยละ 82 ของรายได้รวมทั้งปี 2552 จากโรงแรมที่ MINT เป็นเจ้าของและ/หรือรับจ้างบริหารรวมทั้งสิ้น 15 แห่ง ร้านอาหาร 740 สาขา และจุดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอางอีก 279 แห่ง ทั้งนี้ จากการชุมนุมของผู้ประท้วงรัฐบาลตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของ MINT โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านราชประสงค์ กรุงเทพ ซึ่งประเมินผลกระทบต่อธุรกิจหลักของ MINT ดังต่อไปนี้
ธุรกิจโรงแรม
เนื่องจากการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อยู่ในสี่แยกราชประสงค์ เป็นส่วนใหญ่ จึงส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อโรงแรมในกลุ่มของบริษัทฯ หนึ่งแห่ง ได้แก่ โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ บนถนนราชดำริ ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 1.5 ล้านบาทต่อในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว (ไตรมาสที่สองและไตรมาสที่สามของปี) ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้จากโรงแรมในกรุงเทพของบริษัทฯ (รวมโรงแรมแมริออท กรุงเทพ และอนันตรา บ้านราชประสงค์ เซอร์วิส สูท) คิดเป็นร้อยละ 25 ของรายได้ธุรกิจโรงแรมทุกแห่งในเครือ โรงแรมในต่างจังหวัดมีสัดส่วนรายได้คิดเป็นร้อยละ 45 และโรงแรมในต่างประเทศอีกร้อยละ 30 ทั้งนี้ นับตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม 2553 เป็นต้นมา บริษัทฯ มียอดยกเลิกการจองห้องพักรวมประมาณ 5,000 ห้อง หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 40 ล้านบาท โดยมีสาเหตุหลักมาจากโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพ ซึ่งโรงแรมแมริออท กรุงเทพ และอนันตรา บ้านราชประสงค์ เซอร์วิส สูท นั้นกลับได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากมียอดการจองห้องพักใหม่ที่ช่วยชดเชยจำนวนห้องพักที่ถูกยกเลิกไป เช่นเดียวกับโรงแรมในต่างจังหวัด ที่ยังคงรักษาระดับการเข้าพักได้ เนื่องจากความกังวลด้านความปลอดภัยในพื้นที่ดังกล่าวมีน้อย เมื่อเทียบกับในกรุงเทพ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรมของบริษัทฯ นั้นอยู่ที่ร้อยละ 63 ในช่วง 15 วันแรกของเดือนเมษายน 2553 ซึ่งอยู่ในระดับที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ร้อยละ 61 และบริษัทฯ ยังคงมั่นใจว่า อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรมของบริษัทฯ ตลอดทั้งปี 2553 จะสามารถแสดงการเติบโตได้เมื่อเทียบกับปี 2552 หากการชุมนุมดังกล่าวยุติลงภายในเดือนพฤษภาคม 2553
ธุรกิจอาหาร
จากการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่สี่แยกราชประสงค์ ทำให้ศูนย์การค้าในบริเวณดังกล่าวต้องปิดให้บริการชั่วคราว ซึ่งส่งผลกระทบต่อร้านอาหารในเครือของ MINT จำนวน 11 สาขา ซึ่งมียอดขายรวมประมาณ 8 แสนบาทต่อวัน ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานโดยรวมของธุรกิจอาหาร นับแต่ต้นเดือนเมษายน จนถึงปัจจุบัน มีการเติบโตของยอดขายต่อร้านสาขาเดิมและยอดขายรวมทุกสาขาในอัตราร้อยละ 8 และร้อยละ 10 ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า ยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากกว่า 1,100 สาขาที่ไม่ได้รับผลกระทบนั้น สามารถชดเชยผลกระทบจากการปิดบริการชั่วคราวของ 11 สาขาดังกล่าว และเนื่องจาก MINT มีการกระจายตัวของที่ตั้งร้านอาหารในเครือครอบคลุมทั่วประเทศ อีกทั้งยังกระจายออกไปในต่างประเทศอีก 376 สาขา โดยอาศัยกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่มีการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม จึงมีส่วนสำคัญในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจอาหารยังคงแสดงอัตราการเติบโตของธุรกิจที่ดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้า
นอกเหนือจากร้านอาหาร จุดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและเครื่องสำอางในศูนย์การค้าย่านราชประสงค์ ก็ได้รับผลกระทบจากการปิดดำเนินการเช่นเดียวกัน โดยจุดจำหน่ายสินค้าในเครือของบริษัทที่ได้รับผลกระทบมีจำนวน 47 แห่ง ซึ่งมียอดขายรวมอยู่ที่ 0.6 ล้านบาทต่อวันในเดือนเมษายน 2552 อย่างไรก็ดี บริษัทฯ ยังคาดการณ์ว่า รายได้จากธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าจะสามารถแสดงการเติบโตได้ แม้ว่าจุดจำหน่ายจะมีจำนวนน้อยลงในเดือนเมษายนนี้ก็ตาม
*โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพ และอนันตรา บ้านราชประสงค์ เซอร์วิส สูท โดยในส่วนของอนันตรา บ้านราชประสงค์ นั้น บริษัทฯ ได้รับผลตอบแทนเป็นค่าจ้างบริหารโรงแรม (Management Fee) **นำผลการดำเนินงานมาจัดทำงบการเงินรวมตั้งแต่วันที่ 13 มิถุนายน 2552
การชุมนุมทางการเมืองในครั้งนี้จัดได้ว่าส่งผลกระทบจำกัดในกรุงเทพเป็นส่วนใหญ่ และมีผลเพียงเล็กน้อยต่อธุรกิจในต่างจังหวัดของบริษัทฯ ซึ่งต่างจากการปิดสนามบินในเดือนธันวาคม 2551 ที่มีผลทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติลดลงทั่วทั้งประเทศไทย อย่างไรก็ดี จากการที่บริษัทฯ มีฐานธุรกิจส่วนใหญ่ครอบคลุมไปยังนอกเขตกรุงเทพและต่างประเทศ จึงช่วยลดระดับการพึ่งพาธุรกิจในย่านราชประสงค์ และจากพื้นฐานของธุรกิจที่แข็งแกร่ง บริษัทฯ จึงยังมีความมั่นใจว่าจะสามารถแสดงความเติบโตของรายได้และกำไรได้ในปีนี้ โดยได้รับการสนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและโอกาสทางธุรกิจในอนาคตอื่นๆ ซึ่งยังคงมีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับในปี 2552 ที่บริษัทฯ ต้องเผชิญกับอุปสรรคนานับประการ ทั้งจากผลกระทบต่อเนื่องจากการปิดสนามบิน ปัญหาเศรษฐกิจโลก และการแพร่ระบาดของโรคไวรัส H1N1
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมและมีโรงแรมของตนเอง ทั้งสิ้น 30 โรงแรม ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา แมริออทส์ โฟร์ซีซั่นส์ เอเลวาน่า และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเทศไทย มัลดีฟส์ เวียดนาม และแอฟริกา อีกทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไมเนอร์ ฟูด กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ประกอบไปด้วยร้านอาหารกว่า 1,100 สาขา ภายใต้เครื่องหมายการค้า เดอะ พิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะ คอฟฟี่ คลับ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าโดยมีโรงงานเป็นของตัวเอง โดยเครื่องหมายการค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบันได้แก่ เอสปรี เรดเอิร์ธ บอสสินี่ ชาร์ลสแอนด์คีธ บลูม ลาเนจ สแมชบ็อกซ์ ทูมี่ เฮงเคล ไทม์ไลฟ์ และเวิลด์บุ๊ค นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม ปี 2552 MINT ได้รับการยอมรับจากนิตยสารเอเชียมันนี่ว่าเป็นบริษัทที่มีการจัดการดีเยี่ยมในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขนาดกลางของประเทศไทย (Best Managed Medium Cap Company) สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com
Press Contacts: Pratana Mongkolkul / Ririnda Tangtatswas at Tel: (662) 381-5151