ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ “บ. กรุงเทพดุสิตเวชการ” ที่ “A” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday April 28, 2010 08:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--28 เม.ย.-- บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) คงเดิมที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำธุรกิจในฐานะผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตลอดจนจำนวนผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาลที่มีความสามารถและมากประสบการณ์ รวมทั้งบริการที่มีคุณภาพในระดับสูง ในการพิจารณาอันดับเครดิตดังกล่าวยังคำนึงถึงเครือข่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทภายใต้ชื่อกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอชด้วย อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากความกังวลเกี่ยวกับจำนวนผู้ป่วยชาวต่างชาติที่อาจลดลงเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศที่ไร้เสถียรภาพต่อเนื่องยาวนาน ตลอดจนอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรที่ค่อนข้างต่ำ และความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ในอนาคตหากบริษัทยังคงขยายกิจการโดยใช้เงินทุนจากการกู้ยืม แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการสะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถคงผลการดำเนินงานให้อยู่ในระดับปัจจุบันเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าการลงทุนในอนาคตของบริษัทจะใช้เงินทุนจากการดำเนินงานเป็นหลักเพื่อให้สามารถคงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ต่ำกว่าระดับ 50% ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการก่อตั้งในปี 2512 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 10 ล้านบาทเพื่อดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ ปัจจุบันบริษัทมีโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 18 แห่ง ด้วยจำนวนเตียงรวมทั้งสิ้น 3,032 เตียง มีโรงพยาบาลที่ประกอบกิจการภายใต้ชื่อโรงพยาบาลกรุงเทพ 12 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลสมิติเวช 3 แห่ง ภายใต้ชื่อโรงพยาบาลบีเอ็นเอช 1 แห่ง และภายใต้ชื่อ Royal International Hospital 2 แห่ง ในช่วง 3 ปีหลัง รายได้จากผู้ป่วยประมาณ 55% มาจากผู้ป่วยใน และที่เหลือมาจากผู้ป่วยนอก ในปี 2552 โรงพยาบาลในเครือของบริษัทจำนวน 3 แห่ง คือ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาได้รับการรับรองมาตรฐานจาก Joint Commission International (JCI) โดยก่อนหน้านี้โรงพยาบาลในเครือของบริษัทจำนวน 6 แห่ง คือ โรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โรงพยาบาลวัฒโนสถ โรงพยาบาลสมิติเวชสุขุมวิท โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์ และโรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชาก็ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก JCI มาก่อนแล้ว ทริสเรทติ้งกล่าวว่า กิจการของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2547-2551 เนื่องจากการควบรวมกิจการโรงพยาบาลที่มีอยู่ โดยบริษัทได้ซื้อกิจการของ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) บริษัท บีเอ็นเอช เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด และโรงพยาบาลในจังหวัดที่สำคัญของประเทศไทยหลายแห่งซึ่งเป็นกิจการของ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ จำกัด และ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา จำกัด นอกจากนี้ บริษัทยังได้ลงทุนในโรงพยาบาลใหม่ 2 แห่งในประเทศกัมพูชาด้วย รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2547-2551 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมที่ระดับ 42% และมีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมของจำนวนผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยในในช่วงดังกล่าวที่ระดับ 31% และ 29% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากเหตุความวุ่นวายทางการเมืองภายในประเทศและวิกฤติการเงินโลกส่งผลทำให้รายได้ค่ารักษาพยาบาลในปี 2552 ของบริษัทเติบโต 1.93% รายได้จากผู้ป่วยนอกเติบโต 2.73% ในขณะที่รายได้จากผู้ป่วยในลดลงเล็กน้อย 1.23% รายได้จากผู้ป่วยในที่ลดลงเนื่องมาจากสาเหตุที่ผู้ป่วยชาวต่างชาติมีจำนวนลดลง ประกอบกับการให้ส่วนลดและราคาส่งเสริมการขายเป็นสำคัญแม้อัตราการรับผู้ป่วยคนไทยไว้ในโรงพยาบาลจะเติบโตถึง 6.5% ก็ตาม รายได้ต่อการรักษาผู้ป่วยนอกต่อครั้งในปี 2552 คงระดับใกล้เคียงกับปีก่อน ในขณะที่รายได้ต่อจำนวนวันของผู้ป่วยในที่พักในโรงพยาบาลลดลง 3.05% ทั้งนี้ จำนวนเฉลี่ยของวันที่ผู้ป่วยในเข้ามารับการรักษาลดลงจากประมาณ 3.05 วันในปี 2551 มาอยู่ที่ 2.95 วันในปี 2552 ในด้านสัดส่วนรายได้นั้น รายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติคงระดับอยู่ที่ 35%-36% ของรายได้ทั้งหมดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การควบรวมกิจการโรงพยาบาลหลายแห่งในช่วงที่ผ่านมาทำให้อัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นที่ระดับ 54.5% ในปี 2549 อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2551-2552 เงินสดจากการดำเนินปรับตัวดีขึ้น ในขณะที่ค่าใช้จ่ายฝ่ายทุนปรับตัวลดลง โครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นตามลำดับเนื่องจากไม่มีการควบรวมกิจการใหญ่ๆ ในช่วงปีที่ผ่านมา อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุน ณ สิ้นปี 2552 อยู่ที่ 45.39% อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายปรับเพิ่มขึ้นจาก 7.6 เท่าในปี 2549 เป็น 8.19 เท่าในปี 2552 ภาระหนี้ส่วนใหญ่ของบริษัทเป็นเงินในสกุลบาทที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ ดังนั้นบริษัทจึงไม่มีความเสี่ยงในด้านอัตราดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทมีแผนเปิดโรงพยาบาลขนาด 60 เตียงที่หัวหินในปี 2554 ในขณะเดียวกันก็ชะลอแผนลงทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาลในกรุงพนมเปญเพราะปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยหลายประการ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ซื้อที่ดินเพื่อใช้ก่อสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ที่เขาใหญ่ด้วย โดยโครงการลงทุนเหล่านี้จะใช้เงินลงทุนส่วนใหญ่จากเงินสดจากการดำเนินงาน ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทค่อนข้างแน่นอนและใกล้เคียงกับผู้ประกอบการรายอื่น โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้รวมคงตัวอยู่ที่ระดับ 22%-22.5% ในปี 2549-2552 ในอนาคตบริษัทยังคงมีความท้าทายในการปรับปรุงโครงสร้างด้านต้นทุนต่อไป โดยที่ความสามารถในการทำกำไรจะขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมต้นทุนและใช้สินทรัพย์และบริการที่มีอยู่ร่วมกันภายในกลุ่มให้เกิดประโยชน์มากที่สุด การมีสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมากซึ่งบางส่วนยังไม่มีการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่นั้นมีผลทำให้บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทริสเรทติ้งกล่าว บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) (BGH) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A อันดับเครดิตตราสารหนี้:BGH113A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ A BGH133A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 คงเดิมที่ A BGH146A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ A BGH166A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 คงเดิมที่ A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ