กรุงเทพฯ--15 ส.ค.--กทม.
กทม.ต้องรักษาประโยชน์มิให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญารถดับเพลิง ตราบที่บ่งชี้ไม่ได้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์และเมื่อครบกำหนดจ่ายค่ารถดับเพลิงงวด 2 เมื่อ 10 ส.ค.50 ก็ต้องจ่ายให้กับธนาคารกรุงไทย 777 ล้านบาท พร้อมขอนักกฎหมายจาก อสส.ที่รู้ ชำนาญการค้าระหว่างประเทศ มาให้คำปรึกษาในการพิจารณาข้อกฎหมายและข้อสัญญาระหว่างกทม.กับบ.สไตเออร์ฯ
นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะผู้บริหารกทม. เมื่อ 14 ส.ค.50 เกี่ยวกับกรณีรถดับเพลิง ว่า ในการประชุมครั้งนี้นายอนันต์ ศิริภัสราภรณ์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร ได้รายงานเกี่ยวกับการชำระเงินเงินงวดที่ 2 ให้กับธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน) ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ทำหนังสือรายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยถึงเหตุผลการชำระเงินงวดที่ 2 ที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) และสำนักอัยการสูงสุด (อสส.) ที่ระบุว่ายังไม่มีเหตุที่จะทำให้สัญญาไม่สมบูรณ์กรุงเทพมหานครจำเป็นต้องรักษาประโยชน์ของทางราชการ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายอันเนื่องมาจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญา ตราบเท่าที่ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าสัญญาไม่สมบูรณ์และเมื่อครบกำหนดในวันที่ 10 สิงหาคม 2550 ก็ต้องดำเนินการจ่ายเงินงวดที่ 2 ให้กับธนาคารกรุงไทยจำกัด (มหาชน)จำนวน 16,656,047.89 ยูโร (ประมาณ 777,440,548.86 บาท) นอกจากนี้กทม.ยังขอยืนยันความเห็นเดิม ที่ประสงค์จะให้มีการนำเรื่องเรียนขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อขอยกเว้นภาษีอากรขาเข้า ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีอื่น ๆ
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า กรุงเทพมหานคร ได้ขอความร่วมมือไปทางสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อขอให้นักกฎหมายที่มีความรู้ ความชำนาญ เรื่องการค้าระหว่างประเทศ มาให้คำปรึกษาในการพิจารณาข้อกฎหมายและข้อสัญญาก่อนการดำเนินการตามสัญญาในแต่ละขั้นตอน รวมทั้งอาจต้องให้คำแนะนำช่วยเหลือแก่กรุงเทพมหานคร ในการเจรจากับผู้แทนของบริษัทคู่สัญญาในกรณีที่จำเป็น เพื่อมิให้ทางราชการต้องเสียเปรียบ
สำหรับข้อท้วงติงจากนายแก้วสรร อติโพธิ กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ ที่เตือนว่าหากมีการชำระเงินค่าจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงให้กับบริษัทสไตเออร์งวด 2 นั้นจะต้องรับผิดชอบเพราะจะเป็นการจ่ายเงินโดยเปล่าประโยชน์และอีกทั้งยังไม่มีการระบุถึงการซื้อไก่ต้มสุกของไทยจริงจึงยังไม่ควรที่จะชำระเงินงวด 2 นั้น นายอภิรักษ์ กล่าวว่า ตนเคารพในคำวินิจฉัยของทุกฝ่ายและทุกประเด็นที่มีการท้วงติงแต่เนื่องจากเรื่องดังกล่าวนั้นไม่ได้เกิดจากการตัดสินใจของกทม.โดยตนเพียงอย่างเดียว ต้องพิจารณาในแง่กฎหมายด้วย อย่างไรก็ตามหากในอนาคตผลตรวจสอบพบว่ามีการกระทำทุจริตในโครงการเท่ากับว่าสัญญาเป็นโมฆียะ สามารถยกเลิกสัญญาในภายหลังได้และเรียกเงินคืนได้ทั้งหมด เนื่องจากกทม.ได้ทำหนังสือแนบท้ายขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเงินคืนไว้พร้อมกับการชำระเงินงวดแรกไว้แล้ว