กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--สหมงคลฟิล์ม
เป็นดีไซน์การต่อสู้ที่ครบรสทั้งดุดัน พลิ้วไหว สวยงามตามความตั้งใจของ พันนา-จาพนม สำหรับฉากเผชิญหน้ากันระหว่าง เทียน (เล่นเองกำกับเองโดยจาพนม ยีรัมย์) ที่มาพร้อมกับศาสตร์การต่อสู้นาฏยุทธ์ ขั้นสูงสุด และ ภูติสางกา (เป็นการทุ่มเทสุดตัวของเดี่ยว ชูพงษ์ในโอกาสที่ได้ร่วมงานกับรุ่นพี่อย่างจาพนม และอาจารย์อย่างพันนา ฤทธิไกร) ศัตรูหมายเลข1ที่มีเคล็ดอวิชชาอย่าง ภูติยุทธ์ ที่เคยสยบเทียนมาแล้วในองค์บากภาค2 สำหรับในองค์บาก3 คิวการต่อสู้ที่เกิดขึ้นจะมีความยาว และต่อเนื่องมากกว่า ส่วนรูปแบบการต่อสู้นาฏยุทธ์พระ ที่จาพนมนำมาใช้ในฉากนี้ถูกออกแบบมาโดยเน้นไปที่ความอ่อนช้อย พลิ้วไหว จำลองรูปแบบการเคลื่อนไหวจากลักษณะการเดินจงกลมของพระ ในขณะที่ภูติยุทธ์ของเดี่ยวเป็นท่าการต่อสู้ที่เน้นความคล่องตัว รวดเร็ว ดุดัน โดยมีลักษณะของการโฉบไปมาเหมือนอีกา จึงพูดได้ว่านี่เป็นฉากการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาแถมมีความยากกว่าปกติ แน่นอนว่าตัวนักแสดงเองจะต้องมีทักษะและความสามารถเฉพาะตัวและมีชั่วโมงบินในการเล่นแอ็คชั่นมาพอสมควร เพราะจะต้องรู้จังหวะในการเล่นและต้องลงตัวเข้าขากันมากที่สุด เนื่องจากท่วงท่าการต่อสู้ที่มีความแตกต่างกันมากของทั้งคู่นั่นเอง
“สำหรับตัวภูติสางกา คงไม่มีใครเหมาะกับตัวละครตัวนี้เท่ากับเดี่ยวแล้ว ศัตรูคู่ปรับที่จะต้องมาประหัตประหารห้ำหั่นกันด้วยศิลปะการต่อสู้ที่แปลกใหม่ ทั้งในส่วนของนาฏยุทธ์ ที่ผมเป็นผู้ถ่ายทอด กับภูติยุทธ์ของเดี่ยว ซึ่งมีรูปแบบการต่อสู้ที่ตรงกันข้ามกันเลย และที่สำคัญตัวละครตัวนี้จะมีความเก่งทุกศิลปะการต่อสู้ ซึ่งรูปแบบการดีไซน์จะออกมาแบบดิบๆ เนื่องจากตัวละครตัวนี้จะมีการใช้อวิชา ภูติผี ลึกลับ มีลักษณะท่าทางรวมไปถึงการเคลื่อนไหวเหมือนกับอีกา เพราะฉะนั้นเมื่อนาฏยุทธ์ต้องเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ คนที่จะมาเป็นคู่ต่อสู้เราต้องเก่งด้วย ซึ่งเดี่ยวเองเป็นรุ่นน้องของผมเรียนอยู่ที่วิทยาลัยพละศึกษาที่จ.มหาสารคาม ซึ่งตัวเดี่ยวเองเขามีพัฒนาการที่ดีมากๆ เลย แล้วก็ขยันในการฝึกซ้อม คือรับอะไรแล้วก็มาฝึกซ้อมก่อน แล้วก็แก้เพียงนิดเดียวเขาก็ไปได้แล้ว แล้วศาสตร์ตรงนี้มันต้องเข้าใจกัน เวลาปะทะกัน น้ำหนักมือ ไม่ว่าจะเป็นการพลิ้ว การหลบ มันถึงจะออกมาดูแล้วสมจริงที่สุด เราต่างมีอาจารย์คนเดียวกันคืออาจารย์พันนา ฤทธิไกร แต่ที่สำคัญที่สุดคือเขามีความรักในเรื่องของแอ็คชั่น คือรักในสิ่งที่ทำเหมือนกัน และเราทั้งคู่ก็ไม่ใช้สตันท์แมนด้วย”
แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอ เพราะสิ่งที่ทำให้คิวแอ็คชั่นในการถ่ายทำในฉากนี้ทวีคูณความยากขึ้นไปอีก ก็คือโจทย์ของตัวจาเองที่ตั้งใจให้การต่อสู้ในฉากนี้เกิดขึ้นบนผิวน้ำ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักแสดงและทีมงานในการถ่ายทำอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นก็ตามตัวจาเองในฐานะผู้กำกับก็มีเหตุผลที่ว่าทำไมต้องถ่ายทำในน้ำ
“อย่างฉากแอ็คชั่นที่ต่อสู้กับเดี่ยวเรามีน้ำเพราะอะไร เพื่ออะไร นอกจากความสวยงามแล้ว เพื่อตอบโจทย์กับตัวบท และเรื่องราวที่จะดำเนินไปด้วยด้วย สางกาก็คืออีกา พอสางกาตกลงน้ำ มันเหมือนเป็นการแก้ทางมวยอีกชั้นเชิง และลีลา ซึ่งอีกาเป็นนก ความโดดเด่นคือการบิน แต่พอตกน้ำก็คือเปียกบินไม่ได้ ก็จะมีสิ่งที่มันเอื้อไปถึงบท แล้วก็แอ็คชั่น คิวบู๊ ศิลปะการต่อสู้ และก็ตัวละคร ตัวละครมีรูปร่างเป็นอย่างนี้ และสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราก็ปรับเปลี่ยนคิวแอ็คชั่นที่เกิดขึ้นไปตามบท ตามตัวละคร ตามแอ็คชั่น ตามศิลปะ อย่างเช่นนาฏยุทธ์ก็เปรียบเสมือนกับน้ำ เรียกว่ามีความสัมพันธ์กันที่จะทำให้คนดูได้สัมผัส ท่าพระก็เปรียบได้กับ สายน้ำที่สงบนิ่ง”
และนี่เป็นอีกหนึ่งความละเอียดอ่อนในความตั้งใจของจาพนม ที่ต้องการให้ทุกรายละเอียดของ องค์บาก3 มีความหมาย และเป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์แอ็คชั่น มาร่วมกันปิดตำนานองค์พระหน้าบากที่สมบูรณ์ที่สุดให้สมกับที่คนทั้งโลกรอคอย องค์บาก3 5 พ.ค.นี้ทุกโรงภาพยนตร์