กรุงเทพฯ--12 พ.ค.--ศุภาลัย
บมจ.ศุภาลัย โชว์ศักยภาพผลงานไตรมาส 1 ปี 2553 โดดเด่นที่สุด สร้างตัวเลขรายได้รวมสูง 53% กำไรสุทธิ เพิ่มขึ้น 54% ROE 38% ต่อปี พร้อมโชว์ความแข็งแกร่ง Backlog สูงที่สุดในธุรกิจอสังหาฯ 18,316 ล้านบาท เตรียมแผนเปิดโครงการใหม่ 12 โครงการ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ของปี 2553 ว่า ถือเป็นผลประกอบการที่แข็งแกร่งที่สุดของบริษัทฯ โดยมีรายได้รวมสูงขึ้น 53 % เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 เพิ่มจาก 2,094 ล้านบาท เป็น 3,194 ล้านบาท คิดเป็น29 % ของเป้ารายได้ที่ตั้งไว้สำหรับปี 2553 อีกทั้งสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายสำหรับการขายและบริหารได้ดีลดลงจาก 6 % ในไตรมาสเดียวกันของปี 2552 คิดเป็น 5 % ในไตรมาส 1 ของปี 2553
สำหรับผลกำไรสุทธิไตรมาส 1 ของปี 2553 บริษัทฯ สามารถทำได้ 831 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 0.48 บาท ต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 54% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2552 และคิดเป็นอัตราผลตอบแทนของส่วนของผู้ถือหุ้น (Return on Equity) 38% ต่อปี ซึ่งตัวเลขผลกำไรสุทธิไตรมาส 1 ของปี 2552 ทำได้ 541 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 0.34 บาท ต่อหุ้น
ทั้งนี้ จากตัวเลขผลประกอบการที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อันเนื่องจากการโอนกรรมสิทธิ์เป็นจำนวนมาก รวมถึงศักยภาพในการลดอัตราส่วนของภาระหนี้สินที่มีดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net gearing) ลงได้เหลือเพียง 24 % ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังมียอดขายที่รอการรับรู้รายได้ (Backlog) สูงที่สุดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 18,316 ล้านบาท และพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2553 จำนวน 6,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับยอดรายได้ของไตรมาส 1 ปี 2553 แล้ว ทำให้บริษัทฯ มีฐานรายได้รองรับแล้วถึง 81% จากเป้าหมายที่วางไว้ 11,000 ล้านบาท ซึ่งบ่งบอกถึงศักยภาพในการเจริญเติบโตของบริษัทต่อเนื่องในอนาคต
บริษัทฯ ยังมีตัวเลขยอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดด แม้จะมีสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมือง โดยมียอดสัญญาสุทธิ 5,594 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น 152% เมื่อเทียบกับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 ที่สามารถทำได้ 2,222 ล้านบาท และยอดสัญญาสุทธิ 4 เดือนแรกของปี 2553 ดังกล่าว คิดเป็น 37% จากเป้าการขายของปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการอีก 12 โครงการ มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท เพื่อผลักดันยอดขายต่อไป