กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
นายธาดา มาร์ติน ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการจัดสรรเงินกู้กองทุนเงินให้กู้ยืมที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ว่า คณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2550 มีมติให้ผู้กู้ยืมแบบ กรอ. ในปีการศึกษา 2549 จะได้รับการกู้ยืมต่อไปในปีการศึกษา 2550 จนจบหลักสูตร กองทุนฯ จึงมีความจำเป็นต้องจัดทำสัญญากู้ยืมขึ้นใหม่ เพื่อให้ผู้กู้ยืมได้ทำสัญญากู้ยืม โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 ผู้กู้ยืมแบบ กรอ. ที่มีคุณสมบัติการกู้ยืมแบบ กยศ. และประสงค์จะกู้ยืมแบบ กยศ. ก็สามารถเปลี่ยนมากู้ยืมแบบ กยศ. ได้ โดยให้ใช้สัญญากู้ยืมแบบ กยศ. แต่เนื่องจากตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ได้กำหนดเปลี่ยนแปลงวิธีการในการชำระหนี้เงินกู้ยืมคืนให้เป็นแบบ กยศ. จึงต้องจัดให้ทำบันทึกข้อตกลงแนบท้ายสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกัน และหนังสือให้ความยินยอมกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่อให้ความยินยอมแปลงหนี้การกู้ยืมแบบ กรอ. มาเป็นการกู้ยืมแบบ กยศ. ทั้งหมด กลุ่มที่ 2 ผู้กู้ยืมแบบ กรอ. ที่ไม่มีคุณสมบัติในการกู้ยืมแบบ กยศ. ให้กู้ยืมเงินกองทุน กรอ. ต่อไปจนจบหลักสูตร ซึ่งกองทุนฯ ได้ยกร่างสัญญากู้ยืมเงิน สัญญาค้ำประกันและหนังสือให้ความยินยอมกองทุนเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผูกกับรายได้ในอนาคต ให้สำนักงานอัยการสูงสุดพิจารณาแล้ว โดยกองทุนฯ จะขอความร่วมมือจากสถานศึกษาให้ช่วยเตรียมความพร้อมในเรื่องข้อมูลรายชื่อผู้กู้ทั้ง 2 ประเภท และขอให้ประสานงานแจ้งผู้กู้ดำเนินการดังนี้ 1) เตรียมเปิดบัญชีออมทรัพย์ที่ธนาคารกรุงไทย สาขาใดก็ได้ กรณีที่ผู้กู้มีบัญชีดังกล่าวอยู่แล้ว ไม่ต้องเปิดบัญชีใหม่ เพื่อรองรับการโอนเงินกู้ค่าครองชีพสำหรับ ผู้กู้ที่สามารถกู้ยืมแบบ กยศ.ได้ 2) เตรียมเอกสารประกอบสัญญา โดยกลุ่มที่ 1 ให้เตรียมการกรอกรายละเอียดในแบบคำขอกู้ มีการรับรองรายได้ และให้คณะกรรมการประจำสถานศึกษาพิจารณาคุณสมบัติ (รายละเอียดให้สถานศึกษาดูได้จากคู่มือผู้ปฏิบัติงานกองทุนฯ สำหรับสถานศึกษา) เพื่อสามารถให้ผู้กู้สามารถลงนามในสัญญาได้ทันทีเมื่อได้รับสัญญาแล้ว”
“ทั้งนี้ สถานศึกษาต้องแจ้งให้ผู้กู้ในกลุ่มนี้รับทราบด้วยว่าจะต้องมาทำสัญญารับแปลงหนี้ กรอ. เดิม ในภายหลังด้วย และควรจะต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้ผู้กู้กลุ่มที่ 2 นี้ได้ทราบชัดเจนว่า ได้กู้แน่นอน นอกจากนี้ กองทุนฯ ได้ประสานงานกับ บมจ. ธนาคารกรุงไทย ฝ่ายบริหารโครงการภาครัฐ ในการเร่งตรวจสอบสัญญาเพื่อโอนเงินให้ได้ภายใน 30 วัน ซึ่งคาดว่าจะโอนเงินได้ก่อนปิดภาคเรียนที่ 1/2550 หากสถานศึกษาจัดส่งสัญญาให้ธนาคารถูกต้องและครบถ้วน สถานศึกษาและผู้กู้จะได้เงินเร็วขึ้นแน่นอน” นายธาดา มาร์ติน กล่าวในที่สุด