กรุงเทพฯ--24 พ.ค.--สหมงคลฟิล์ม
สร้างสรรค์ความบันเทิงสุดฮามาแล้วหลากหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม (2547), แหยมยโสธร (2548), บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม 2 (2550), หม่ำเดียว หัวเหลี่ยมหัวแหลม (2551-กำกับร่วม), วงษ์คำเหลา (2552) และ แหยมยโสธร 2 (2552) ล่าสุดผู้กำกับ “หม่ำ จ๊กมก” ก็ขอควงตลกขั้นเทพ “เทพ โพธิ์งาม” มาร่วมปรุงหนังเด็ดเรื่องใหม่สุดขำอำวงการตัวเองแบบฮากระจายในหนังซ้อนหนัง มุขเสริมมุข ลุกขึ้นมาฮากับ “โป๊ะแตก” เมนูเด็ดที่คอภาพยนตร์จะต้องอิ่มแปล้ไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างแน่นอน...3 มิ.ย. นี้ ในโรงภาพยนตร์
จุดเริ่มต้นหรือว่าแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องนี้
ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นภาพยนตร์เกี่ยวกับหนังนะครับ เกี่ยวกับการทำหนังที่ดูง่ายๆ สบายๆ ฮาไปเรื่อยๆ ฮาไม่ห่วงชาวบ้าน คือตั้งใจจะทำแบบนี้อยู่แล้วนะ ถามว่าแรงบันดาลใจเกิดจากเราไปถ่ายหนังนี่แหละ บางทีเห็นผู้กำกับคนโน้นเป็นอย่างงี้ ดาราคนนั้นเป็นอย่างงี้ เล่นไม่ถูกใจคนในกองถ่าย เป็นเรื่องของการถ่ายทำหนัง ก็อยากจะแบบว่าลองเอากล้องมาเล่นแล้วแบบใครอยากเล่นอะไรก็เล่น คือพี่เทพอยากเล่นอะไรก็เล่นเลย คนอื่นๆ อยากเล่นอะไรเล่นเลยภายใต้โครงเรื่องเกี่ยวกับการทำหนังนี่แหละ ตอนแรกก็คิดว่ามันจะขำหรือเปล่านะ พอถ่ายซักฉากสองฉากแรก ก็เออ โอเคนะ มันเหมือนถ่ายหนังทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มเอาโปรเจ็คต์หนังไปคุยกับเจ้าของหนัง มาถึงการบวงสรวง การถ่ายหนัง จนถึงตอนฉายเลย ทุกอย่างมันเหมือนถ่ายหนังหมดจริงๆ แต่เราเอามาทำแบบวิธีการของผมตามที่คิดๆ เอาไว้
ก็คืออยากให้ผู้ชมได้เห็นเบื้องหลังของการทำงานหนังแต่ละเรื่อง
ใช่ครับ เบื้องหลังการทำงาน ที่จริงเบื้องหลังการทำงานก็จะเป็นแบบนี้แหละ ก็คือก็ทำกันแบบนี้แหละ เหมือนเป็นหนังซ้อนหนัง มันเป็นหนังแบบต้องใช้คำว่าภาพยนตร์ฮาสะเปะสะปะ ภาพยนตร์ฮาไม่ห่วงชาวบ้านชาวช่อง ฮาไม่รู้เรื่อง ผมพูดภาษาหนังไม่ค่อยถูก ไม่รู้จะบอกยังไง รู้แต่ว่าเปิดฉากมาซีนแรกก็ ได้เรื่องฮาเละเลยล่ะ
คือส่วนใหญ่ผู้ชมไม่ค่อยได้เห็นหนังแนวนี้ ไม่ค่อยเห็นเบื้องหลังการถ่ายหนังกันหรอก ก็คืออยากให้เห็นวิธีการทำงานอีกแบบหนึ่ง ซึ่งดูมันไม่เหมือนหนังหรอก แต่มันเป็นวิธีการการถ่ายทำหนังจริงๆ การถ่ายทำกว่าจะได้มาแต่ละคัทเนี่ย เริ่มจากอะไรบ้าง เริ่มจากเทปเดิน แล้วค่อยมาตีสเลท สั่งกล้องแล้วค่อยมาสั่งแอ็คชั่นซึ่งยากนะ หลายขั้นตอนนะกว่าจะถ่ายได้ คือไม่รู้มันพูดไม่ถูก เพราะผมไม่เคยทำหนังแนวอย่างนี้ ส่วนมากก็จะทำแบบมีเป็นเรื่องราวเป๊ะๆ มาเลย มีพระเอกมีนางเอกมีอะไรพวกนี้ใช่มั้ย แต่พอมาถึงเรื่องนี้มันคล้ายๆ เหมือนต่างคนต่างเล่นตัวใครตัวมันน่ะ ใครฮาสุดว่ากันไป เป็นมุขสดๆ หน้ากองซะส่วนใหญ่
ถึงจะฮาสะเปะสะปะแต่การทำงานกว่าจะออกมาเนี่ยไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ก็เหมือนทำหนังทั่วไป มันยากตรงอันไหนสั่งคัทจริงอันไหนสั่งคัทในหนัง สั่งคัตเล่นกับสั่งคัตจริงในหนัง ตอนทำใหม่ๆ หลงเหมือนกันนะ งงกับมันเหมือนกันนะ ก่อนที่ตีสเลทก็ไม่รู้ว่าถ่ายจริงหรือถ่ายเอาจริงหรือเอาอะไร พอคัทแล้วก็เฮ้ยคัท ยังไม่รู้ว่าคัทจริงหรือว่าคัทเล่น มันมี 2 คัทเข้าใจมั้ย คัทแรกคือคัทเราเล่นกัน คัทที่สองคือคัทจริง คัทจริงคือหยุดถ่ายจริง มันก็เลยงง ที่ทำมันก็งงๆ เหมือนกัน พอสั่งคัตก็คัตกันหมดเลยไม่ถ่าย เฮ้ย คือมันงงตรงนี้แหละ
งงไปหลายรอบเลย
งงไปหลายรอบ บางทีงง เดี๋ยวตีสเลทเดี๋ยวไม่ตีสเลทไง คำว่าตีสเลทเนี่ยคือถ่ายหนังจริง แต่ที่ไม่ตีเนี่ยคือหมายถึงว่าเหมือนบรรยากาศดาราที่มาแล้วยังไม่ได้เข้าฉาก ก็มานั่งคุยกันคุยเรื่องลูกเรื่องเมียคุยเรื่องเด็กเรื่องผู้หญิงบ้างคุยเรื่องจิปาถะ ก็คุยกันไปเรื่อยเหมือนกองถ่ายทั่วไป ใครที่มายังไม่ถ่ายก็นั่ง บางคนก็นอน เห็นมั้ยมันเป็นกิจวัตรประจำของคนกองถ่ายอยู่แล้ว คนทำกับข้าวก็ทำไป เด็กจัดไฟเรื่องจริงก็จัดไฟกันไป เด็กขนไฟก็ขนไฟไป
ใครอยากเห็นเบื้องหลังการถ่ายหนังก็ต้องมาดูกัน
ใช่ๆ แบบฮาๆ เลย มันก็รวมตลกหลายคน ตัวเด่นๆ ดังๆ รวมอยู่ในเรื่องนี้หมดเลย ไม่รู้ใครฮาสุด ก็ว่ากันไป ต้องไปดูเอาเอง
เหมือนพี่หม่ำจะเสียดสีวงการบันเทิงด้วยมั้ย
ผมก็นึกไม่ออกว่าจะไปเสียดสีตรงไหน แต่ผมรู้สึกได้ว่าคือ อยากทำหนังแบบเนี้ยแหละ
เหมือนประชดประชัน...
ก็มีประชดประชันแบบว่าผู้กำกับบางคนก็ดุร้ายนะบางคนน่ะ แล้วไม่ได้ดั่งใจ บางทีก็น่าสงสารดาราเหมือนกันนะ เคยเจอมาหลายคนเหมือนกันน่ะ ดาราบางคนก็เล่นแข็งเหมือนเอาท่อนไม้มาตั้ง บางทีก็มีเหมือนกันนะ บางทีเราก็เห็น เราก็เคยเจอผู้กำกับแบบเอะอะเสียงดัง โวยวาย ผู้กำกับขี้เล่นก็มี ผู้กำกับสนุกอย่างเดียวก็มี มันแล้วแต่ ดาราขี้แอ็คก็มี มันมีหลายรูปแบบ โอ๊ย...ทุกอย่างแหละ มันรวมอยู่ในนี้
คาแร็คเตอร์พี่หม่ำในเรื่องนี้เป็นยังไง
เป็นผู้กำกับ เป็นตัวของตัวเองเลยเป็นผู้กำกับเลย แต่ว่าจะเจ้าอารมณ์กับพี่เทพเป็นพิเศษ พี่เทพเล่นอะไรก็ไม่ถูกใจผมในเรื่องน่ะนะ เล่นอะไรก็ไม่ได้เรื่อง ผมทั้งเอาถาดทั้งเอาอะไรตีหัว ก็ยังเล่นไม่ได้เรื่องเลย ไม่ถูกตาผมเลยพี่เทพ นี่คือในเรื่องเล่นไม่ถูกตาผม แต่มีซีนสุดท้ายนี่เขาเล่นเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ผมบอกว่าเขาเล่นดี เขาเล่นดีมาก ก็แกล้งๆ อำๆ เอาฮากันไป
ทำไมถึงเลือกป๋าเทพมาเล่นเรื่องนี้
คือหาจังหวะดีๆ ที่จะร่วมงานกับพี่เทพนี่ยากมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็ตรงกับพี่เทพกับผมด้วยไง เพราะในเรื่องพี่เทพเขาจะบ่นว่าไอ้เด็กเนี่ยมึงมาจากไหน เพราะว่าเมื่อก่อนเคยมาอยู่กับกู แต่เดี๋ยวนี้ไม่เห็นหัวกูแล้วอะไรทำนองนี้ในหนังนะ ในเนื้อของมันน่ะ คือมันจะได้แมทช์กันพอดีกับตัวพี่เทพกับตัวพี่เองด้วย แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งว่า อุ๊ย!ทำไมไปตีหัวพี่เทพซะแบบนั้น มันก็เหมือนเล่นตลกกันตามคาเฟ่แหละ แต่นี่เรามาทำเป็นหนังซ้อนหนังอีกทีไง ก็ขอโทษขอโพยกันตามอาวุโส ไม่มีปัญหา
ย้อนไปถึงตอนที่เล่นตลกอยู่ด้วยกันจนมาร่วมงานกันในเรื่องนี้เป็นยังไงบ้าง
พี่เทพเป็นคนร่าเริง เป็นคนที่มีอารมณ์ศิลปินสูง และลึกมาก คนที่ไม่เข้าใจพี่เทพจะมองพี่เทพไปอีกอย่าง ผมรู้สึกเข้าใจเขาได้เพราะผมก็อยู่กับเขามา พี่เทพเขาจะเล่นตลกเหมือนกับผมนี่แหละ คือไม่อยากเล่นอยู่อะไรซ้ำซากอยู่กับที่ เป็นคนเล่นไปเรื่อยเปื่อย ไปเรื่อยๆ ได้อันไหนไปอันนั้น เป็นคนที่มีวิธีคิดก้าวไกลกับเรื่องของตลกมาก ถ้าใครเล่นกับเขาดีๆ นะจะเห็นเขาแบบมุมมองเขาเป็นตลกที่เหนือเมฆเหนือชั้นมาก เล่นกับเขาผมรู้สึกได้ว่าผมมั่นใจเลยไม่ว่าจะไปออกรายการไหนก็ตาม ถ้านั่งกับพี่เทพนะมีแต่ได้มาก ไม่มีได้น้อยเรื่องของความฮานะ ถ้านั่งอยู่กับเขานะ เพราะเป็นคนรู้ขากันไงรู้แกวกัน ก็เหมือนหนังเรื่องนี้ ถ้าอยู่ด้วยกันปุ๊บ เอาแล้วพี่เทพกับผมเอากันไรแล้ว
พี่หม่ำได้เรียนรู้จากป๋าเทพยังไงบ้าง
มากครับ ผมได้เรียนรู้กับพี่เทพมากเลย เยอะเลย ตั้งแต่อยู่กับพี่เทพที่คณะยี่สิบปีแล้วมั้ง อยู่กับพี่เทพมาก็ได้อะไรจากพี่เทพมาเยอะแยะ ได้ความคิดความอ่านของการเล่นตลก การแสดงออกของมุขแต่ละมุขแต่ละมุขนั้นหน้าตาควรจะใช้ยังไง พี่เทพเป็นสุดยอด เทพจริงๆ คนคนนี้นะ ใครตลกที่เล่นกับเขาเล่นยากนะ ถามได้เลยถามตลกทุกคนเลยเล่นกับเทพ โพธิ์งาม เนี่ยเอาเถอะเล่นกับเขาเล่นยากมาก ถ้าไม่รู้ซึ้งรู้แก่นของเขานะ จะไปคนละทิศคนละทางเลย เขาก็รู้ตัวนะเขาเล่นกับคนอื่นเขาก็รู้สึกตัวเขาเองว่าไม่สนุกไม่เหมือนคนที่รู้ใจ ก็จะสนุกเล่นกับพี่แฉ่งงี้ เล่นกับพี่น้อยงี้ เล่นกับผมงี้ จะสนุกเข้าขากันดี
แรกๆ พี่หม่ำใช้เวลาจูนกับป๋าเทพยังไง
ตอนอยู่กับพี่เทพใหม่ๆ ใช่มั้ย จูนกันซักสามสี่วันมั้ง แต่วันแรกก็จูนกันแล้วนะ คือวันแรกเขาก็เห็น คือเขาก็เห็นเลยว่าไอ้เด็กคนนี้ใช่แล้ว ตอนนั้นเด็กมากอายุเพิ่ง 23 พอได้อยู่กับเขา 23, 24 เนี่ย อยู่กับเขาใหม่ๆ เขาก็ยังมองว่าเอ๊ะผมยังเด็กมากเลย แทบจะไม่รับผมด้วยตอนนั้นน่ะ เพราะมันเด็กมาก มีพี่เปี๊ยก ปากน้ำโพธิ์ พาไปฝาก พี่เทพเขาก็เห็นหน้า เฮ้ยเด็กจังอ่ะ เด็กจริงๆ ตอนนั้นนะ เล่นวันแรกก็ใส่เลย วันนั้นไม่ได้รอเลย ใส่เต็มแม๊ตเลยอ่ะ ดันไปโดนเขา ทีนี้โดนทางชัดเจนเลย คือไม่นึกว่าเด็กคนนี้แบบ เออ แจ๋วว่ะ วันแรกผมก็จูนติดเลย เล่นมาอาทิตย์หนึ่งผมสบาย อยู่ไปซักเดือนสองเดือนถึงรู้ว่าเขาไม่ให้เราออกแล้ว อยู่ยาวเลยอยู่กับแกมาเกือบ 9 ปี 10 ปี
เป็นบุพเพหรือเปล่าที่ได้มาเจอกัน
จะว่าอย่างงั้นก็ได้ คนมันเซ้นต์เดียวกันมากกว่า คนมันมีวิธีการเล่นใกล้เคียงกันอ่ะผมกับพี่เทพเนี่ย ได้ทั้งรุกทั้งรับ คือเขาเข้าใจวิธีเล่นมากกว่า เขารุกได้รับได้ แต่เวลาจับอะไรได้นี่ยาวเลยนะ อันเดียวเลย บี้กันเข้าไปเลยให้จบให้สุดไปเลย
วิธีการเล่นของตัวพี่หม่ำเองล่ะ
มันเหมือนตัวจั่วหาเรื่องให้ผู้ใหญ่ หาเรื่องที่แบบไม่น่าเป็นเรื่องให้ผู้ใหญ่คอยแก้ เราก็หนีไปอยู่ข้างๆ ไม่รับผิดชอบ ผมก็ไม่รู้เรื่องตามประสาผม พวกพี่คิดกันไปเอง ประมาณนั้นนะ ดูวิดีโอเก่าๆ จะรู้เลยว่าผมกับพี่เทพแบบเหมือนลิงกับราชสีช์อ่ะ ไอ้ตัวลิงคือตัวผมเนี่ยซนหาแต่เรื่องแต่ราวมาให้แก้ ให้ราชสีช์แก้ บางทีราชสีช์ก็ปัญญาอ่อนนะให้ลิงแก้เหมือนกัน นี่เห็นไหมเวลาเขารับเขาก็รับชัดเจนเลย พี่เทพนี่เวลาเขารุกตู้มๆๆ เลย เข้าใจวิธีการเล่น เขารู้ซึ้งกับการแสดงออกที่ให้คนขำนะ
เห็นมีฉากใหญ่ๆ เยอะเลยเรื่องนี้
ใหญ่ครับ ฉากบวงสรวงก็ใหญ่คนเยอะ บวงสรวงนี่ก็ฮา แอ็คชั่นก็มีระเบิดตูมตาม ฉากเลิฟซีนก็มีนะ ฮาด้วยเหมือนกัน มีเยอะครับต้องไปดูเอง
มีฉากไหนกำกับยากที่สุดในความคิดพี่หม่ำ
ผมว่าหนังเรื่องนี้ง่ายที่สุดสำหรับผม ง่ายมากเลย ง่ายทุกฉากคงงงแค่ไอ้เรื่องสั่งคัทแค่นั้นแหละ ว่ามันคัทจริงหรือคัทปลอม เท่านั้นเองเพราะมันต้องสั่งคัทสองทีไง มันก็เลยงงๆ
ประทับใจอะไรเป็นพิเศษในเรื่องนี้
ก็คงจะเป็นเรื่องของเพื่อนๆ ได้ทำหนังกับเพื่อนฝูง พี่ๆ น้องกันทั้งนั้นในวงการ ก็สบายๆ ง่ายๆ แบบ ไม่ต้องคิดอะไรมาก คืออยากจะให้ดูแบบเวลาเขาถ่ายหนังกันนะ เขาทำกันยังไง เบื้องหลังการทำหนังมันเป็นอย่างงี้นะ อะไรอย่างนี้แหละ
อยู่ในวงการนี้มานานมากแล้วมุมมองต่อวงการบันเทิงเป็นยังไงบ้าง
ผมว่าวงการบันเทิงก็เป็นวงการที่ดีนะ ผมว่าต้องช่วยกันในเรื่องภาพลักษณ์ของพวกเราด้วย เป็นศิลปินคนสาธารณะอย่างนี้ มีภาพลักษณ์ที่ดีแก่คนทั่วไปที่เขามองเราไง ซึ่งเขาเห็นเราในหนัง เห็นเราในทีวี ในหนังสือสิ่งพิมพ์ต่างๆ นี่ผมว่าต้องรักษามาตรฐานความเป็นนักแสดงคนบันเทิงเอาไว้ให้เขารู้สึกดีๆ กับพวกเรานะครับ มีไม่กี่คนหรอกที่ทำเสียๆ หายๆ อย่างเนี้ย มีไม่กี่คนหรอก ก็อย่าไปเหมารวมนะครับ คนที่เขามีความตั้งใจจริงกับวงการบันเทิงก็เยอะแยะครับ มีไม่กี่คนหรอกครับที่ทำเสียหาย แต่มันก็มีทุกที่แหละมีคนดีก็ต้องมีคนไม่ดี คนไม่ดีก็ขอให้มีน้อยๆ แล้วกัน
มุมมองในวงการหนังไทยเป็นไงบ้าง
ผมว่าหนังไทยเราเป็นหนังที่ควรทำให้ถูกใจคนไทยก่อนนะ อย่างหนังของผมเนี่ยขอให้โดนคนไทยก่อน ผมก็รู้สึกปลื้มและภูมิใจแล้ว และกับคนไทยที่ได้ดูหนังไทยและมีความสุขกับหนังไทย ไม่เฉพาะหนังผมนะ หนังใครก็ได้ที่เขาอยากดูเพื่อความสนุกมีรอยยิ้ม เขาไม่อยากดูแบบซีเรียสเครียดหรอก ทุกอย่างทุกวันนี้เขาก็เครียดเรื่องบ้านเมืองอยู่แล้ว มาดูอะไรเครียดๆ ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ ก็อยากทำหนังแบบสบายๆแบบสนุกๆ แบบอะไรก็ได้ที่ทำให้เขายิ้มแย้มแจ่มใส ไปดูแล้วออกมาเครียดก็ไม่รู้จะไปดูทำไม อย่างหนังของผมก็เป็นอีกสไตล์หนึ่งนะครับ ไม่รู้สิผมทำหนังของผมมา 5-6 เรื่องแล้วผมก็พูดของผมอย่างงี้แหละ ก็ง่ายๆ สบายๆ ดูแล้วไม่ต้องคิดมาก หนังผมนะ ยิ่งเรื่องนี้ยิ่งไม่ต้องคิดมากเลย กล้องตั้งแล้วก็ใส่มุขกันเลย ฮากันไป
การันตีความฮาของ “โป๊ะแตก”
ผมอยากบอกว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ฮาแบบ...แบบยังไงดีอ่ะ แบบที่คุณไม่เคยเห็นแล้วกัน แบบที่ทุกท่านไม่เคยเห็น ฮาแบบสดๆ เหมือนท่านได้ดูหนังแบบสดๆ ต่อหน้าเลย คือเหมือนการถ่ายหนังจริงๆ เลย ให้เป็นเรื่องเป็นราวเบื้องหลังของความฮา ก็เป็นอีกสไตล์หนึ่งที่ผมอยากทำ และเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องแรกที่ผมเอาดาราเอาตลกมาเยอะมาก หนักไปที่ค่านักแสดงนี่แหละมากันเกือบทั้งวงการ นอกจากตัวหลักอย่างผมและพี่เทพแล้ว ก็มีทั้งคุณโหน่ง,คุณเท่ง,คุณชูษี,พี่ค่อม,พี่ถั่วแระ,พี่เป็ด,พี่โน้ต,คุณนุ้ย,คุณตั๊ก อ้อ ตุ๊กกี้กับฮาย อาภาพรก็มา โอ๊ยเยอะแยะมากันทั้งหมดแหละ ขนมาทั้งพี่ๆ น้องๆ เพื่อนๆ มากันหมดเลย ดูแล้วฮาสนุกสนานแน่นอนครับ