กรุงเทพฯ--29 มี.ค.--กฟผ.
กฟผ. เผยความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 21,896.4 เมกะวัตต์ สาเหตุจากอากาศร้อนจัด วอนประชาชนร่วมประหยัดไฟอย่างจริงจัง พร้อมหนุนใช้หลอดประหยัดไฟแทนหลอดไส้ เปิดแอร์ 25-26 องศาเซลเซียส และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ประหยัดไฟเบอร์ 5
วันนี้ (28 มี.ค.) นายอภิชาต ดิลกโศภณ รองผู้ว่าการบริหาร ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า เมื่อวันอังคารที่ 27 มีนาคมที่ผ่านมา ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุด (พีค) ได้พุ่งสูงถึง 21,896.4 เมกะวัตต์ ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ของเดือนมีนาคมถึง 300 เมกะวัตต์แล้ว (ความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่คาดการณ์ไว้อยู่ที่ประมาณ 21,600 เมกะวัตต์) ทั้งนี้เป็นผลมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นทั่วประเทศ ทำให้ภาคประชาชน ภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจมีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในวันที่เกิดความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดดังกล่าว แยกตามภาคต่างๆ ได้แก่ เขตนครหลวง 8,455.2 เมกะวัตต์ ภาคกลาง 7,681.5 เมกะวัตต์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2,187 เมกะวัตต์ ภาคใต้ 1,574.8 เมกะวัตต์ และภาคเหนือ 1,997.9 เมกะวัตต์
อย่างไรก็ตาม โฆษก กฟผ. กล่าวยืนยันว่า กฟผ. มีกำลังผลิตสำรองเพียงพอที่จะรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าร้อนปีนี้ และได้มีการซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าให้มีความพร้อมจ่ายในช่วงหน้าร้อนอย่างเต็มที่ จึงมั่นใจได้ว่าจะมีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอแน่นอน
นายอภิชาต กล่าวตอนท้ายว่า กฟผ. ขอเชิญชวนประชาชนให้เห็นความสำคัญของประหยัดไฟฟ้าอย่างจริงจัง ซึ่งสามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยตนเอง เช่น เปลี่ยนไปใช้หลอดประหยัดไฟแทนการใช้หลอดไส้ ปรับตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 -26 องศาเซลเซียส เพราะการตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นทุกๆ 1 องศาเซลเซียส จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 400 เมกะวัตต์ รวมถึงการเลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์มาตรฐานฉลากประหยัดไฟ เบอร์ 5 อาทิ เครื่องปรับอากาศ หม้อหุงข้าว พัดลม ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ประชาชนสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้าภายในครอบครัว และยังช่วยให้ประเทศประหยัดได้อีกด้วย