กรุงเทพฯ--1 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงแบรนด์ของบริษัทซึ่งเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดี ตลอดจนผลงานที่ยาวนาน และความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ การพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความยืดหยุ่นทางการเงินและระดับของการผสานประโยชน์จากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัทร่วมซึ่งทำให้บริษัทเป็นผู้ประกอบการชั้นนำและครบวงจรมากที่สุดในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวลดทอนลงบางส่วนจากสถานการณ์การเมืองภายในประเทศที่ไม่แน่นอน ตลอดจนลักษณะของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นวงจรขึ้นลง การแข่งขันในการซื้อที่ดินที่ทวีความรุนแรง และภาระหนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงผลประกอบการในช่วงที่ผ่านมาของบริษัทซึ่งปรับตัวดีขึ้นเกินคาด นอกจากนี้ ยังสะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัยซึ่งเป็นไปในทางที่ดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ คาดว่าบริษัทน่าจะสามารถดำรงความเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งรักษาอัตราการเติบโตและสภาพคล่องในระดับที่น่าพอใจเอาไว้ได้ อย่างไรก็ตาม หากการเพิ่มขึ้นของภาระหนี้สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า “Terminal 21” อยู่ในระดับที่มีนัยสำคัญและส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินของบริษัทอยู่ในระดับสูงนานกว่าประมาณการ อันดับเครดิตของบริษัทก็อาจถูกปรับลดลงจากระดับปัจจุบันได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ซึ่งเป็นผู้นำในกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยของไทยก่อตั้งเมื่อปี 2526 โดย
ตระกูลอัศวโภคินซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 30.9% ณ เดือนพฤษภาคม 2553 รองลงมาคือ Government of Singapore Investment Corporation (GIC) ในสัดส่วน 16.5% รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ยังคงเป็นรายได้หลักของบริษัทในสัดส่วน 98% ของรายได้จากการดำเนินงานในปี 2552 และที่เหลือเป็นรายได้จากค่าเช่าและบริการ สินค้าหลักของบริษัทคือบ้านเดี่ยวซึ่งสร้างรายได้คิดเป็นประมาณ 72% ของรายได้รวมในปี 2552 ในขณะที่ทาวน์เฮ้าส์และคอนโดมิเนียมคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 8% และ 18% ตามลำดับ ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทมาจากประสบการณ์ที่ยาวนานในการพัฒนาและส่งมอบโครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพให้แก่ลูกค้า ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 โครงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทมีมูลค่าคงเหลือประมาณ 33,660 ล้านบาท หรือประมาณ 1.9 เท่าของรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ต่อปี
ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 ยอดขายที่อยู่อาศัยของบริษัทอยู่ที่ 4,181 ล้านบาท เปรียบเทียบกับ 2,963 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนยอดขายในปี 2552 อยู่ที่ 17,275 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปีก่อนที่ 15,409 ล้านบาท ผลประกอบการที่ดีขึ้นดังกล่าวเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของความต้องการที่อยู่อาศัยตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2552 และรายได้จากโครงการคอนโดมิเนียม “The Room รัชดา-ลาดพร้าว” กำไรจากการดำเนินงานของบริษัทอยู่ที่ระดับประมาณ 23%-24% ในช่วงระหว่างปี 2551 จนถึงไตรมาสแรกของปี 2553 ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจาก 18.5% ในปี 2550 อันเนื่องมาจากประโยชน์ที่ได้รับจากมาตรการด้านภาษีของภาครัฐ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรดังกล่าวจะปรับลดลงประมาณ 3%-4% หลังจากที่มาตรการด้านภาษีส่วนใหญ่สิ้นสุดลงในปี 2553 ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรอยู่ที่ประมาณ 10%-12% และมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ 3.5% (ยังไม่ได้ปรับเต็มปี) ในไตรมาสแรกของปี 2553 และ 21.9% ในปี 2552 โดยที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย
ต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 10.8 เท่า และ 7.7 เท่าในช่วงเดียวกัน บริษัทมีภาระหนี้รวมทั้งสิ้น 19,771 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553 โดยเพิ่มขึ้นจาก 16,785 ล้านบาทในช่วงสิ้นปี 2552 ภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลจากการที่บริษัทออกหุ้นกู้มูลค่า 3,000 ล้านบาทในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 เพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้มูลค่า 2,000 ล้านบาทที่ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนเมษายน 2553 และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ณ เดือนมีนาคม 2553 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยมาอยู่ที่ 41.0% จาก 38.0% ณ สิ้นปี 2552 นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในระดับสูง โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาได้จ่ายเงินปันผลมากกว่า 80% ของกำไรสุทธิในแต่ละปี
ทริสเรทติ้งคาดว่าภาระหนี้ของบริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์จะเพิ่มขึ้นพอสมควรและจะคงอยู่ในระดับดังกล่าวต่อไปในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าเนื่องจากมีการกู้ยืมเงินเพื่อใช้ในโครงการ “Terminal 21” อย่างไรก็ตาม ด้วยมูลค่าของโครงการดังกล่าวที่สูงถึง 6,000 ล้านบาท ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นทุนบางส่วนในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งเห็นว่างบดุลของบริษัทไม่เพียงพอที่จะรองรับระดับเงินกู้ยืมที่อาจเพิ่มขึ้นเพื่อใช้จ่ายทั้งโครงการ โดยเฉพาะโครงการระยะยาวเช่นนี้ การใช้เงินกู้ยืมที่มากจนเกินไปจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ในระดับสูงเป็นเวลายาวนานเกินไปอันอาจจะลดทอนความยืดหยุ่นทางการเงินของบริษัทที่จำเป็นต้องใช้ในช่วงวงจรขาลงหรืออาจจำกัดความสามารถในการขยายตลาดได้ โดยทริสเรทติ้งมองว่าสภาพความยืดหยุ่นทางการเงินที่ลดลงดังกล่าวจะไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตที่บริษัทได้รับอยู่ในปัจจุบัน
ภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างผันผวนซึ่งเป็นผลมาจากความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศและวิกฤติการณ์ทางการเงินทั่วโลก แม้ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 แต่ก็ยังถือว่าชะลอตัวอยู่และถูกครอบงำโดยผู้ประกอบการรายใหญ่มากยิ่งขึ้น หลังจากมีผลประกอบการเป็นที่น่าพอใจในปี 2552 ผู้ประกอบการรายใหญ่ส่วนใหญ่จึงวางแผนขยายธุรกิจเชิงรุกในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า การซื้อที่ดินในทำเลดีจึงมีแนวโน้มที่จะมีต้นทุนสูงขึ้น ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาลซึ่งส่วนใหญ่จะสิ้นสุดในปี 2553 ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2553 ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก โดยทริสเรทติ้งคาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2553 จะค่อยๆ ฟื้นตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศ
บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (LH)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A
อันดับเครดิตตราสารหนี้:
LH119A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ A
LH127A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่ A
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่) จาก Negative (ลบ)