กรุงเทพฯ--2 มิ.ย.--IR PLUS
"ไทยโพลีคอนส์" มั่นใจการเมืองร้อนไม่กระทบธุรกิจ เชื้อสิ้นปีปั๊มรายได้เติบโตตามเป้า หลังพบ ยังมีงานไหลเข้ามือต่อเนื่อง โดยเฉพาะจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้ที่เป็นตลาดหลักหนุน Backlog ทะลุ 3 พันลบ. แถมแผนคุมต้นทุนได้ผลสะท้อนผลประกอบการใน Q1/53 เติบโตชัด "เจริญ จันทร์พลังศรี" ลั่น พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง ควบคู่กับการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้บริษัทฯ เติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต
นายเจริญ จันทร์พลังศรี ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY เปิดถึงสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ร้อนระอุในช่วงที่ผ่านมาว่า ไม่กระทบต่อธุรกิจของบริษัทฯ อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ ประกอบกับตลาดก่อสร้างหลักของ ไทยโพลีคอนส์ อยู่ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นหลัก และปัจจุบันในพื้นที่ดังกล่าวมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ลูกค้าซึ่งอยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ยังมีแผนขยายงานตามโครงการที่วางไว้จึงทำให้ธุรกิจของบริษัทฯ มีแนวโน้มการเติบโตในทิศทางที่ดี ซึ่งจะเห็นได้จากจำนวนงานในมือที่รอรับรู้เป็นรายได้ ( Backlog) เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1/2553 บริษัทฯ มี Backlog ที่เป็นยอดงานก่อสร้างในมือคงเหลือประมาณ 1,842 ล้านบาท และยอดงานที่ประมูลได้ อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาจำนวน 4 โครงการ มูลค่า 1,669 ล้านบาท รวมเป็น Backlog กว่า 3,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้เป็นรายได้ไปจนถึงปี 2554
"ถ้ามองจาก Backlog ที่มีอยู่กว่า 3,500 ล้านบาท ณ ปัจจุบันแบ่งเป็นสัดส่วนงานราชการ 46 % เอกชน 54 % แบ่งกลุ่มงานก่อสร้าง 6 ประเภทดังนี้ งานก่อสร้างอาคารสูงเพื่อที่พักอาศัยและศูนย์การค้า 34%, งานก่อสร้างอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ 6%, งานก่อสร้างคลังสินค้าโรงงานอุตสาหกรรมและโรงผลิตไฟฟ้า 5%, งานก่อสร้างงานปรับปรุงอาคารทั้งภายในและภายนอก 9%, งานก่อสร้างอาคารเรียน 20% และงานก่อสร้างโรงพยาบาล 26% ซึ่งเป็นงานทางภาคใต้ 33% และภาคอื่นๆ 67% ก็สะท้อนให้เห็นได้ว่าธุรกิจของเราแทบจะไม่ได้รับผลประทบจากปัญหาการเมืองในปัจจุบัน ปัจจัยหลักน่าจะมาจากตลาดของเราอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เราทำงานมานานและฝากผลงานจนเป็นที่ยอมรับแล้วทั้งในหน่วยงานราชการและภาคเอกชน ในขณะที่ลูกค้าอื่นๆ ก็ยังเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนที่วางไว้ จึงทำให้เราแทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางด้านการเมืองดังกล่าว และในทางกลับกันเชื่อว่าหลังจากที่ความรุนแรงทางการเมืองผ่านพ้นไปแล้ว รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจอีกครั้ง อาจส่งผลต่อเนื่องให้มีงานใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเป้าหมายรายได้ที่บริษัทฯ คาดว่าจะทำได้ประมาณ 2,000 ล้านบาท ในปีนี้จึงไม่น่าจะมีปัญหา"
นายเจริญ กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีหลังนี้นอกจากจะเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังให้ ความสำคัญกับการบริหารจัดการภายในอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่องจากเมื่อต้นปีที่ผ่านมาด้วย เพื่อลดต้นทุนที่ไม่จำเป็นลงและเพิ่มศักยภาพในการทำงานให้สูงขึ้น เพื่อให้บริษัทฯเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งการบริหารจัดการดังกล่าวทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯ ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ไตรมาสที่ 1/2553 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ บมจ.ไทยโพลีคอนส์ รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 1/2553 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2553 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 19.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 4.89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ35 จากไตรมาสที่ 1/2552 ที่ทำได้ 14.15 ล้านบาท ถึงแม้ว่ารายได้จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ 1/2553 บริษัทฯ มียอดรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง 352.19 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 26 เมื่อเปรียบเทียบกับรายได้จากการรับเหมาก่อสร้าง ในงวดไตรมาส 1 ปี 52 ที่ 445.23 ล้านบาท แต่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารลดลง 21.69 ล้าน หรือ ร้อยละ 41 เมื่อเทียบกับงวดไตรมาส 1 ปี 52 จึงทำให้กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ดังกล่าว ในส่วนของผลประกอบการไตรมาส 1/2553 รับรู้รายได้จากภาครัฐ 64% เอกชน 36%
"จากการบริหารจัดการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าจะสนับสนุนให้ Net Profit Magin ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 4.5% และในอนาคตคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 6% ส่วน Gross Profit Magin คาดว่าในปีนี้จะอยู่ที่ 12% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 11% ซึ่งถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี ที่จะสะท้อนให้ผลประกอบการในปีนี้ดีขึ้นในทิศทางเดียวกันด้วย"นายเจริญ กล่าวในที่สุด
ข้อมูลบริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPOLY
บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างประเภทศูนย์การค้า อาคารสำนักงาน และอาคารสูงเพื่อพักอาศัย โรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงโรงงานผลิตไฟฟ้า โดยการ ให้บริการรับเหมาก่อสร้างดังกล่าวครอบคลุมถึงงานวิศวกรรมโยธา งานติดตั้งงานระบบวิศวกรรมต่าง ๆ และงานภูมิสถาปัตยกรรม (Landscape) บริษัทมีรายได้จากการก่อสร้างในประเทศทั้งหมด แบ่งลูกค้าออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ภาคเอกชน ได้แก่ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม และ ผู้ประกอบการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ซึ่งลูกค้าภาคเอกชนของบริษัทจะเป็นลูกค้าที่มีชื่อเสียง และมีฐานะทางการเงินดี ส่วนกลุ่มที่สอง เป็นหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ หน่วยงานราชการและมหาวิทยาลัยรัฐบาล กลุ่มลูกค้าภาครัฐเป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่มีความเสี่ยงด้านการชำระเงิน
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
IR PLUS : คุณปภาดา สุวรรณกูฏ (ตุ้ย) Tel. 02-5549396 ,E-mail : phapada@irplus.in.th