กรุงเทพฯ--4 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งของบริษัทในการเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีโครงข่ายท่อส่งน้ำดิบครอบคลุมพื้นที่ในเขตชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตลอดจนลักษณะธุรกิจที่ผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาได้ยาก และความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจที่อยู่ในระดับต่ำ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการมีรายได้ที่สม่ำเสมอ และฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดบางประการจากความต้องการเงินลงทุนที่สูง ตลอดจนผลกระทบที่คาดเดาไม่ได้จากการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ ความเสี่ยงจากการมีกลุ่มลูกค้าที่ไม่หลากหลาย และนโยบายของภาครัฐในด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่ยังไม่มีกรอบชัดเจน
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาระดับความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดได้ต่อไป อีกทั้งการประกอบธุรกิจจะไม่ได้รับผลกระทบในทางลบจากการเปลี่ยนแปลงใดใดในนโยบายภาครัฐ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะมีโครงการขยายธุรกิจซึ่งมีแผนการเพิ่มภาระหนี้ที่ระมัดระวังและมีการติดตามตรวจสอบอย่างมีวินัย
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกก่อตั้งในปี 2535 และปัจจุบันมีสถานะเป็นผู้ให้บริการน้ำดิบเพียงรายเดียวในพื้นที่ 7 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกหลังจากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบการพัฒนาและดำเนินการดูแลระบบท่อส่งน้ำดิบ ปัจจุบันบริษัทให้บริการน้ำดิบในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ ยังให้บริการน้ำประปาในเขตพื้นที่บริการอีก 10 เขตด้วย ในปี 2552 บริษัทมีรายได้รวม 2,826 ล้านบาท โดยรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 66% และจากธุรกิจน้ำประปาคิดเป็น 22% ของรายได้รวม
นับตั้งแต่การก่อตั้งเป็นต้นมา พื้นฐานธุรกิจของบริษัทยังคงแข็งแกร่งเนื่องจากความต้องการใช้น้ำดิบของภาคอุตสาหกรรมในเขตพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปี 2552 ยอดขายน้ำดิบของบริษัทจะลดลงเล็กน้อยโดยคิดเป็น 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทว่าราคาค่าน้ำดิบเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้รายได้ของบริษัทสูงขึ้น 15% สู่ระดับ 1,904 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากธุรกิจจำหน่ายน้ำประปายังคงแข็งแกร่ง โดยมียอดขายเพิ่มขึ้น 13% ในช่วงปี 2552 อย่างไรก็ตาม บริษัทต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการมีลูกค้ารายใหญ่เพียงไม่กี่ราย ทั้งนี้ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและลูกค้ารายใหญ่ของบริษัทจัดส่งรายได้ในสัดส่วนประมาณ 65%-70% ของยอดขายรวมในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยทั้ง กปภ. และ กนอ. มีอำนาจในการต่อรองราคาค่าน้ำดิบด้วย ซึ่งบริษัทได้เสนอส่วนลดบางส่วนแก่ลูกค้าทั้ง 2 รายสำหรับปี 2551-2553
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในช่วงแรก บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกเช่าและดำเนินการบริหารโครงการท่อส่งน้ำดิบจำนวน 4 โครงข่ายซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงการคลัง หลังจากนั้นบริษัทได้ขยายโครงข่ายการจ่ายน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเชื่อมในทุกพื้นที่ให้บริการ แม้ว่าการประกอบกิจการจะไม่ต้องใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน แต่การมีโครงข่ายที่ครอบคลุมนั้นจะต้องใช้เงินลงทุนสูง บริษัทจึงไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของคู่แข่งทางตรงในธุรกิจน้ำดิบในอนาคตอันใกล้ โครงข่ายท่อส่งน้ำของบริษัทที่เชื่อมต่อกันโดยสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและจัดสรรน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ไปยังจุดให้บริการมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศซึ่งส่งผลต่อปริมาณน้ำฝนเป็นความเสี่ยงสำคัญที่จะกระทบต่อสถานะทางธุรกิจของบริษัท สำหรับธุรกิจบริการน้ำประปานั้นอุปสงค์ยังเติบโตอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจในอนาคตขึ้นอยู่กับนโยบายของ กปภ. ในการที่จะเปิดประมูลสัมปทานใหม่ๆ หรือให้เอกชนดำเนินการแทน ซึ่งนโยบายดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจน
ฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทเป็นผลมาจากการมีแหล่งรายได้ที่แน่นอนและอุปสงค์ที่สม่ำเสมอ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้จากการขายของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 50.4% ในปีงบประมาณ 2551 เป็น 54.9% ในปี 2552 และ 60.2% ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 อันเป็นผลมาจากการขึ้นราคาค่าน้ำดิบและต้นทุนด้านการบริหารและขายที่ลดลง ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดภายในของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเงินทุนจากการดำเนินงานในปี 2552 เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 1,085 ล้านบาท ในขณะที่เงินกู้รวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับสูงสุดที่ 4,535 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2550 เป็น 2,936 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2551 และ 2,289 ล้านบาทในปี 2552 เนื่องจากบริษัทไม่มีการลงทุนที่สำคัญในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะในธุรกิจน้ำดิบ ซึ่งส่งผลให้ความสามารถในการชำระหนี้ของบริษัทเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมปรับตัวดีขึ้นจาก 31.4% ในปีงบประมาณ 2551 เป็น 47.4% ในปี 2552 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนก็ปรับตัวลดลงจากระดับ 32.9% ในปีงบประมาณ 2551 เป็น 26.5% ในปี 2552 สำหรับช่วงไตรมาสแรกของปี 2553 เงินทุนจากการดำเนินงานและเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 432 ล้านบาท และ 2,793 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมอยู่ที่ระดับ 15.5% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) และอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ระดับ 31.2% ภาระหนี้สินคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากบริษัทมีการกู้ยืมเพื่อใช้ในการลงทุนบางส่วน โดยปัจจุบันบริษัทกำลังวางท่อเส้นที่ 3 จากหนองปลาไหลไปยังมาบตาพุด ซึ่งจะทำให้เงินลงทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบราวๆ 3,000 ล้านบาทในระหว่างปี 2553 -2554 ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) (EASTW)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)