MovieStreetDance 3D

ข่าวบันเทิง Monday June 7, 2010 11:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 มิ.ย.--สหมงคลฟิล์ม ประเภท Dance 3D กำหนดฉาย 17 มิถุนายน 2553 ความยาว - เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://streetdance.co.uk/ บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์ อำนวยการสร้าง คริสทีน ลางกาน (The Queen, In the Loop, Bright Star) กำกับ แม็คส์ กิวา และ ดาเนีย พาสควินิ เขียนบท เจน อิงลิช (Sugar Rush, The Cops) นำแสดง ริชาร์ด วินเซอร์ (Nutcracker) นิโคล่า เบอร์ลี่ย์ (Donkey Punch, Kicks) จอร์จ แซมสัน (ผู้ชนะเลิศการแข่งขัน Britain’s Got Talent ปี 2008) Diversity (ทีมเต้นชนะเลิศการแข่งขัน Britain’s Got Talent ปี 2009) Flawless (ทีมเต้นแชมป์โลกปี 2005) ชาร์ลอต แลมพลิง (Swimming Pool, Spy Game, The Duchess) “สตรีทแด๊นซ์ถือกำเนิดบนถนน ที่ฉีกทุกกฏของการเต้น นี่คือการเต้นเพื่ออิสรภาพ" StreetDance 3D หนังเต้นสามมิติเรื่องแรกของโลก เนื้อเรื่อง ชีวิตของนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ คาร์ลี่ย์ (นิโคล่า เบอร์ลี่ย์) คงไม่ดีไปกว่านี้ เธอรักกับนักเต้นหนุ่ม เจย์ (อุเควลี โรช) และทีมเต้นของพวกเขาเพิ่งเข้ารอบชิงของการแข่งสตรีทแด๊นซ์แห่งสหราชอาณาจักร แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อ เจย์ ออกไปจากหัวใจของ คาร์ลี่ย์ และทีมของเธอ แถมยังต้องสูญเสียสถานที่ฝึกซ้อมไปอีก ทำให้ทั้งทุกคนตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก ความช่วยเหลือมาในรูปแบบที่ คาร์ลี่ย์ ไม่คาดฝัน เมื่อ เฮเลน่า (ชาร์ลอต แลมพลิง) ครูสอนบัลเล่ต์ประทับใจกับความสามารถของ คาร์ลี่ย์ เธอยื่นข้อเสนอให้เธอใช้แด๊นซ์สตูดิโออันโอ่อ่าได้ แต่ต้องแลกด้วยการเอานักเรียนบัลเล่ต์เข้าเป็นสมาชิกของทีม เพราะเธอมุ่งหวังว่าทักษะและความจริงจังของสตรีทแด๊นซ์ และช่วยให้นักเรียนของเธอมีพลังงานก่อนที่จะไปคัดตัวกับ เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ การปะทะกันของสองวัฒนธรรม สองศาสตร์การเต้นที่ชิงดีชิงเด่นกัน การฝึกฝนอย่างทรหดของนักเต้นแนวคลาสสิก ทำให้นักเต้นบัลเล่ต์เกิดความรู้สึกไม่ดีกับนักเต้นข้างถนน ในขณะที่ คาร์ลี่ย์ ก็เริ่มหมดความอดทนกับความหยิ่งยะโสของนักเต้นบัลเล่ต์ อย่างไรก็ตามเธอก็อดใจไม่ได้ที่ได้รู้จักกับนักเต้นบัลเล่ต์หนุ่ม โทมัส (ริชาร์ด วินเซอร์) ทีมเต้นจากศาสตร์การเต้นสองแขนง จะสามารถผสานกันเป็นหนึ่งก่อนการแข่งสตรีทแด๊นซ์รอบชิง และการคัดตัว เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ ได้หรือไม่? มงคลเมเจอร์ขอเสนอภาพยนตร์เต้นสามมิติเรื่องแรกของโลก และเป็นภาพยนตร์สามมิติเรื่องแรกของทวีปยุโรป ร่วมสร้างความมันส์โดยทีมเต้นที่ชนะเลิศรายการ Britain’s Got Talent ปีล่าสุดอย่าง Flawless และทีมคู่แข่ง Diversity และผู้ชนะในปีที่แล้วอย่าง จอร์จ แซมสัน นักเต้นมหัศจรรย์ StreetDance 3D คือหนังที่สร้างแรงใจ และเป็นการเดินทางผ่านโลกของสตรีทแด๊นซ์บนท้องถนนที่น่าตื่นเต้น จากคอนเซ็ปท์สู่ภาพยนตร์ ผู้อำนวยการสร้าง เจมส์ ริชาร์ดสัน เล่าพูดถึงแนวคิดของการสร้างว่า "StreetDance 3D คือการตอบสนองของพวกเรา เพราะเรามักเห็นหนังวัยรุ่นที่ตั้งตัวเป็นแก๊งค์ทำเรื่องอาชญากรรม ผมคิดว่ามันถึงเวลาทำอะไรในแง่บวกบ้าง ผมชอบหนังเต้นฮอลลิวู้ดในยุค 80 ไม่ว่าจะเป็น Flashdance, Dirty Dancing หรือ Footloose ผมคิดว่ามันคงเป็นเรื่องดีในการจับเอามนต์เสน่ห์ และความรู้สึกจากหนังคลาสสิกเหล่านั้นมาใช้ในหนังของพวกเรา" ริชาร์ดสัน เล่าต่อว่า "ผมได้ออกค้นหากลุ่มนักเต้นที่มีพรสวรรค์ และกลายเป็นว่าประเทศอังกฤษมีทีมเต้นที่เก่งที่สุดในโลก แต่ผมก็ต้องการสร้างโลกของสตรีทแด๊นซ์ที่มีความท้าทาย มันต้องมีการผสมผสานจากทุกศาสตร์การเต้น การเต้นร่วมสมัย คลาสสิก และบนท้องถนน จะเป็นยังไงถ้าการเต้นเหล่านี้มารวมตัวกัน พวกเขาจะรับมือยังไง พวกเขาจะเต้นยังไง เมื่อการเต้นคลาสสิกของ เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ ถูกนำเสนอโดยนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ วัฒนธรรมที่ถูกผสานเข้าด้วยกันแบบนี้ต้องเป็นเรื่องที่น่าสนใจแน่ๆ" ระหว่างการค้นหาข้อมูล ริชาร์ดสัน ได้พบว่า ตัวเองซึมซับวัฒนธรรมการเต้นแบบไม่รู้ตัว "ผมถูกเชิญให้เป็นกรรมการตัดสินในการแข่งขัน UK สตรีทแด๊นซ์ ทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเต้นด้วยซ้ำ (หัวเราะ) แต่ผมรู้สึกทึ่งในความสามารถที่เห็น และนั้นก็ทำให้ผมได้พบกับทีมเต้น Diversity และ Flawless ก่อนที่พวกเขาจะไปร่วมแข่งขันใน Britain’s Got Talent ซะอีก" โดยทีมทั้งสองถือเป็นไฮไลท์ในซีซั่นที่ 3 ของรายการ Britain’s Got Talent ที่มีเรทติ้งดีที่สุดบนเกาะอังกฤษ โดย ริชาร์ดสัน เล่าด้วยความกระตือรือล้นว่า "ทุกคนตื่นเต้นเกี่ยวกับการเต้นบนจอภาพยนตร์ มันเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ โชคดีมากที่หนังเรื่องนี้ถือกำเนิดขึ้น" ขั้นต่อไปคือการหาคนเขียนบทภาพยนตร์ ริชาร์ดสัน ติดต่อกับ เจน อิงลิช นักเขียนบทที่ไม่เคยร่วมงานด้วยมาก่อน เขารู้ว่าเธอสามารถสื่อสารกับคนดูกลุ่มวัยรุ่นได้ "เจน ได้เขียนบทให้กับซีรี่ย์ Sugar Rush ที่ผมชื่นชอบและติดตาม พวกเราทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดในการพัฒนาบทและตัวละครกว่า 8 เดือน พวกเราสร้างตัวละครให้กับ จอร์จ แซมสัน โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นคนที่ชนะรายการ Britain’s Got Talent ในซีซั่นที่สอง พวกเราต้องการให้เขาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้" ริชาร์ดสัน ต้องการสร้าง StreetDance ให้หนังเป็นสามมิติตั้งแต่เริ่มแรก ถึงแม้เป็นสิ่งที่หนังจากประเทศอังกฤษไม่เคยทำมาก่อน เขาเล่าว่า "อัลเลน นิโบล เพื่อผู้อำนวยการสร้างร่วม และผมคุยกันเกี่ยวกับการสร้างหนังสามมิติมานาน พวกเรามีแนวทางที่ชัดเจนตั้งแต่แรก พวกเราติดต่อกับทีมเอฟเฟ็คที่สร้าง My Bloody Valentine 3D เมื่อเราพูดถึงโปรเจ็คนี้ พวกเขาก็กระโจนเข้าหาทันที" การทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสามมิติ ถือเป็นสิ่งที่ท้าทายและเป็นการเข็นครกขึ้นภูเขา ริชาร์ดสัน เล่าว่า "พวกเราคือหนังเรื่องแรกนอกฮอลลิวู้ดที่ถ่ายทำในระบบสามมิติทั้งหมด นั้นถือเป็นความท้าทาย คุณต้องคิดเรื่องการออกแบบท่าเต้นเพื่อสอดคล้องกับะบบสามมิติ มีหลายสิ่งที่ไม่สามารถใช้ในการถ่ายแบบสามมิติได้ เมื่อมีอะไรก็ตามที่พุ่งเข้ามาหาคุณ มันก็ต้องมีค่าใช้จ่าย แต่ผมว่ามันก็คุ้มทุกบาททุกสตางค์" เมื่อบทภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์ และทีมงาน Paradise FX ตกลงที่จะร่วมทำงาน ริชาร์ดสัน ก็เริ่มออกตาหาผู้กำกับ ซึ่งกลายเป็นงานที่ลำบากกว่าที่คิด "พวกเราใช้เวลานานพอสมควรในการเลือกผู้กำกับ เพราะว่าเราต้องการหาใครบางคนที่เข้าใจในการเต้น และรู้ว่าจะถ่ายทอดมันให้ออกมามีพลังได้ยังไง พวกเราได้ออกตามหาผู้กำกับทั่วประเทศ" ริชาร์ดสัน เล่าต่อว่า "ในที่สุดเราก็พบกับ แม็กซ์ และ ดาเนีย และพวกเขากลายเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง พวกเขาเข้าใจวิธีการสร้างบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังค์ พวกเขาต้องการทำให้ทุกอย่างมีสีสันฉูดฉาดและเสริมสร้างกำลังใจ นี่คือภาพยนตร์เรื่องแรกของพวกเขา และมันก็เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ เราคิดไม่ผิดจริงๆ" แม๊กซ์ กิวา และ ดาเนีย พาสควินิ ทำงานร่วมกันในผลงานมิวสิควิดีโอมากว่า 15 ปี เคยทำงานร่วมกับศิลปินชื่อดังในประเทศอย่าง วง Girls Aloud, วง Oasis และ โซฟี เอลลิส-เบ็กซ์เตอร์ และพวกเขาก็ตื่นเต้นกับการกำกับหนังครั้งแรกมาก ถึงแม้ว่าจะมีความกังวลอยู่บ้างก็ตาม ดาเนีย สารภาพว่า "พวกเรารู้สึกตื่นเต้น แต่พวกเราต้องการทำในสิ่งที่เราทำในเส้นทางนี้มาโดยตลอด" แม๊กซ์ เห็นด้วยกับคู่หู เขาเล่าว่า "พวกเราได้รับโทรศัพท์จาก เจมส์ เขาบอกว่ารู้สึกตื่นเต้นกับมิวสิควิดีโอของพวกเรา จากนั้นเขาส่งบทภาพยนตร์มาและได้พูดคุยกัน จากนั้นเราก็ได้รับหน้าที่กำกับ ผมแทบไม่เชื่อเลย เห็นได้ชัดว่าเรามีประสบการณ์ในเส้นทางมิวสิควิดีโอ ดังนั้นเราจึงมั่นใจว่าจะทำได้ดี แต่มันก็มีอีกหลายอย่างที่ถือเป็นสิ่งใหม่สำหรับพวกเรา" ชาร์ลอต แลมพลิง ที่รับบทเป็น เฮเลน่า ครูสอนเต้น พูดถึงผู้กำกับว่า "ฉันชอบทำงานกับผู้กำกับสองคน เพราะว่าคุณต้องมีความเอาใจใส่เป็นสองเท่า พวกเขาทำงานเข้าขากันอย่างน่าทึ่ง" ในขณะที่ ริชาร์ดสัน ก็เห็นด้วยกับทิศทางของหนังที่ผู้กำกับต้องการ "สิ่งแรกที่พวกเขาตกลงกับผมคือ พวกเราไม่ต้องการให้หนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดิ้นรนของเด็กวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องแก๊งค์หรือยาเสพติด เพราะจริงๆแล้วนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ที่ผมรู้จักไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับโลกนั้นเลย" ริชาร์ดสัน อธิบายต่อว่า "หนังอังกฤษส่วนมากให้ความสนใจไปที่โลกด้านมืด ความโหดร้ายของวัยรุ่นอังกฤษ ผมไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาไม่มองถึงด้านที่สดใส มันเป็นเรื่องที่ซ้ำซากในทึกทักเอาว่า เด็กตามท้องถนนจะต้องเกี่ยวพันกับแก๊งค์เสมอ มันน่าสนใจกว่าในการให้ความสนใจไปที่การสร้างสรรค์ท่าเต้น" การคัดเลือกนักแสดง ผู้กำกับมิวสิควิดีโอ แม็กซ์ และ ดาเนีย เคยทำงานร่วมกับนักเต้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดมาแล้วทั่วอังกฤษ และพวกเขาก็นำเอาประสบการณ์และผู้ที่เคยร่วมงานกันมาเข้ามาสู่ StreetDance 3D แม๊กซ์ เล่าถึงการคัดเลือกนักแสดงว่า “บรรยากาศในกองถ่ายยอดเยี่ยม พวกเรารู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ไม่ใช่ว่าคนที่เรารู้จักจะสามารถเข้ามาร่วมงานได้เลย พวกเรามีการคัดเลือกนักแสดงกันอย่างจริงจัง พวกเราสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อเสาะหานักเต้นที่เก่งที่สุด สุดท้ายแล้วก็มีคนที่เข้ามาคัดตัวกว่า 100 คน จากเมืองแมนเชสเตอร์, เบอร์มิงแฮม และกลาสโกว์ จากนั้นพวกเราก็เอาคนมีแววไปทดสอบอีกทีที่กรุงลอนดอน มันเป็นการคัดเลือกนักแสดงที่ทรหดมาก ไม่เพียงแต่คุณต้องเป็นนักเต้นที่เก่งเท่านั้น แต่คุณต้องมีความสามารถทางการแสดงด้วย" ดาเนีย เล่าต่อว่า "กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาอยู่หลายอาทิตย์ แต่มีหลายคนที่เราคัดตัวเป็นกรณีพิเศษ เพราะเราต้องการเธอมาก อย่างเช่น สเตฟ เหงียน ที่รับบทเป็น สเตฟ ในภาพยนตร์ ในชีวิตจริงเธอก็คือแชมป์เต้นบี-บอย เธอชนะการแข่งขันการเต้นสตรีทแด๊นซ์ระดับโลก จัสด์ ดูบัวร์ ที่กรุงปารีส เธอเอาชนะทุกคนรวมถึงผู้ชายเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเรารู้สึกทึ่ง" ผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ดสัน ยอมรับว่า ความท้าทายในการคัดเลือกตัวนักแสดงก็คือ การหานักแสดงที่เข้ามารับบทนำ คาร์ลี่ย์ "ผมเคยดู นิโคล่า เบอร์ลี่ย์ ในหนังเรื่องแรกของเธอ Love + Hate ในปี 2005 ผมจำได้ว่าเธอขโมยซีนแทบทุกฉาก และผมก็อยากหาโปรเจ็คที่จะได้ร่วมงานกับเธอ ด้วยความบังเอิญ คนแคสติ้งของพวกเรา แกรี่ เดวี่ย์ แนะนำเธอสำหรับบทนำใน StreetDance ผมรู้ว่าเธอแสดงหนังได้ แต่ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอสามารถเต้นได้ด้วย เคนดริค แซนดี้ นักออกแบบท่าเต้น ทำให้เธอต้องทุ่มเทอย่างหนัก" เบอร์ลี่ย์ ยอมรับว่า ตอนคัดตัวเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก "ฉันเคยทดสอบหน้ากล้องมาก่อน การการทดสอบหน้ากล้องของ StreetDance 3D ทำให้ฉันรู้สึกทึ่งไปเลย มันเป็นเรื่องที่น่ากลัว เพราะฉันต้องเต้นเคียงข้างกับพวกเขาในการคัดตัว ฉันเคยเต้นมาตั้งแต่เด็ก ฉันฝึกเต้นในแนวบัลเล่ต์ ร่วมสมัย และแจ๊ซ ฉันรู้ว่าทุกอย่างเกี่ยวกับการรั้งตัวเอาไว้ การเคลื่อนไหวการเต้นร่วมสมัยจะมีความลื่นไหลและสอดคล้องกัน ในขณะที่การเต้นสตรีทแด๊นซ์มีความเข้มแข็ง คุณต้องมีการรักษาความสมดุลของร่างกายให้ได้" ริชาร์ดสัน เล่าว่า สิ่งที่ดีที่สุดเกี่ยวกับภาพยนตร์ก็คือ การคัดเลือกนักแสดงที่เปิดโอกาสให้กับดาวที่ยังไม่ถูกค้นพบ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกทึ่งและแปลกใจ "ในช่วงระหว่างการแคสติ้งพวกเราจะคอยเพิ่มตัวละครเข้ามาในหนัง เพราะมีหลายคนที่พวกเราต้องการแต่ไม่มีบทที่เหมาะสมให้ จอร์จ แซมสัน เป็นหนึ่งในนนั้น และเรายังเพิ่มตัวละครอย่าง อิซาเบลล่า ให้กับ เรเชล แม็คโดเวลล์ และ สเตฟ ให้กับ สเตฟ เหงียน" StreetDance 3D ยังมีบทบาทที่สำคัญให้กับทีมเต้น Flawless ที่รับบทเป็นทีมเต้น The Surge คู่แข่งคนสำคัญของทีมเต้น โดย คาร์ลี่ย์ มาร์ลอน "สวูซ" วัลเลน หนึ่งในสมาชิกทีมเล่าว่า "เจมส์ เข้ามาหาพวกเราเพื่อต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับโลกของการเต้นในประเทศอังกฤษ เขาถามว่าการแข่งขันเกิดขึ้นในรูปแบบไหน และพวกเราต้องทำยังไง ในที่สุดเขาก็ขอให้พวกเราเข้ามารับบทเป็นหนึ่งในทีมเต้นในหนัง พวกเรารู้สึกยินดีและตื่นเต้นมาก" หลังจากการคัดเลือกนักแสดงแสนทรหด ริชาร์ดสัน น่าจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเต้นสตรีทแด๊นซ์ไปแล้ว แต่เขาสารภาพว่า "ไม่เลย (หัวเราะ) จริงๆแล้วการที่ผมออกไปท่องตามคลับเหล่านี้ เป็นเรื่องที่น่าอับอายที่สุดในโลก มันไม่เหมือนกับการออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ พวกเขาคือกลุ่มนักเต้นที่ดีที่สุดในยุโรป มันน่าอายมากๆ" ทีมนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ นิโคล่า เบอร์ลี่ย์ รับบทเป็น คาร์ลี่ย์ นางเอกและหัวหน้าทีมสตรีทแด๊นซ์ ที่ต้องร่วมมือกับนักเต้นบัลเล่ต์เพื่อเอาชนะการแข่งขันสตรีทแด๊นซ์ระดับประเทศ เบอร์ลี่ย์ เล่าถึงตัวละครของเธอว่า "คาร์ลี่ย์ เป็นผู้หญิงที่น่ารัก เธอมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาการเต้น เธอได้รับความท้าทายตลอดทั้งเรื่อง และรู้สึกตื่นเต้นกับการที่เธอต้องเอาชนะอุปสรรค" เธอเล่าต่อว่า "ส่วนตัวแล้วฉันคิดว่ามันคงเป็นเรื่องยาก ที่จะสอนให้นักบัลเล่ต์เต้นสตรีทแด๊นซ์ แต่เธอมีความเข้มแข็งกว่าที่ตัวเองคิด เธอต้องการกำลังใจในการปลดปล่อยความสามารถออกมา และเมื่อเธอทำได้แล้ว เธอก็กลายเป็นสิ่งที่เธอเคยฝันเอาไว้ ฉันว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการหาความเข้มแข็งภายในจิตใจ และค้นหาว่าแท้จริงแล้วตัวเองคือใคร" เพื่อนสนิทของ คาร์ลี่ย์ คือ ชอว์น่า รับบทโดย เทเนียช่า บอนเนอร์ เธอเล่าถึงตัวละครนี้ว่า "ชอว์น่า เป็นคนพูดมาก งานประจำของเธอคือช่างทำผม เธอเป็นคนตรงและชอบทำตัวเซ็กซี่ เธอพูดในสิ่งที่คิด เธอมีสีสันสดใสและชอบใส่ตุ้มหูอันใหญ่ เธอมีวิกสำหรับทุกวัน ฉันต้องสวมวิก 8-10 อันในเรื่องนี้ มันสนุกที่ได้แสดงตัวละครอย่างเธอ" แบรดลี่ย์ ชาร์ลส์ รับบทเป็น แฟรงกี้ และยังควบตำแหน่งเป็นผู้ช่วยออกแบบท่าเต้นกับ เคนดริก แซนดี้ เขาเล่าว่า "เคน และผมเป็นคนควบคุมการคัดเลือกนักแสดง เมื่อพวกเขาเห็นผมเต้นก็เลยขอให้ผมลองทดสอบบทดูบ้าง หลังจากนั้นพวกเขาก็เสนอให้บทนี้กับผม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะโชคชะตาจริงๆ" แฟรงกี้ เป็นตัวละครที่มีความจริงจังกว่าคนอื่น เขารู้สึกที่ไม่ยินดีที่ เจย์ ออกไปจากทีม และไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆกับ คาร์ลี่ย์ สำหรับการที่เธอเป็นหัวหน้าทีมคนใหม่ ชาร์ลส์ เล่าว่า "เขารู้สึกว่าตัวเองต่างหากที่ควรเป็นหัวหน้าคนใหม่ แต่เขาเป็นคนที่ทะเยอทะยานและกลับมาสู่ทีมในภายหลัง เพราะเขาต้องการเอาชนะการแข่งขัน" แฟนของ แฟรงกี้ คือ สเตฟ ตัวละครที่สร้างโดยเฉพาะให้กับนักเต้นบีบอยสาวชื่อดัง สเตฟ เหงียน เธอเล่าว่า "ตัวละครนี้คือตัวตนที่แท้จริงของฉัน ถึงแม้เครื่องแต่งกายจะดูเซ็กซี่มากกว่าที่ฉันใส่ตามปกติ (หัวเราะ) ฉันต้องการเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ เพราะว่าการเต้นคือชีวิตของฉัน แค่นั้นเอง" ในขณะที่ผู้ชนะเลิศ Britain’s Got Talent ซีซั่นที่สอง จอร์จ แซมสัน ได้รับบทเป็น เอ็ดดี้ ที่สร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะเช่นกัน "เอ็ดดี้ ก็เป็นเหมือนผม เป็นคนขี้เล่นและอยากเป็นสมาชิกทีมของ คาร์ลี่ย์ เขายังแอบปิ๊งเธอด้วย แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามขนาดไหน เธอก็ตอบปฏิเสสธตลอดเวลา" แต่อย่ากลัวไป เอ็ดดี้ ก็มีโอกาสฉายแสงบนเวทีเต้น "ถึงแม้ว่าเขาจะมีโอกาสไม่มาก แต่เมื่อโอกาสมาถึงเขาก็ปล่อยของอย่างเต็มที่" แซมสัน เคยทำงานร่วมกับสองผู้กำกับมาแล้ว และเขารู้สึกเหมือนอยู่บ้าน "แม็กซ์ และ ดาเนีย กำกับมิวสิควิดีโอของผม Headz Up ในปีที่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกผมไปทดสอบหน้ากล้อง เพื่อลองดูว่าผมสามารถแสดงหนังได้ไหม โชคดีที่พวกเขาคิดว่าผมทำได้ (หัวเราะ) นี่คือหนังเรื่องแรกของผม และผมก็อยากแสดงเรื่องต่อๆไป ผมรู้สึกตื่นเต้นในการได้มีส่วนร่วมกับหนังเต้นเรื่องแรกของอังกฤษ" ทีมนักเต้นบัลเล่ต์ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนบัลเล่ต์ เฮเลน่า ที่แสดงโดย ชาร์ลอต แลมพลิง ถือเป็นบทบาทสำคัญในหนัง "ถ้าตัวละครของฉันไม่มีแนวคิด เรื่องการนำบัลเล่ต์และสตรีทแด๊นซ์รวมเข้าด้วยกัน เรื่องราวนี้ก็คงจะไม่มีวันเกิดขึ้น เฮเลน่า เห็นบางอย่างในตัว คาร์ลี่ย์ จิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของเธอกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น" หลายคนคงแปลกใจเมื่อเห็นชื่อนักแสดงอย่าง แลมพลิง ในหนังเต้น แต่เธอก็เชื่อว่าตัวเองเหมาะสมกับบทนี้ที่สุด "ฉันรู้สึกยินดีที่ได้มีส่วมร่วมในหนังเรื่องนี้ เพราะว่าฉันรักการเต้น ถึงแม้ว่าฉันไม่เคยเต้นเป็นอาชีพ แต่มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีในการสร้างความแปลกใจให้กับคนที่คิดว่าฉันคงไม่ทำแน่ๆ ฉันชอบสังสรรค์กับนักเต้นวัยรุ่น เพราะในชีวิตจริงฉันคงไม่ได้พบพวกเขา ฉันชอบหนังที่แสดงให้เห็นว่าวัยรุ่นสมัยนี้พยายามอย่างหนักในสิ่งที่นัก มันแสดงให้เห็นว่าถ้าคุณพยายามและมีแรงใจ คุณก็สามารถทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อได้" โทมัส คือนักเรียนบัลเล่ต์ที่มีเสน่ห์และเต้นเก่งที่สุดในสถาบัน โดย ริชาร์ด วินเซอร์ ผู้รับบท เล่าถึงตัวละครว่า "เขาคือคนที่ได้รับความนิยมในแวดวงของนักบัลเล่ต์ แต่เขาถูกดึงลงจากบัลลังก์เมื่อทีมเต้นสตรีทแด๊นซ์เข้ามาในสตูดิโอ เขาไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในตอนแรก แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มที่เห็นความสามารถ และความเป็นธรรมชาติของนักเต้นสตรีทแด๊นซ์” แน่นอนที่ โทมัส เกี่ยวข้องกับเรื่องราวของความรักที่เป็นหัวใจของภาพยนตร์ วินเซอร์ อธิบายพร้อมรอยยิ้ม "ใช่ครับ เขาตกหลุมรัก คาร์ลี่ย์ นั้นคือสิ่งที่ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กับเขา" เหมือนกับนักแสดงทุกคน วินเซอร์ ต้องผ่านการทดสอบบทอันแสนทรหด "ผมกำลังเต้นอยู่ในละครเวที ดอเรียน เกรย์ กับคณะของ แมทธิว บอร์น พวกเราต้องออกทัวร์ไปทั่วประเทศ และไปเปิดการแสดงในต่างประเทศ เช่น โรม และ มอสโคว์ แต่ทันทีผมถูกเรียกตัวไปที่ลอนดอน ผมก็รีบบึ่งไปทันทีเลย นี่คือโปรเจ็คที่ผมรู้สึกตื่นเต้นในการได้มีส่วนร่วม" เรเชล แม็คโดเวลล์ เข้ามาร่วมแสดงกับ วินเซอร์ เพื่อรับบทเป็นหนึ่งนักเต้นบัลเล่ต์ "อิซาเบลล่า เป็นตัวอิจฉาที่เผอิญเต้นบัลเล่ต์ได้ (หัวเราะ) เธอมีลูกน้องสองคนก็คือ โคลอี้ (รับบทโดย เซียนาด เกรกอรี่) ที่ดูถูกเหยียดหยามนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ และ เบ็ก ที่เป็นผู้หญิงใจดีและไร้เดียงสา" อิซาเบลล่า ได้รับข่าวร้าย เมื่อโอกาสในการคัดตัวเพื่ออยู่ในคณะเต้น เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ ต้องลดน้อยลง "ฉันสูงหกฟุต และในเรื่องนั้น อิซาเบลล่า พบว่าตัวเองไม่สามารถเข้าคัดตัวเหมือนคนอื่นเพราะเธอสูงเกินไป เธอรู้ดีว่าไม่เร็วก็ช้ามันต้องเกิดขึ้น เพราะเธอไม่สามารถหาคู่เต้นที่สูงทัดเทียมเธอได้ แต่บัลเล่ต์เป็นสิ่งเดียวที่รู้จักเพราะเธอฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อสตรีทแด๊นซ์เข้ามาก็ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอก็เริ่มเปลี่ยนความคิด และพบว่าบัลเล่ต์ไม่ใช่ศาสตร์การเต้นเดียวในโลก" เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับ อิซาเบลล่า ยังสะท้อนถึงชีวิตจริงของ แม็คโดเวลล์ "มันเคยเกิดขึ้นกับฉันในสมัยเด็ก ฉันฝึกฝนบัลเล่ต์มาถึงจุดที่ตัวเองเข้าคัดตัวเพื่อเรียนใน เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ ตอนอายุ 11 แต่พวกเขาบอกว่าฉันมีรูปร่างที่สูงเกินไปสำหรับนักบัลเล่ต์ มันทำให้ฉันเสียใจมาก แต่พอผ่านไปฉันก็สามารถทำใจได้" นักแสดงชาวสก็อต เจนนิเฟอร์ เหลียง รับบทเป็น เบ็ค ที่ต้องคอยรับความกดดันในทัศนคติอันย่ำแย่ของ อิซาเบลล่า และ โคลอี้ เธอเป็นคนที่ยินดีต้อนรับในการมาของนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ "เบ็ค ใช้ชีวิตหายใจเข้าออกเป็นบัลเล่ต์ นั้นคือสิ่งเดียวที่เธอรู้จัก แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าเธอต่อต้านนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ เธอเข้าใจแนวคิดของ เฮเลน่า และมันก็เปลี่ยนชีวิตเธอเพราะเธอเป็นคนไร้เดียงสา เธอไม่เคยไปเที่ยวกลางคืน และเมื่อนักเต้นสตรีทแด๊นซ์เข้ามาในชีวิต โลกทัศน์ของเธอก็ถูกเปิดให้กว้างขึ้น" การออกแบบท่าเต้น ผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ดสัน เล่าว่า "ผมเคยดู เคท ปรินซ์ ในโชว์ของเธอที่ชื่อ Into The Hoods ผมชอบมันมากและต้องการพบกับเธอและ เคนดริก แซนดี้ ที่เคยได้รับรางวัล โอลิเวียร์ และเคยชนะเลิศรางวัลเต้นสตรีทแด๊นซ์ของอังกฤษ และยังเป็นคนก่อตั้งทีมเต้น Boy Blue ผมจึงต้องการให้ เคนดริก ออกแบบท่าเต้นให้ ในขณะที่ส่วนของบัลเล่ต์ก็ดูแลโดย วิล ทัคเก็ตต์ นักบัลเล่ต์ชื่อดัง โดยเขาเป็นที่รู้จักในการร่วมทำงานกับ เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ และยังรวมถึงตัว เคท เองด้วย ที่ช่วยออกแบบฉากไคลแม๊กซ์ที่การเต้นสองแบบรวมเป็นหนึ่ง" เคท ปรินซ์ คือผู้ก่อตั้งทีมเต้น ZooNation และเป็นผู้ออกแบบการเต้นให้กับรายการชื่อดังอย่าง So You Think You Can Dance เธอรู้ว่าการทำงานในภาพยนตร์เรื่องแรกจะต้องมีความท้าทายและน่าตื่นเต้น "การทำงานกับนักแสดงที่ไม่ใช่นักเต้นมืออาชีพถือเป็นเรื่องท้าทาย และการถ่ายทำในระบบสามมิติก็เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน ฉันต้องคิดถึงมุมมองในการถ่ายทำ และสิ่งที่ต้องเคลื่อนไหวเพื่อทำให้ฉากสามมิติมีประสิทธิภาพมากที่สุด" เคนดริก แซนดี้ เป็นผู้ก่อตั้ง Boy Blue Entertainment ในปี 2001 พร้อมกับเพื่อนของเขา ไมกี้ อาซานเต้ พวกเขาพบว่ามีคลื่นใต้น้ำที่รุนแรงในโลกแห่งการเต้นของลอนดอน "มันไม่เกี่ยวกับการตั้งบริษัทเพื่อหาผลประโยชน์ มันเหมือนกับเป็นการเปิดโอกาสที่จะแสดงความรักของเราในการเต้น และความรักของคนอื่นในการเต้น" ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แซนดี้ ได้เห็นสตรีทแด๊นซ์ที่เปลี่ยนชีวิตของวัยรุ่นหนุ่มสาวที่เขาทำงานด้วย เขาเล่าถึงความสำคัญของการเต้นว่า "การเต้นทำให้ผู้คนแสดงความแข็งแกร่ง ไม่ว่าคนจะเต้นเพื่อเป็นอาชีพหรือว่าเป็นงานอดิเรก พวกเขาได้ปลดเปลื้องหลักแห่งการใช้ชีวิต และเพิ่มพูนความเชื่อมั่นของตัวเองจากการเต้น พวกเขาสามารถรับทำสิ่งอื่นในชีวิต พวกเราต้องการแสดงให้คนเห็นว่า มันโอเคที่จะแสดงออกและปล่อยให้ตัวเองทำตามใจสั่ง" แซนดี้ รู้สึกตื่นเต้นไปกับโปรเจ็คนี้ ทันทีที่ เจมส์ ริชาร์ดสัน เข้ามาหาเขาพร้อมกับแนวคิดนี้ "นี่คือหนังเต้นเรื่องแรกของประเทศอังกฤษ ฮอลลิวู้ดมีหนังเต้นมาเยอะแล้ว สำหรับผมแล้วพวกเรากำลังสร้างประวัติศาสตร์ มันเป็นโอกาสของพวกเราที่จะแสดงให้เห็นสไตล์การเต้นต่างๆที่มีพื้นฐานมาจากแหล่งเดียวกัน เมื่อพูดถึงสตรีทแด๊นซ์ คุณก็จะคิดถึงเด็กวัยรุ่นตามท้องถนน เมื่อพูดถึงบัลเล่ต์ คุณก็จะคิดถึงสังคมชั้นสูง แต่ท้ายที่สุดแล้วการเต้นก็คือการเต้น มันเกี่ยวกับการทำลายกำแพงขวางกั้นระหว่างสไตล์การเต้น" แซนดี้ ยอมรับว่า เขารู้สึกกังวลในการทำงานร่วมกับ นิโคล่า เบอร์ลี่ย์ ที่ไม่เคยเต้นสตรีทแด๊นซ์มาก่อน "ผมคิดว่านี่คือการเสี่ยงดวงครั้งใหญ่ เพราะเธอควรจะต้องเป็นคนที่เก่งที่สุดในทีม ผมบอกให้เธอมาเรียนเต้นกับผมก่อนที่จะฝึกซ้อมจริง เธอมาตลอด ฝึกร่วมกับทีมต้น Boy Blue อยู่ด้านหลัง ผมยังให้เธอร่วมการแสดงกับพวกเราที่ แฮ๊คนี่ย์ เอ็มไพร์ เพราะผมต้องการให้เธอเข้าใจถึงการแสดงต่อหน้าผู้ชม" เขาเล่าต่อว่า "นิโคล่า มีความกดดันเพราะว่าเธอคือนักแสดงนำ เธอกลัวว่าจะทำให้ทุกคนผิดหวัง มันมีบางเวลาที่เธอรู้สึกท้อแท้และร้องไห้ แต่ผมก็บอกเธอให้หยุดร้องไห้ เธอคือดารานำ ถึงแม้ว่าเธออยู่ในช่วงต่ำที่สุด ทีมก็ไม่สามารถเห็นเธอแบบนี้ได้ ผมพูดกับเธอตลอดเวลา จนเมื่อถึงที่สุดแล้ว ผู้คนจะรู้สึกแปลกใจเมื่อรู้ว่าเธอไม่มีประสบการณ์เต้นมาก่อน ผมรู้สึกภูมิใจในตัวเธอ" สำหรับ ทัคเก็ตต์ แล้ว ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ การทำงานกับนักเต้นที่ไม่มีประสบการณ์เต้นแนวคลาสสิก "พวกเขาคือนักเต้นที่เก่ง แต่เก่งเฉพาะการเต้นร่วมสมัย ถึงแม้ทุกคนจะมีพื้นฐานของการเต้น แต่พวกเขาจะหน้าเขียวทุกทีที่ผมสั่งให้ยืนบนนิ้วเท้า (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องท้าทายสำหรับพวกเขา แต่ผมไม่ต้องการคนที่เต้นบัลเล่ต์ดูหนังเรื่องนี้ แล้วบอกได้ว่าพวกเขาเต้นบัลเล่ต์ไม่เป็น" เขาเล่าต่อว่า "การฝึกซ้อมเป็นไปอย่างเข้มข้น เพราะพวกเขาต้องเรียนเต้นสตรีทแด๊นซ์ในเวลาเดียวกัน แน่นอนที่มันมีฉากเต้นสตรีทแด๊นซ์มากกว่าบัลเล่ต์ แต่ผมก็ต้องการให้พวกเขาดูน่าเชื่อถือในฉากเต้นคลาสสิก ในตอนสุดท้ายแล้ว ผมรู้สึกภูมิใจในตัวพวกเขาที่ทำงานกันอย่างหนัก ผมคิดว่าคนดูทุกคนจะเชื่อว่าเขาคือนักเต้นบัลเล่ต์จริงๆ" ทัคเก็ตต์ เคยทำงานร่วมกับนักเต้นบัลเล่ต์ที่เก่งที่สุดในโลก แต่เขายังรู้สึกทึ่งเมื่อได้เห็นสิ่งที่นักเต้นสตรีทแด๊นซ์ทำ "ผมมีอาชีพเป็นนักเต้นมานาน มันเป็นเรื่องยากที่จะเกิดรอยยิ้มขณะที่คุณดูคนอื่นเต้น พวกเขาทำได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทุกการเคลื่อนไหวที่ทรงพลังและเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา" และเมื่อถูกถามว่าเขาจะลองเต้นสตรีทแด๊นซ์ดูบ้างไหม ทัคเก็ตต์ ตอบว่า "ผมอยากลองดู แต่อายุผมเลย 40 ไปแล้ว มันคงถึงเวลาที่ผมต้องหยุดการทรมานตัวเองซะที (หัวเราะ)" ริชาร์ด วินเซอร์ ผู้รับบทเป็นนักเต้นบัลเล่ต์มือหนึ่ง โทมัส รู้สึกตื่นเต้นกับการเรียนท่าเต้นจากสองสไตล์ "ผมฝึกบัลเล่ต์อย่างหนักมาโดยตลอด แต่ผมไม่เคยเต้นบัลเล่ต์คลาสสิกเป็นอาชีพ ดังนั้นในการกลับไปหามันก็เป็นเรื่องที่ท้าทาย การทำงานกับ วิล ทัคเก็ตต์ ยอดเยี่ยมมาก มันเป็นงานที่หนัก เพราะบัลเล่ต์ขึ้นอยู่กับระเบียบวินัย มันเป็นความท้าทายในการแสดงให้เห็นถึงความสง่างาม แน่นอนว่าทุกอย่างกลับด้านเมื่อคุณต้องเรียนสตรีทแด๊นซ์" วินเซอร์ เล่าถึงการเรียนซ้อมเต้นสตรีทแด๊นซ์ว่า "แน่นอนครับ มีฉากที่ผมต้องเต้นสตรีทแด๊นซ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต (หัวเราะ) ความจริงแล้วมันทำให้ผมมีแรงจูงใจ เพลงช่วยให้ผมมีอารมณ์ร่วม แน่นอนที่ผมไม่ใช่นักเต้นสตรีทแด๊นซ์ แต่ผมเข้าใจว่าทำไมผู้คนถึงหลงรักมัน การทำงานในเรื่องนี้เปลี่ยนมุมมองผมต่อโลกของสตรีทแด๊นซ์ ผมชอบดูการเต้นของ Diversity และ Flawless แต่การได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง และเรียนรู้เกี่ยวกับท่าทางและประวัติศาสตร์ความเป็นมา มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ" เรเชล แม็คโดเวลล์ รับบทเป็นนักบัลเล่ต์จอมอิจฉา อิซาเบลล่า รู้สึกตื่นตะหนกเมื่อเธอต้องกลับไปสวมชุดแนบเนื้อเพื่อเต้นบัลเล่ต์อีกครั้ง "ฉันรู้สึกกังวลเพราะตัวเองไม่ได้เต้นบัลเล่ต์มาถึง 6 ปี ตั้งแต่ออกจากมหาวิทยาลัย ฉันรู้สึกช็อคไปเลยเมื่อต้องเดินเข้าไปซ้อม ฉันคิดกับตัวเองว่าทำไมต้องหาเรื่องใส่ตัวด้วย" อย่างไรก็ตาม นั้นไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายที่สุด เธอเล่าต่อว่า "พวกเราต้องซ้อมกันตั้งแต่ 9 โมงเช้าของทุกวัน หลังจากวันแรกที่เราฝึกซ้อม ฉันรู้สึกว่ากล้ามเนื้อตายด้านไปหมดทุกส่วน บางครั้งฉันอยากร้องไห้จริงๆเลย" เจนนิเฟอร์ เหลียง ที่รับบทเป็นนักบัลเล่ต์อีกคน เบ็ค ก็เห็นด้วย "ฉันรู้สึกอยากร้องไห้ตลอดเวลา วิล ทัคเก็ตต์ ทำงานร่วมกับ เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ เขาเข้มงวดเหมือนพวกเรากำลังอยู่ในค่ายทหารสำหรับบัลเล่ต์ แต่มันก็เป็นเรื่องดีที่เขาเข้มงวด เพราะว่านั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับนักบัลเล่ต์ พวกเรารู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินจากปาก วิล ว่า พวกเราเหมือนกับนักเต้นบัลเล่ต์มืออาชีพในตอนสุดท้าย" เหลียง ยอมรับว่า เธอรู้สึกประทับใจกับความทุ่มเทของนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ "สตรีทแด๊นซ์เป็นเรื่องของการใช้เทคนิก มันคล้ายกับบัลเล่ต์มากกว่าที่คุณคิด การเต้นทั้งสองแบบขึ้นอยู่กับวินัยและความแข็งแกร่ง นักเต้นสตรีทแด๊นซ์ออกกำลังกาย และฝึกฝนในระหว่างเทคตลอดเวลา ในขณะที่ฉัน เซียนาด และ ราเชล นั่งอยู่ในกองถ่ายดื่มน้ำชาและทานบิสกิต (หัวเราะ)" การนำ StreetDance ไปสู่มิติที่สาม StreetDance 3D ไม่เพียงแต่เป็นหนังเต้นเรื่องแรกของยุโรป แต่ยังเป็นหนังเต้นสามมิติเรื่องแรกของโลก แม็กซ์ เพนเนอร์ ผู้เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีสามมิติ ที่เคยทำงานให้กับ My Bloody Valentine 3D และ The Hole 3D ของผู้กำกับ โจ ดันเต้ เล่าถึงความนิยมของหนังสามมิติที่กลับมามีบทบาทในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ปัจจุบัน "ผมไม่คิดว่าสามมิติเป็นการปฏิวัติ แต่มันเป็นวิวัฒนาการ และตอนนี้เราก็มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการทำให้ทุกอย่างเป็นสามมิติ พวกเรามีจอดิจิตอล กล้องดิจิตอลพวกเราถ่ายทำทุกอย่างในระบบดิจิตอลที่สามารถเห็นผลได้ทันที" ผู้กำกับ แม็กซ์ และ ดาเนีย ไม่เคยทำงานร่วมกับเทคโนโลยีสามมิติมาก่อน ดาเนีย เล่าว่า "พวกเรารู้สึกตื่นเต้นไปกับมัน มันเป็นสื่อกลางที่ใหม่และจะยิ่งใหญ่ในอนาคต มันเป็นเรื่องเยี่ยมที่ได้อยู่แนวหน้าและเป็นผู้บุกเบิก พวกเราตั้งใจสร้างให้เป็นหนังสามมิติตั้งแต่เริ่มแรกที่ เจมส์ นำบทมาให้พวกเรา และนั้นก็คือเหตุผลที่เราต้องการกำกับ มันจะทำให้คุณคนดูรู้สึกเหมือนลงไปอยู่บนฟลอร์เต้นรำกับนักเต้น" สำหรับนักออกแบบท่าเต้น วิล ทัคเก็ตต์ เทคโนโลยีสามมิติทำให้เขาต้องคิดถึงเรื่องการออกแบบใหม่ทั้งหมด "มันมีฉากที่ คาร์ลี่ย์ เข้าไปในโรงละครโอเปร่าเพื่อดู โรมิโอ และ จูเลียต ปกติแล้วพวกเราจะถ่ายทำด้วยการโคลสอัพนักเต้นตลอดทั้งเวที แต่ในระบบสามมิติ มันเป็นเรื่องลำบากมากกว่า เราต้องถ่ายทำแบบจับภาพทั้งเวที ซึ่งถ้าเป็นสองมิติอาจทำให้ดูน่าเบื่อ แต่เมื่อเป็นสามมิติมันกลับกลายเป็นเรื่องมหัศจรรย์ และโชคดีที่เรามีจอสามมิติที่ดูผลงานที่เราถ่ายทำได้ทันที แม็กซ์ เป็นคนที่ยอดเยี่ยม เป็นคนอดทนและปรับให้เข้ากับข้อเรียกร้องของผม มันเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม" นักแสดงอาวุโส ชาร์ลอต แลมพลิง รู้สึกทึ่งไปกับภาพ เมื่อเธอได้เห็นฉากการเต้นในระบบสามมิติเป็นครั้งแรก "ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้แสดงในหนังสามมิติ (หัวเราะ) มันถูกทำได้อย่างละเอียดอ่อน มันเป็นประสบการณ์ในด้านภาพที่น่าประทับใจ คุณจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายนักเต้นเลย" นักเต้นสตรีทแด๊นซ์ เล็กซ์ มิลซาเร็ค ก็รู้สึกตื่นเต้นไปกับการถ่ายทำสามมิติเช่นกัน "ก่อนที่ผมจะได้รับบท ทีมสร้างได้เลือกนักเต้นมาทดลองเทคโนโลยีสามมิติ เพื่อดูก่อนว่ามันจะออกมายังไง ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และพวกเราได้รับโอกาสในการดูตัวอย่างในระบบสามมิติ มันสุดยอดมาก พวกเราแทบบกระโดดออกมานอกจอ ผมรู้สึกปลื้มใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสามมิติเรื่องแรกของอังกฤษ" ฮูโก้ คอร์เทส นักเต้นอีกคนก็เห็นด้วย "พวกเราทำลังสร้างประวัติศาสตร์ ผมได้เห็นฟุตเทจบางส่วนในระบบสามมิติ และมันก็ดูน่าเหลือเชื่อ การได้เห็นหนังเต็มคงเป็นเรื่องที่บ้ามากแน่" เครื่องแต่งกายของ StreetDance 3D นิโคล่า เบอร์ลี่ย์ เล่าถึงเครื่องแต่งกายแนวฮิปฮอปว่า "ฉันรักเครื่องแต่งกายของ คาร์ลี่ย์ มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ฉันสวมเสื้อผ้าของตัวเองไปในวันซ้อม เดนคริก ที่เป็นคนออกแบบท่าเต้นพาฉันออกไปชอปปิ้ง เขาให้ฉันซื้อชุดกีฬามากมาย ฉันไม่เข้าใจเลยเพราะฉันไม่ใช่พวกนักเต้น แต่เมื่อฉันได้สวมใส่เสื้อผ้า มันทำให้ฉันกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ฉันกลายเป็น คาร์ลี่ย์ ชุดที่เธอใส่มีความสะดวกสบายแต่ก็ยังเซ็กซี่" ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แอนดริว ค็อกซ์ อธิบายเครื่องแต่งกายของนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ว่า "น่าตื่นเต้น สนุก เซ็กซี่ เท่ และอย่างที่เด็กพูดคือ... เจ๋งเป้ง" โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจมากจากหลายแหล่ง "มันเป็นการผสมผสานเครื่องแต่งกายที่ผมเห็นจากทีมเต้น และการไปเยี่ยมชมโรงเรียน เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ รวมถึงการดูการแต่งกายของชาวลอนดอนตามท้องถนน" การออกแบบเครื่องแต่งกายต้องเป็นตัวแทนในวิวัฒนาการของตัวละคร ที่จะเปลี่ยนแปลงในระหว่างการดำเนินเรื่อง "ตั้งแต่มุมมองจากเนื้อเรื่อง นักเต้นสตรีทแด๊นซ์จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น โดยเฉพาะ คาร์ลี่ย์ ที่เริ่มควบคุมสถานการณ์ได้และมีความมั่นใจมากขึ้น ภาพลักษณ์ของเธอโดดเด่นและสว่างไสว ในขณะที่นักเต้นบัลเล่ต์เบ่งบานด้วยเครื่องแต่งกายที่งดงาม พวกเขามีความผ่อนคลายและสบายใจมากกว่าเดิม เมื่อพวกเขากลายเป็นส่วนหนึ่งในโลกของสตรีทแด๊นซ์" การทำงานร่วมกับนักเต้นสตรีทแด๊นซ์หลายคนที่ไม่เคยแสดงหนังมาก่อน ถือเป็นความท้าทายสำหรับ แอนดริว "นักแสดงส่วนมากแสดงเป็นตัวเองแต่ไม่ในฐานะตัวละคร ดังนั้นมันเป็นเรื่องท้าทายในการแต่งตัวให้เขาออกนอกระยะปลอดภัย ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับตัวละครที่กำลังแสดงมากที่สุด ในช่วงระยะสองสามอาทิตย์แรกของการถ่ายทำ เราทำให้พวกเขารู้สึกก่อนคลายกับตัวละคร ในทางกลับกัน นิโคล่า ก็เป็นนักแสดงแต่ไม่ใช่นักเต้นมืออาชีพ พวกเราต้องทำหลายอย่างในการทำให้เธอมีรูปลักษณ์สอดคล้องกับนักเต้นสตรีทแด๊นซ์มากที่สุด" เครื่องแต่งกายของ ชอว์น่า กลายเป็นเรื่องที่น่าสนุกที่สุดในกองถ่าย นักแสดงที่รับบทนี้อย่าง ทาเนียช่า บอนเนอร์ เล่าว่า "ชอว์น่า เป็นตัวละครที่น่ารัก ปกติแล้วฉันชอบแต่งชุดแนวร่วมสมัย และสวมสีดำและเทา ฉันไม่ค่อยแต่งตัวหวือหวามากนัก แต่สไตล์การแต่งตัวของ ชอว์น่า บ้ามาก และมันก็สร้างแรงบันดาลให้กับฉัน ฉันคิดว่าตัวเองคงต้องหยิบยืมบางสไตล์ของเธอมาใช้ในชีวิตจริง" แน่นอนว่านักเต้นบัลเล่ต์จะต้องมีการแต่งตัวที่แตกต่างออกไป โดยเฉพาะ ชาร์ลอต แลมพลิง ในครูสอนการเต้น เฮเลน่า ในฉากที่เธอยื่นข้อเสนอให้ทีมเต้นสตรีทแด๊นซ์ในการใช้สตูดิโอของเธอ เธออยู่ในเดรสสีดำที่งดงาม ราวกับเดินออกมาจากแคทวอล์คที่บาลาเซียก้า แต่ด้วยเงินทุนที่จำกัด แอนดริว ค็อกซ์ ก็ได้ผสมผสานกับเสื้อผ้าตามท้องถนน "คุณเชื่อไหมว่าเสื้อผ้าชุดนั้นมาจากร้านลดราคา ทีมงานเครื่องแต่งกายทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมในการดัดแปลงให้ทุกอย่างดูงดงาม" ตรงข้ามกับภาพลักษณ์ของนักเต้นบัลเล่ต์ ที่มักมีพื้นฐานครอบครัวของคนชั้นกลาง ริชาร์ด วินเซอร์ อธิบายว่า โทมัส มีเงินเพียงเล็กน้อยที่ใช้กับเครื่องแต่งกาย "เขามีเพียงกางเกงยีนส์และชุดบัลเล่ต์เท่านั้น ดังนั้นเครื่องแต่งกายของเขาจึงไม่มีสีสันอะไรฉูดฉาด แต่เขาก็มีภาพลักษณ์ที่ดูเท่และเซ็กซี่" ในฉากหนึ่งนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ได้เผชิญหน้ากับนักเต้นบัลเล่ต์ในคลับ เพื่อที่จะได้สร้างความแตกต่างในสไตล์ นักเต้นบัลเล่ต์แต่งตัวแบบไม่เหมาะสมที่สุดในคลับ วินเซอร์ เล่าว่า "พวกเราเหมือนคนกำลังหลงทาง (หัวเราะ) จริงๆแล้วผมคิดว่าเสื้อแจ็คเก็ตก็ดูเท่ดี แต่มันผิดกาลเทศะในไนท์คลับที่ทุกคนสวมยีนส์หลวมๆ หมวกใบโต และตุ้มหูยักษ์ ผมรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง แต่นั้นแหละคือความต้องการของพวกเรา" เพลงประกอบใน StreetDance 3D ดนตรีประกอบถือเป็นส่วนที่สำคัญของภาพยนตร์ โดยผู้อำนวยการสร้าง ริชาร์ดสัน ได้นำเอา แฮมมอนด์ เพื่อนโปรดิวเซอร์ของเขาเข้ามาร่วมงาน แฮมมอนด์ เล่าว่า "มันเป็นความตื่นเต้นอย่างที่สุด ที่ผมพบว่าตัวเองเข้ามามีส่วนร่วมในหน้าประวัติศาสตร์ของวงการภาพยนตร์ยุโรป มันแหวกแนวเพราะนี่คือหนังเต้นเรื่องแรกของอังกฤษ แถมยังถ่ายทำในระบบสามมิติอีก" ด้วยความบังเอิญ แฮมมอนด์ พบว่าศิลปินที่เขาเลือกเข้ามาทำเพลง กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเพลงโด่งดังขึ้นมาในขณะที่หนังเรื่องนี้กำลังถ่ายทำ "พวกเราได้ใช้เพลงของ Ndubz, Tinchy Stryder, Wylie และ Chipmunk ในเรื่องนี้ และไม่น่าเชื่อว่าอาชีพของพวกเขาก็โด่งดังเป็นพลุขึ้นมาทันที ไม่เพียงแค่นั้น ทั้ง Diversity และ Flawless ก็กลายเป็นทีมเต้นที่สร้างปรากฏการณ์ ซึ่งต้องของขอบคุณรายการอย่าง Britain’s Got Talent และเราก็ยังมี จอร์จ แซมสัน พวกเขาคือแรงบันดาลใจให้กับวัยรุ่นในประเทศทุกคน" แม็กซ์ และ ดาเนีย ได้นำเอาโปรดิวเซอร์เพลง เทอร์ริ และ ไซ เข้ามาเขียนเพลง Sugabitch ซึ่งถูกใช้เล่นระหว่างการแข่งขันระหว่างสองทีมในการเผชิญหน้ากันครั้งแรก จากนั้น แฮมมอนด์ ก็ได้นำเอาโปรดิวเซอร์มือทองอย่าง LP & JC (ลอยด์ เพอร์ริน และ จอร์แดน คริปส์) มาเขียนเพลงใหม่ที่เหลือให้กับภาพยนตร์ "LP & JC เป็นเสมือนตัวแทนของเสียงแห่งกรุงลอนดอนที่เปี่ยมไปด้วยความเยาว์วัย" ก่อนที่จะทำงานในภาพยนตร์ แม็กซ์ และ ดาเนีย ก็ได้ทำโปรโมให้กับวง Ironik ในการโคเวอร์เพลงคลาสสิค Tiny Dancer ของ เอลตัน จอห์น ซึ่งถูกนำมาใช้ในเรื่องนี้เช่นกัน เจมส์ ริชาร์ดสัน เล่าว่า "พระเจ้าของวงการเพลงป็อป UK เอลตัน จอห์น และดาวรุ่งพุ่งแรงของวงการเพลงอังกฤษ เมื่อผมได้เห็นโปรโมเพลงนี้แล้ว ผมก็อยากใช้มันในหนังเรื่องนี้ทันที" ในเพลงสุดท้ายของฉากไคลแม็กซ์ We Dance On ริชาร์ดสันบอกว่ามันแทบไม่ต้องคิดถึงเพลงอื่นเลย "ทันทีที่ แฮมมอนด์ เสนอเพลงนี้ให้กับผม แม็กซ์ และ ดาเนีย พวกเราก็คิดว่านี่แหละคือเพลงในฉากไคลแม็กซ์ของเรา" ประวัติของสตรีทแด๊นซ์ สตรีทแด๊นซ์คือการผสมผสานของ ฮิปฮอป เบรคกิ้ง ป็อปปิ้ง และ ล็อคกิ้ง ที่มีความซับซ้อน เที่ยงตรง และต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายสูง การใช้คำว่า "สตรีทแด๊นซ์" ถูกครอบคลุมไปทุกสไตล์ของการเต้น ที่กำเนิดมาจากท้องถนนและในคลับ แทนที่จะถูกฝึกฝนในโรงเรียนหรือแด๊นซ์สตูดิโอต่างๆ ต้นกำเนิดของสตรีทแด๊นซ์ไล่ไปตั้งแต่ต้นยุค 1970s ดีเจ คูล เฮิร์ค ถือว่าเป็นผู้คิดค้น เบรคบีท ในปี 1972 โดยการแยกเสียงกลองและการมิกซ์ในสปีดที่ต่างกัน ในขณะเดียวกัน เซ้าท์บร็องค์และฮาเล็มในนิวยอร์ค วัยรุ่นก็มักจะท้ากันเต้น เบรดแด๊นซ์ และกลายเป็นกลุ่มบี-บอยแรกของโลก ขณะเดียวกันฝั่งตะวันตกของอเมริกา สไตล์ที่น่าตื่นตาอย่าง ป็อปปิ้ง และ ล็อคกิ้ง ก็กลายเป็นที่นิยมตามท้องถนนในแคลิฟอร์เนีย พื้นฐานของสไตล์การเต้นเหล่านี้มีมาตั้งแต่หลายปีก่อน เอิร์ล "สเน็กฮิป" ทัคเกอร์ เป็นผู้คิดค้นของการเต้นแบบ เวฟดิ่ง และ สไลด์ดิ้ง ในทศวรรษที่ 1920s แต่ก็ต้องรอจนถึงยุค 1970s กว่าที่ เบรคกิ้ง ป็อปปิ้ง ล็อคกิ้ง และฮิปฮอป จะกลายเป็นการเต้นที่นิยม จากนั้นการเต้นอื่นๆเช่น ครัมปิ้ง จะถือกำเนิดขึ้นตามกันมา การเต้นฟรีสไตล์และวิวัฒนาการคือหัวใจสำคัญของสตรีทแด๊นซ์ ที่ทำให้นักเต้นสตรีทแด๊นซ์ทุกวันนี้แตกต่างจากผู้คิดค้นในช่วงต้นยุค 1980s จอร์จ แซมสัน เล่าว่า "เมื่อคุณดูวิดีโอของนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ในยุค 1980s มันจะทำให้คุณรู้สึกว่าพวกเขาคิดค้นมันได้ยังไง แต่ในปัจจุบันทุกอย่างดูรวดเร็วขึ้น มันเกี่ยวกับการตีลังกาสองรอบ และมีการผสมผสานท่ายิมนาสติกเข้ามา บีบอยจากยุคก่อนบางคนไม่พอใขกับการเปลี่ยนแปลง แต่ผมคิดว่ามันยอดเยี่ยมที่พวกเราสามารถพัฒนามันต่อไปอีกได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการพัฒนา" ทำยังไงถึงเป็นนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ 1. ตั้งชื่อตัวเอง ชื่อจริงของคุณอาจไม่โดดเด่นพอ น่าจะลองหาชื่อที่ฟังดูเท่กว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่น เคนดริก แซนดี้ ใช้ชื่อในการเต้นว่า H2o ในขณะที่สมาชิกในทีมเต้น Flawless ก็มีชื่ออย่าง Swoosh, FX และ Neo 2. ใส่เสื้อและกางเกงตัวใหญ่กว่าเดิม ไม่มีอะไรที่เล็กในสตรีทแด๊นซ์ คุณต้องการอะไรที่ดูใหญ่และโคร่งที่สุด สวมฮู้ดที่ใหญ่ที่สุด และกางเกงเอวต่ำที่สุดเท่าที่คุณหาได้ อุปกรณ์ประกอบก็เป็นสิ่งจำเป็น อย่างเช่นหมวดเบสบอลที่ปิดหน้าของคุณไปแล้วครึ่งนึง 3. เรียนรู้ศัพท์เฉพาะ ไม่มีนักเต้นคนไหนใช้คำว่า "เบรคแด๊นซ์ซิ่ง" นักเต้นทุกคนเรียกมันว่า "เบรคกิ้ง" หรือ "บี-บอยอิ้ง" และพยายามใช้คำว่า "เจ๋ง" และ "ป่วย" ในบทสนทนา ก็จะทำให้คุณดูเหมือนพวกเขาไปครึ่งนึงแล้ว 4. เป็นตัวของตัวเอง ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย แอนดริว ค็อกซ์ ยืนยันว่า ใครๆก็สามารถดูเหมือนนักเต้นสตรีทแด๊นซ์ได้ มันเกี่ยวกับการหา "อุปกรณ์เสริม" เขาอธิบายว่า "มันเกี่ยวกับการเป็นตัวของตัวเอง และแสดงให้เห็นถึงการแสดงออกทางสังคม อย่ากลัวที่จะพยายามทำในสิ่งที่แตกต่าง" 5. ฝึกฝนอย่างหนัก เคนดริก แซนดี้ อธิบายว่า "ถ้าคุณต้องการเป็นหนึ่ง มันไม่มีทางไปถึงได้หรอก อย่าคิดว่าความสามารถที่คุณมีเพียงพอแล้ว คุณจะไม่มีทางไปถึงจุดที่เรียกว่า “ความสมบูรณ์แบบ” แต่ถ้าคุณพยายามเพื่อมัน นั้นก็เรียกว่าคุณกำลังทำให้ดีที่สุดแล้ว ทำให้แน่ใจว่าคุณฝึกฝน หาประสบการณ์ และอย่ารั้งตัวเองไว้ ที่สำคัญที่สุดก็คือคุณต้องสนุกกับมัน" 6. ทุ่มตัวเองลงไปเพื่อการเต้น เคท พรินซ์ อธิบายว่า "ผสานตัวเองกับการเต้นให้เป็นหนึ่ง เรียนจากคลาสเต้นให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ และเรียนรู้จากครูสอนเต้นให้มากคนที่สุด เพราะถ้าคุณเรียนกับครูสอนเต้นคนเดียว คุณก็จะเก่งมากสุดได้เท่ากับครูคนนั้น ไปเรียนคลาสเต้นอื่นนอกจากสตรีทแด๊นซ์ เพื่อหาความหลากหลายและแข็งแกร่ง เช่น พิเล่ห์ และบัลเล่ต์ ถ้าคุณสะสมเงินได้ เดินทางไปรอบโลกเพื่อดูว่าโลกของสตรีทแด๊นซ์ก้าวหน้าไปถึงไหน ทำให้การเต้นคือลมหายใจของคุณ" 7. เรียนรู้สไตล์การเต้น ป็อปปิ้ง - เทคนิกที่เกร็งและคลายกล้ามเนื่ออย่างรวดเร็วในการสร้างการเคลื่อนไหวให้กับร่างกาย รู้จักกันในนามว่า ป็อป หรือ ฮิต ซึ่งสร้างการเคลื่อนไหวที่เหมือนกำลังร่อน โดยการเต้นมูนวอร์คของ ไมเคิล แจ็คสัน ก็เป็นส่วนหนึ่งของสไตล์การเต้นนี้ ล็อคกิ้ง — คือการทำตัวแข็ง หลังจากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และล็อคเอาไว้ในท่านั้นเอาไว้ในชั่วครู่นึง ก่อนที่จะกลับไปเต้นในความเร็วเท่าเดิม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวส่วนบนของร่างกายอย่างรวดเร็ว ผสมผสานกับสะโพกและขาที่ผ่อนคลายมากกว่าส่วนบน ครัมปิ้ง - เป็นการเต้นที่ไม่ให้ความสำคัญในการออกแบบท่าเต้น แต่เป็นการที่ทุ่มตัวเองลงไปในเพลงมากกว่า มีต้นกำเนิดจากเซ้าท์เซนทรัลในลอสแองเจลิส เป็นสไตล์การเต้นที่เต็มไปด้วยพลัง และเกี่ยวข้องกับการเหวี่ยงแขน เต้นด้วยหน้าอก และการกระทืบเท้า ถ้าคุณที่เป็นนักเต้นที่ห่วงในเรื่องการทำท่าถูก ครัมปิ้ง ก็อาจไม่ใช่สไตล์ของคุณ เฮ้าส์ - เป็นสไตล์ที่ผสมผสานการเคลื่อนไหวจากการเต้นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น คาโปเอร่า แท็บ แจ็ส บีบ็อบ และ ซัลซ่า การเต้นเฮ้าส์มีพื้นฐานจากการโยกแขนและการแจ็คกิ้ง 8. เรียนรู้ท่วงท่าการเต้น เวฟวิ่ง - หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชื่อ แจ็คกิ้ง แนวคิดก็คือการทำให้ดูเหมือนมีอะไรฉีกผ่านตัวคุณ เริ่มจากการทำมือเป็นคลื่น กางแขนออกและเริ่มจากนิ้วจากมือนึง ทำให้มือทั้งสองเป็นคลื่นขึ้นลงสลับกัน การเคลื่อนไหวนี้ควรผ่านหน้าอกและหลังของคุณด้วย มันเป็นเรื่องสำคัญที่ส่วนอื่นของร่างกายต้องอยู่นิ่งๆ เพื่อมอบความรู้สึกที่มีกระแสคลื่นไหลผ่านร่างกายคุณ เดอะ วินมิลล์ - นี่คือท่าที่ทุกคนคิดถึงเมื่อพุดถึงการเบรคกิ้ง นักเต้นจะเอาหัวตัวเองเป็นแกนหมุนบนพื้น โดยมีขาของเขากางขึ้นบนอากาศเป็นตัววี ทุตติ้ง - ท่านี่ถูกตั้งชื่อตามจักพรรดิฟาโรห์ของอิยิปต์ ตุตันคาเมน โดยท่านี้คุณต้องทำมืออยู่ในองศาที่ถูกต้อง... ใช่แล้ว วง the Bangles ได้รับแรงบันดาลใจในการเต้นในมิวสิควิดีโอ Walked like an Egyptian สไลด์ - ยกส้นเท้าขวาของคุณขึ้นในขณะที่เท้าซ้ายวางราบกับพื้น สไลด์เท้าซ้ายออกไปรอบพื้น จากนั้นก็ยกส้นเท้าซ้ายขึ้น และเท้าขวาราบไปกับพื้น และทำในลักษณะเดียวกันจนเท้าทั้งสองมาจบกัน และทำมันซ้ำเพื่อให้เกิดท่วงท่าที่ลื่นไหล มันอาจฟังดูง่าย แต่มันต้องใช้การฝึกฝนเพื่อทำให้คล่อง ท็อปร็อค - นี่คือสเต็ปขั้นตอนที่ บี-บอยและเกิร์ลทำในขณะที่ยืนตรง ปกติแล้วจะเป็นท่าเริ่มต้นก่อนที่พวกเขาจะเริ่มต้นการเบรคกิ้งที่รุนแรงและดุเดือด ซุยไซด์ - ปกติแล้วก็ถูกใช้เป็นท่าจบด้วยท่วงท่าแห่งพลังและอารมณ์ร่วม โดยท่านี้คุณต้องแสดงให้เห็นว่าตัวเองกำลังสูญเสียการควบคุม และลงสู่พื้นด้วยหลังหรือหน้าท้อง ยิ่งคุณทำได้อย่างสมบูรณ์แบบหรือประสบความสำเร็จมากแค่ไหน คุณก็จะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวมากแค่นั้น ทีมนักแสดง นิโคล่า เบอร์ลี่ย์ (รับบทเป็น คาร์ลี่ย์) เธอเริ่มต้นอาชีพนักแสดงในปี 2005 ด้วยการรับบทเป็น มิเชลล์ ในหนังเรื่อง Love + Hate ที่โด่งดังในเกาะอังกฤษ และหนังดารม่าของบีบีบซีเรื่อง Born Equal ที่ทำให้เธอกลายเป็นดาวรุ่งแห่งเกาะอังกฤษ โดยเธอมีผลงานต่อมาอย่าง Donkey Punch (2008) และ Kicks (2009) และกำลังถ่ายทำเรื่อง George Gently และ The Fixer ริชาร์ด วินเซอร์ (รับบทเป็น โทมัส) เขาฝึกฝนในการเต้นมาตั้งแต่เด็ก ริชาร์ด ใช้เวลาในช่วงทศวรรษที่ผ่านมากับการแสดงในคณะของ แมทธิว บอร์น ผลงานละครเวทีของเขาก็มี Dorian Gray, The Car Man รวมถึง The Nutcracker ที่ออกฉายทางโทรทัศน์ รวมถึงการแสดงใน Play Without Words ที่ได้รับรางวัล โอลิเวียร์ ในสาขาละครเวทีบันเทิงยอดเยี่ยม ริชาร์ด ยังขึ้นปกในนิตยสาร Elle ที่ญี่ปุ่นและได้รับการโหวตว่าเป็น "นักเต้นที่เซ็กซี่ที่สุดในโลก" ตอนนี้เขากำลังซ้อมในการรับบทเป็น เดอะ สวาน ในละครเวที Sawn Lake จอร์จ แซมสัน (รับบทเป็น เอ็ดดี้) จอร์จ เริ่มต้นการเต้นตั้งแต่อายุ 6 ขวบ โดยเขามักจะฝึกซ้อมท่าเต้นใน แมสเชสเตอร์ ซิตี้ เซนเตอร์ ที่ดึงดูดผู้คนที่เดินผ่านไปมาตลอด หลังจากเข้าตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขัน Britain's Got Talent และได้รับรางวัลชนะเลิศมาในปี 2008 จอร์จ ก็ได้แสดงต่อหน้าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ในลอนดอน พัลลาเดียม และได้เปิดตัวในละดรเวทีครั้งแรกกับเรื่อง Into The Hoods ทีมเต้น Diversity (รับบทเป็น ทีมเต้นของ แอรอน) Diversity คือทีมเต้นที่มีอายุเฉลี่ยของสมาชิกระหว่าง 13-26 ปี มาจากเมืองเอสเซ็ค ในลอนดอนตะวันออก ประกอบไปด้วยพี่น้องสามคู่และเพื่อนอีกสี่คน ในปี 2009 พวกเขาชนะเลิศการแข่งขัน Britain's Got Talent เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา หลังจากชนะพวกเขาก็ได้เต้นในสนามกีฬาเวมบลี่ย์ และรายการทีวีอีกมากมาย รวมถึงการแสดงต่อหน้านายกรัฐมนตรีที่ ดอว์นนิ่ง สตรีท โดยในปี 2010 พวกเขาจะออกทัวร์แสดงโชว์ไปทั่วสหราชอาณาจักร ทีมเต้น Flawless (รับบทเป็น ทีมเต้น The Surge) Flawless คือทีมเต้นที่ก่อตั้งโดยนักออกแบบท่าเต้นชื่อดังของอังกฤษ มาร์ลอน "สวูซ" วัลเลน ทีมเต้นนี้ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันการเต้นนานาชาติ ปี 2006 และเป็นทีมแรกที่ได้รับคะแนนเต็มจากกรรมการทุกคน พวกเขายังเป็นหนึ่งในทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของรางการ Britain's Got Talent และยังทำงานร่วมกับศิลปินชื่อดังมากมาย เช่น มาดอนน่า, บียอนเซ่, เลโอน่า ลิวอิส, ริฮันน่า, เอสเทล และ วิคตอเรีย เบ็คแฮม ชาร์ลอต แลมพลิง (รับบทเป็น เฮเลน่า) หลังจากที่เธอเริ่มต้นแสดงตั้งแต่อายุสิบเจ็ดปี ในโฆษณาและทำงานเป็นนางแบบมาพักหนึ่ง แรมพลิง ก็ได้แสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในภาพยนตร์โดย ริชาร์ด เลสเตอร์ เรื่อง The Knack and How to Get It ในปี 1965 ซึ่งหลังจากนั้นหนึ่งปี เธอก็ได้รับบทในภาพยนตร์เรื่อง Georgy Girl และได้แสดงภาพยนตร์ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสเรื่อยมา แลมพลิง มักแสดงบทบาทที่เป็นประเด็นโต้เถียงได้เสมอ ในปี 1969 ในภาพยนตร์โดย ลูชิโน วิสคอนติ เรื่อง The Damned เธอได้รับบทภรรยาสาว ที่ถูกส่งไปเข้าค่ายกักกัน ประกบ เดิร์ค โบการ์ด ในภาพยนตร์ปี 1974 เรื่อง The Night Porter เธอได้รับบทอดีตนักโทษค่ายกักกัน ที่มีความสัมพันธ์แบบ S&M กับอดีตผู้คุมของเธอ ที่รับบทโดย โบการ์ด ในปี 2005 แลมพลิง ได้นำแสดงในภาพยนตร์โดย โลรอง แคนเตท์ เรื่อง Heading South (Vers le Sud) ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวทางเพศของผู้หญิง แลมพลิง เป็นที่รู้จักของผู้ชมชาวอเมริกันจากเรื่องราวนักสืบเรื่อง Farewell My Lovely ในปี 1975 ตามมาด้วยภาพยนตร์โดย วู้ดดี้ อัลเลน เรื่อง Stardust Memories (1980) โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน The Verdict ดราม่าชื่อดังที่กำกับโดย ซิดนีย์ ลูเม็ต และนำแสดงโดย พอล นิวแมน เธอได้ร่วมงานกับผู้กำกับ ฟรังซัวส์ โอซงในภาพยนตร์หลายเรื่องเช่น Under the Sand, Swimming Pool และ Angel ผลงานล่าสุดของเธอได้แก่ I’ll Sleep when I’m Dead ที่กำกับโดย ไมค์ ฮ็อดเจส, Lemming ที่กำกับโดย โดมินิค มอล, Basic Instinct 2 ที่กำกับโดย ไมเคิล เคตัน-โจนส์และ Babylon A.D. ที่กำกับโดย มาติเยอ คาสโซวิทซ์ ทีมงาน แม๊กซ์ กิวา และ ดาเนีย พาสควินิ (ผู้กำกับ) พวกเขาทำงานร่วมกันในผลงานมิวสิควิดีโอมากว่า 15 ปี เคยทำงานร่วมกับศิลปินชื่อดังในประเทศอย่าง วง Girls Aloud, วง Oasis และ โซฟี เอลลิส-เบ็กซ์เตอร์ รวมถึงการข้ามมาทำงานร่วมกับศิลปินอเมริกาชื่อดังอย่าง เคร็ก เดวิด, ลี ไรอัน และ อาลีชาห์ ดิกซ์สัน เคนดริก แซนดี้ (ผู้ออกแบบท่าเต้นสตรีทแด๊นซ์) เขาใช้ชื่อในการเต้นว่า H2O และเคยได้รับรางวัล โอลิเวียร์ และเคยชนะเลิศรางวัลเต้นสตรีทแด๊นซ์ของอังกฤษ และยังเป็นคนก่อตั้งทีมเต้น Boy Blue เขาได้รับการขนานนามว่าเป็น "เจ้าพ่อแห่งการเต้นสตรีทแด๊นซ์ใน UK" เขาออกแบบการเต้นให้กับละครเวทีเรื่อง Pied Piper และเต้นร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง จอร์จ ไมเคิล, เฟอร์กี้, ดัฟฟี่ และ เลโอน่า ลิวอิส วิล ทัคเก็ตต์ (ผู้ออกแบบท่าเต้นบัลเล่ต์) เขาเป็นที่รู้จักในแวดวงของนักบัลเล่ต์ และยังทำงานร่วมกับ เดอะ รอยัล บัลเล่ต์ ส่วนผลงานการละครที่ออกแบบท่าเต้นให้ก็มี The Sandman (2000), The Wind in the Willows (2002), The Soldiers Tale (2004), Pinnochio (2006), Inot the Woods (2007), Marianne Dreams (2008) และ Thief of Baghdad (2009) ทิม โทมัส (ผู้ดูแลเทคโนโลยีสามมิติ) เขาเป็นประธานบริษัท Paradise FX ที่อยู่ในวงการสามมิติมากว่า 20 ปี โดยมีการทำเครื่องเล่นสามมิติให้กับสวนสนุกดิสนี่ย์ทั่วโลก และร่วมถึงการทำงานให้กับภาพยนตร์อย่าง My Bloody Valentine 3D และ The Hole 3D ของผู้กำกับ โจ ดันเต้ ที่มีกำหนดฉายในปี 2010

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ