ยอดขอบีโอไอ 5 เดือนทะลุ 500 โครงการ เงินลงทุน 1.7 แสนล้าน เดือนพฤษภาคมเงินลงทุนเฉียด 4 หมื่นล้านบาท

ข่าวทั่วไป Tuesday June 8, 2010 15:39 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 มิ.ย.--บีโอไอ บีโอไอเผยยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนช่วง 5 เดือนของปีนี้ มีจำนวน 507 โครงการ ขยายตัวร้อยละ 47% และมีมูลค่าเงินลงทุนรวม 172,600 ล้านบาท โดยในเดือนพฤษภาคม มีมูลค่าขอรับส่งเสริมสูงถึง 39,700 ล้านบาท ส่วนการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศก็ขยายตัว ทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ บีโอไอเตรียมตอกย้ำเชื่อมั่นอีกในงาน“นายกฯ พบนักลงทุน” 18 มิถุนายนนี้ นางอรรชกา สีบุญเรือง เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนในช่วง 5 เดือนของปี 2553 (มกราคม-พฤษภาคม) ว่า มีบริษัททั้งไทยและจากต่างประเทศต้องการเข้ามาลงทุนในประเทศไทยและได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเป็นจำนวน 507 โครงการ รวมมูลค่าเงินลงทุน 172,600 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าเงินลงทุน ร้อยละ 47.8 และร้อยละ 7.3 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมเดือนเดียว มีการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนถึงจำนวน 107 โครงการ ซึ่งมากที่สุดเมื่อเทียบกับทุกเดือนที่ผ่านมา และมีมูลค่าเงินลงทุนถึง 39,700 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศยังเชื่อมั่นศักยภาพของประเทศไทย โดยอุตสาหกรรมที่มีการขอรับส่งเสริมมากที่สุดได้แก่ กิจการบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 139 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 81,000 ล้านบาท อันดับสองได้แก่กิจการผลิตโลหะ เครื่องจักร ยานยนต์และชิ้นส่วน จำนวน 105 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 21,900 ล้านบาท อันดับสามกิจการเกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร จำนวน 84 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 18,300 ล้านบาท สำหรับการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI: Foreign Direct Investment) มีการขอรับส่งเสริมการลงทุนจำนวน 306 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 86,281 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ที่มี 226 โครงการ โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 35 ส่วนมูลค่าเงินลงทุนปรับเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ที่มีมูลค่าอยู่ที่ 41,353 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 108 ทั้งนี้กิจการที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักลงทุนสูงสุด เป็นกิจการกลุ่ม โลหะขั้นมูลฐาน เซรามิก และเหมืองแร่ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 24,561 ล้านบาท รองลงมา เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง มูลค่าเงินลงทุน 18,940.7 ล้านบาท กิจการบริการ และสาธารณูปโภค มูลค่าเงินลงทุน 13,165 ล้านบาท ตามลำดับ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากที่สุด ยังเป็นนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น มีจำนวน 120 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 33,038 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 92 รองลงมาคือ นักลงทุนจากประเทศสิงคโปร์ มีจำนวน 32 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7,689 ล้านบาท อันดับสาม นักลงทุนจีน มีจำนวน 12 โครงการมูลค่าเงินลงทุน 6,473 ล้านบาท ตามด้วยฮ่องกง 11 โครงการ เงินลงทุน 2,693 ล้านบาท และออสเตรเลีย 9 โครงการ มูลค่า 2,091 ล้านบาท เยอรมนี 14 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 1,463 ล้านบาท เป็นต้น และเพื่อเป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ บีโอไอจึงมีแผนจะเดินทางไปชักจูงการลงทุนจากต่างประเทศ (โรดโชว์) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำหนดจัดงาน “นายกรัฐมนตรีพบนักลงทุน” ในวันศุกร์ที่ 18 มิถุนายน 2553 ตั้งแต่เวลา 11.00 — 15.00 น. ห้อง แกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี เพื่อชี้แจงให้นักลงทุนเข้าใจถึงทิศทางที่รัฐบาลจะสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม โดยจะมีนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศเข้าร่วมกว่า 1,300 ราย
แท็ก บีโอไอ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ