กรุงเทพฯ--1 ก.ค.--พี.เอฟ.พี.เทรดดิ้ง
พี.เอฟ.พี. เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือ บริษัท แปซิฟิค แปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด ผู้ผลิตอาหารแปรรูปจากเนื้อปลาทะเลแช่แข็ง จำหน่ายทั้งในประเทศและส่งออกต่างประเทศทั่วโลก ได้เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจอาหารแช่แข็ง โดยเฉพาะอาหารทะเลนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ แซลมอน, ปลาทู, ปลาหมึกยักษ์ ที่มีการเติบโตขึ้นอย่างมากในวันนี้จึงเร่งขยายธุรกิจใหม่อย่างเต็มที่ ปรับเป้าจาก 300 ล้านบาท ภายในสิ้นปี
ทวี ปิยะพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท พี.เอฟ.พี. เทรดดิ้ง จำกัด ได้กล่าวถึงการขยายธุรกิจของบริษัทฯ ในการขยายตลาดอาหาร
ทะเลแช่แข็ง โดยมุ่งเน้นในการเป็นผู้นำเข้าจากต่างประเทศ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 700 ล้านบาท ในปี 2553 ซึ่งจากการเริ่มทำธุรกิจในปีที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยบริษัทฯ ได้จับมือกับคู่ค้าในต่างประเทศทำการคัดเลือกสินค้าทุกชนิดอย่างพิถีพิถัน และผ่นากระบวนการตรวจสอบสารปนเปื้อนต่างๆ ตามมาตรฐานอาหารสากล ซึ่งทำให้ได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้า และดิสเค้าน์สโตร์ ที่จำหน่ายอาหารปลอดภัยแก่ผู้บริโภค
โดยสัดส่วนการตลาดของช่องทางอาหารแปรรูปแช่แข็งของบริษัทฯ ในปัจจุบัน จำหน่ายในช่องทางห้างสรรพสินค้า 600 ล้านบาท และช่องทางตลาดสด 100 ล้านบาท ซึ่งถือเป้นการเติบโตธุรกิจที่เกินความคาดหมาย
สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์จากเนื้อปลาทะเลแปรรูปแช่แข็ง แบรนด์ P.F.P ยอดขายตั้งแต่ต้นปีถึงไตรมาส 2 ยังคงเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ คือ เติบโตตามเป้า 10% จากเป้า 1,200 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการตลาดกลุ่มตัวแทนตลาดสดทั่วประเทศ 58% (700 ล้านบาท) กลุ่มร้านอาหาร 23% (275 ล้านบาท) กลุ่มโมเดิร์นเทรด ดิสเค้าน์สโตร์ และร้านสะดวกซื้อ 19% (225 ล้านบ้าท) ถึงแม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาการจราจลทางการเมืองในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แต่ถือเป็นเพียงส่วนน้อย เพราะกระทบเฉพาะในเขตเมือง ส่วนชานเมืองและต่างจังหวัดมีผลกระทบบ้างแต่เป็นเพียงระยะสั้นๆ
ธวัชชัย รัตนะพิสิฐ ผู้อำนวยการฝ่ายขายต่างประเทศ บริษัท แปซิฟิค แปรรูปสัตว์น้ำ จำกัด กล่าวถึงตลาดต่างประเทศว่า ภายใต้สถานการณ์ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของหลายๆ ประเทศ ที่เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแถบเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดหลัก ทำให้ตลาดมีกำลังการซื้อมากขึ้น ส่งผลให้มีการสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของตลาดซูริมิ และตลาดผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อปลาบดแช่แข็ง โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ทุกตลาดมียอดขายที่เติบโตขึ้น รวมกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 โดยตลาดที่มีสัดส่วนการเติบโตแบบก้าวกระโดด คือ ตลาดอเมริกา/ แคนาดา (200%) ตลาดฮ่องกง (74%) ตลาดเกาหลี (51%) ตลาดยุโรป (15%) และตลาดมาเลเซีย (13%)
สาเหตุของยอดขายที่เติบโตมาจากการที่เราทำการเจรจากับคู่ค้าถึงความเป็นไปได้ในการเพิ่มยอดขาย โดยการเพิ่มช่องทางการขายซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากลูกค้าเป็นอย่างดีในการประมาณการสั่งซื้อมาให้อย่างต่อเนื่อง มีการเพิ่มช่วองทางการขายเข้าสู่ตลาด Convenient Store ตามแผนการผลักดันที่เราตั้งเป้าไว้ อีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น มาจากอานิสงค์ค่าเงินที่แข็งค่าชขึ้นอย่างเช่นประเทศเกาหลีที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้นกว่า 15% นอกจากนี้ จากการปฏิบัติตามกลยุทธ์การตลาด โดยการมุ่งขยายฐานลูกค้าออกไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดยุโรป
ขณะเดียวกัน เพื่อสร้างความหลากหลายของสินค้า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ปริษัทฯ ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้แก่ลูกค้ามากกว่า 20 รายการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้เป็นอย่างดี เนื่องจากได้สำรวจความพึงพอใจของลูกค้าก่อนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่เรียบร้อยแล้ว โดยมีเป้าหมายสิ้นปีนี้ธุรกิจของบริษัทจะต้องมีตัวเลขการขยายตัวไม่น้อยกว่า 20%
เมตตา ปราบสุธา ผู้ช่วยผู้จัดการ บริษัท พี.เอฟ.พี.เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวถึงการวางแผนเชิงรุกด้านการตลาดในสภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ด้วยการใช้งบกว่า 60 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของเป้าหมาย โดยยังเน้นการใช้งบประมาณการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอ่างต่อเนื่อง และได้ขยายจุดขาย KIOSK ในช่องทางห้างสรรพสินค้า, ดิสเคาน์สโตร์ ปัจจุบันถึง 100 จุด ตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งจุดขายดังกล่าวมีพนักงานคอยให้บริการนึ่งและทอดสินค้าให้กับลูกค้าทันที หากลูกค้าต้องการ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าได้ดีเป็นอย่างมาก
ในส่วนของกลุ่มห้างสรรพสินค้าปีนี้ บริษัทฯ เรายังคงยึดนโยบายการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้า และการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มีการพัฒนาสินค้าที่มีรูปแบบและรสชาติที่ฉีกแนวไปจากเดิน แต่ยังคงไว้ซึ่งประโยชน์ของการรับประทานปลาทะเลที่ดีต่อสุขภาพเป็นหลัก โดยดำเนินการผลักดันส่งสินค้าใหม่ๆ จำนวน 10 รายการเข้าทำตลาด เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภค และกลุ่มตลาดสดเราเน้นการรักษาลูกค้ารายเดิมเป้นสำคัญ เพราะปัจจุบันมีการช่วงชินตลาดและลูกค้ากันมาก สิ่งที่เรายึดปฏิบัติกันมาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง คือการรักษาคุณภาพ และการพัฒนาสินค้า การดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด การประสานงานและการให้ข้อมูลข่าวสารล่วงหน้า ในกรณีที่เรามองว่าสถานการณ์มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ลูกค้ามีเวฃลาปรับตัว และ สร้างความมั่นใจว่าเราสามารถส่งมอบได้อย่างต่อเนื่อง เพราะฉะนั้นวันนี้เราค่อนข้างเป็นที่ไว้วางใจของลูกค้ามากในเรื่องของความสม่ำเสมอในการส่งมอบ