กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--สปส.
สำนักงานประกันสังคม (สปส.) คาคการณ์ผลการลงทุน ปี 50 สดใส สูงกว่าประมาณการเดิม พร้อมเดินหน้ากระจายการลงทุนมากขึ้นในหลักทรัพย์อื่นๆ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแหล่งลงทุน
นายสุรินทร์ จิรวิศิษฎ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคมเปิดเผยว่า การลงทุนของกองทุนประกันสังคมในปี 2550 น่าจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 5.00 — 5.20% สูงกว่าที่ประมาณการไว้เดิมที่ 4.50 — 5.00% โดยมีปัจจัยบวกจากสถานการณ์การเมืองที่คลี่คลาย ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดหลักทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก
ผลตอบแทนจากการลงทุนของกองทุนประกันสังคมนั้น วัดตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 40 คือ พันธบัตรและหุ้นกู้ที่ถือลงทุนจนครบกำหนด (Hold to maturity) ไม่ต้องนำมาคิดราคาตลาด ในภาวะที่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลงเช่นนี้ กองทุนมีกำไรทางบัญชีจากราคาพันธบัตรที่ปรับเพิ่มขึ้น แต่จะไม่นำมาแถลงเป็นผลงาน ดังนั้น ตัวเลขผลการดำเนินงานของกองทุนในระดับ 5% ข้างต้นจึงเป็นเม็ดเงินที่ได้รับจริง ส่วนการลงทุนในหุ้นทั้งหมดคิดราคาตลาด ซึ่งหากดัชนีตลาดหลักทรัพย์สิ้นปีนี้ปิดที่ 780 จุด กองทุนจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นประมาณ 18%
หากวัดด้วยราคาตลาดทั้งหมด คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 7.50 — 8.00% ทั้งนี้ จากเหตุการณ์ที่กระทรวงการคลังประกาศยกเลิกการประมูลพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 17 ปี จำนวน 4 ครั้ง วงเงินรวม 17,000 ล้านบาท โดยให้เหตุผลว่าอัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับเพิ่มสูงกว่า 5.00% ทำให้เป็นภาระของรัฐบาลนั้น เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สปส.ประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งลงทุน เพราะในแต่ละปีกองทุนประกันสังคมมีเงินสมทบประมาณ 100,000 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายในการดูแลสิทธิประโยชน์ทั้ง 7 กรณีประมาณ 40,000 ล้านบาท ทำให้มีเงินออมของผู้ประกันตนไหลเข้ากองทุนให้ต้องนำไปลงทุนประมาณปีละ 60,000 ล้านบาท ซึ่งแหล่งลงทุนหลักของกองทุนคือพันธบัตรรัฐบาล โดยปัจจุบันเงินกองทุนกว่า 4 แสนล้านบาทนั้น กว่าครึ่งหนึ่งเป็นการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย
เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแหล่งลงทุน คณะกรรมการประกันสังคมได้กำหนดแผนการลงทุนประจำปี 2550 ให้สปส.กระจายการลงทุนมากขึ้นในหลักทรัพย์อื่นๆ ได้แก่ หุ้นกู้เอกชน กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ มีรายละเอียดดังนี้
หุ้นกู้เอกชน สปส.เน้นลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความมั่นคงสูง ได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ A ขึ้นไป โดยในช่วงครึ่งปีแรก สำนักงานได้ลงทุนไปแล้วหลายรายการ เช่น หุ้นกู้ของบริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) อันดับเครดิต AAA, หุ้นกู้บริษัทโกลว์ พลังงาน จำกัด (มหาชน) อันดับเครดิต A, หุ้นกู้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) อันดับเครดิต A เป็นต้น โดยการลงทุนในหุ้นกู้ที่ผ่านมาได้รับผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยประมาณ 4.50% สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุเท่ากัน
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ แผนการลงทุนปี 2550 อนุญาตให้ลงทุนได้ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท โดยให้ลงทุนเฉพาะกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่เสนอขายประชาชนและเป็นโครงการที่มีผู้เช่าอยู่แล้ว จะไม่มีการลงทุนในที่ดินเปล่าหรืออาคารที่สร้างไม่เสร็จเป็นอันขาด ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรก สำนักงานได้ลงทุนไปแล้วจำนวน 2 กองทุน คือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โกลด์ ซึ่งเป็นสิทธิการเช่าในโครงการเมย์แฟร์แมริออท เป็นเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์เกรดเอ ตั้งอยู่ในซอย หลังสวน บริหารโดยกลุ่มแมริออท มีอัตราการเช่าสูงกว่า 80% และกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เมเจอร์ไลฟ์สไตล์ เป็นสิทธิการเช่าในโครงการเมเจอร์ซีนีเพล็กส์รัชโยธินและรังสิต มีอัตราการเช่าเกือบ 100% สำนักงาน คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากทั้ง 2 กองทุนเป็นเงินปันผลประมาณ 7.50 — 8.25% ต่อปี
การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศ สปส.ได้รับอนุมัติวงเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยให้ลงทุนได้จำนวน 400 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ (ประมาณ 14,000 ล้านบาท) ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างนำเสนอแผนการลงทุนเพื่อขออนุมัติจากคณะกรรมการประกันสังคม คาดว่าจะเน้นการลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีเครดิตระดับ A ขึ้นไป และจะทำการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนไม่ต่ำกว่า 90% ซึ่งจะทำให้เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 4.00 — 5.00% ต่อปี
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ศูนย์สารนิเทศ สายด่วน 1506 / www.sso.go.th