กรุงเทพฯ--13 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท Action / Thriller
คำโปรย Some secrets take us to the edge
กำหนดฉาย 15 กรกฏาคม 2010
ความยาว 117 นาที
เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://edge-of-darkness.warnerbros.com/
บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง เกรแฮม คิง (The Departed, The Aviator, Blood Diamond)
กำกับ มาร์ติน แคมป์เบลล์ (Casino Royale, The Mask of Zorro)
เขียนบท วิลเลี่ยม โมนาแฮน (The Departed, Body of Lies)
นำแสดง เมล กิบสัน (Braveheart, Lethal Weapon 1-4, The Patriot)
เรย์ วินสโตน (Beowulf, Indiana Jones & the Kingdom of Crystal Skull) แดนนี่ ฮุสตัน (Robin Hood, X-Men Origins: Wolverine)
โบจานา โนวาโควิค (Drag Me to Hell)
ผลงานการแสดงเรื่องแรกของ เมล กิบสัน ในรอบ 8 ปี
จากผู้กำกับ Casino Royale และ The Mask of Zorro
และมือเขียนบทรางวัลออสการ์ The Departed
-------------------------------------เนื้อเรื่อง-------------------------------------
Edge of Darkness คือภาพยนตร์ทริลเลอร์ที่ชีวิตส่วนตัวและการเปิดโปงระดับชาติพาดผ่านกัน โทมัส คราเว่น (เมล กิบสัน) เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจของบอสตันมาตลอด ชีวิตของเขามีเพียงแค่ เอ็มม่า (โบจานา โนวาโควิค) ลูกสาววัย 24 ที่เดินทางกลับมาหลังจากการไปทำงาน แต่เพียงคืนแรกที่เขารับเธอกลับมา เอ็มม่า ก็ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมที่หน้าบ้านของตัวเอง
ตอนแรก โทมัส คิดว่ากระสุนนั้นหมายที่จะเอาชีวิตเขา แต่ในไม่ช้าเขาก็พบหลักฐานบางอย่าง ที่ทำให้ตัวเองต้องเริ่มตั้งคำถาม และตัดสินใจที่จะตามล่าตัวผู้รับผิดชอบ จากเบาะแสสู่อีกเบาะแส จากพยานสู่อีกพยาน ทุกอย่างนำทางให้ โทมัส เข้าสู่ด้านมืดของข้อตกลงระหว่างรัฐบาลกับบริษัทค้าอาวุธ และทำให้เขารู้ว่าลูกสาวของตัวเองเข้าไปผัวพันอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอถูกเก็บ
โทมัส ยังต้องพบกับมือปืนรับจ้างของรัฐบาล ดาริอุส เจ็ดเบิร์ค (เรย์ วินสโตน) ที่มีหน้าที่ในการเก็บกวาดหลักฐานและจัดการกับปัญหา แต่เรื่องราวทุกอย่างนั้นไม่สำคัญ เพราะจุดมุ่งหมายเดียวของ โทมัส ก็คือการทำให้ผู้รับผิดชอบต่อการตายของ เอ็มม่า ต้องชดใช้
Edge of Darkness กำกับโดย มาร์ติน แคมป์เบลล์ (Casino Royale) นำแสดงโดย เมล กิบสัน (Braveheart, Lethal Weapon 1-4, The Patriot) กับผลงานการแสดงเรื่องแรกในรอบ 8 ปี ร่วมด้วย เรย์ วินสโตน (Beowulf, Indiana Jones & the Kingdom of Crystal Skull), แดนนี่ ฮุสตัน (Robin Hood, X-Men Origins: Wolverine), โบจานา โนวาโควิค (Drag Me to Hell) และ ฌอน โรเบิร์ต (I Love You, Beth Cooper, Resident Evil: Afterlife 3D)
Edge of Darkness อำนวยการสร้างโดย เกรแฮม คิง (The Departed, The Aviator, Blood Diamond) จากบทภาพยนตร์โดย วิลเลียม โมนาแฮน มือเขียนบทรางวัลออสการ์จาก The Departed รวมถึง Body of Lies และ Kingdom of Heaven โดยมีทีมสร้างคุณภาพ เช่นผู้กำกับภาพ ฟิล มีฮ็อกซ์ (Casino Royale), ผู้ออกแบบงานสร้าง ทอม แซนเดอร์ (Saving Private Ryan, Dracula), ผู้ตัดต่อภาพ สจ๊วต เบียร์ด (Gorillas in the Mist, Superman) ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลินดี้ เฮ็มมิ่ง ผู้เคยได้รับรางวัลออสการ์จาก Topsy-Turvy และผู้แต่งเพลงประกอบ โฮเวิร์ด ชอว์ ผู้เคยได้รับรางวัลออสการ์จากไตรภาค The Lord of the Rings
----------------------ต้นกำเนิด Edge of Darkness----------------------
...บางความทรงจำไม่เคยจางหาย...
...บางความรู้สึกไม่เคยเปลี่ยนแปลง...
...แต่ความลับอาจพาเราไปถึงจุดอดกลั้น...
ในภาพยนตร์ทริลเลอร์เรื่อง Edge of Darkness โทมัส คราเว่น คือผู้ชายที่ใช้ความเศร้าและแรงแค้นเป็นแรงขับเคลื่อน เขาต้องการตามหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังการตายของ เอ็มม่า ลูกสาวคนเดียวของเขาที่ถูกยิงอย่างโหดเหี้ยมหน้าบ้านของตัวเอง ชีวิตของ คราเว่น ถูกทำลายจากการสูญเสียคนเดียวในโลกที่เขารัก ทำให้ตำรวจมือเก๋าในเมืองบอสตันต้องออกไปหาคำตอบ รวมถึงหาผู้รับผิดชอบมาชดใช้กับสิ่งที่เขาสูญเสีย
เมล กิบสัน กลับมาคืนจอหลังจากประสบความสำเร็จในแท่นผู้กำกับ โดยการรับบทเป็น โทมัส คราเว่น ถือเป็นงานแสดงเรื่องแรกในรอบ 8 ปี โดย กิบสัน พูดถึงสาเหตุในการกลับมาแสดงว่า “Edge of Darkness มีเนื้อหาที่ยอดเยี่ยม นั้นคือเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวของผม มันน่าสนใจและจะทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกไปด้วย ผมตัดสินใจรับบทนำทันทีที่อ่านบท"
มาร์ติน แคมป์เบลล์ ผู้กำกับที่มีผลงานการกำกับหนังเจมส์ บอนด์ มาแล้วสองภาคคือ GoldenEyes และ Casino Royale เล่าถึงการได้ เมล กิบสัน มารับบทนำว่า "เมล คือตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของพวกเรา เพราะว่าบทนี้ต้องการใครสักคนที่มีพลังการแสดง และมีนักแสดงในฮอลลิวู้ดเพียงไม่กี่คนที่เป็นเหมือนเขา"
ผู้อำนวยการสร้าง เกรแฮม คิง เสริมต่อว่า "พวกเราต้องการ เมล มาก และก็โชคดีที่เขาตัดสินใจกลับมาอยู่เบื้องหน้า หลังจากการผันตัวไปเป็นผู้กำกับ นี่คือบทที่ถูกสร้างมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ"
กิบสัน เล่าถึงตอนที่เขานัดพบกับ แคมป์เบลล์ และ คิง เพื่อตกลงในการรับทว่า "สิ่งที่สะกิดใจผมก็คือ เรื่องราวที่ทำให้คุณรู้สึกจุกหน้าอก ทั้ง มาร์ติน และ เกรแฮม มีเล่าเรื่องนี้ออกมาได้อย่างมีแนวทางและชัดเจน ผมรู้เลยว่าตัวเองคิดถูกที่รับงานแสดงเรื่องแรกในรอบหลายปีกับพวกเขา
ผู้กำกับ มาร์ติน แคมป์เบลล์ เคยกำกับ Edge of Darkness มาก่อนแล้ว โดยเอาผลงานจากซีรี่ย์ที่เคยได้รับรางวัลแบฟต้าเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว โดยหลังจาก Casino Royale เขาก็นำเอาโปรเจ็คนี้ไปเสนอให้กับ เกรแฮม คิง "มีคนเคยสนับสนุนให้ผมนำเรื่องนี้กลับมาสร้างเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมคิดว่ามันเป็นไอเดียที่ดี เพราะเรื่องราวที่ทรงพลังของพ่อที่สูญเสียลูกสาว และการเดินทางค้นหาความจริง ไม่ใช่เพียงว่าใครเป็นคนฆ่าเธอ แต่ยังหาว่าเธอเกี่ยวข้องกับอะไร เขาเป็นคนที่รักลูกสาวมาก และคิดว่าตัวเองเข้าใจเธอ แต่เขาก็ค้นพบเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลัง ค้นพบว่าเธอเกี่ยวพันอะไรบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน"
วิลเลี่ยม โมนาแฮน ผู้เขียนบทภาพยนตร์มือรางวัลออสการ์จาก The Departed เล่าถึงการเขียนบทในเรื่องนี้ว่า "ผมประทับใจกับเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกสาว เพราะผมเองก็มีลูกสาว ดังนั้นผมก็เลยเขียนโดยสวมบทบาทในมุมมองของพ่อ และคอยถามตัวเองตลอดว่าถ้าเป็นผม ผมจะทำอย่างไร"
ในปี 1985 ซีรี่ย์ขนาดหกตอนจบเรื่อง Edge of Darkness เล่าถึงเหตุการณ์ในประเทศอังกฤษที่กำลังตึงเครียด เป็นช่วงที่อังกฤษกำลังร่วมสงครามเย็น และการถูกขมขู่เรื่องสงครามนิวเคลียร์จากสหภาพโซเวียต โดย Edge of Darkness ได้รับ 6 รางวัลแบฟต้า (โทรทัศน์) รวมถึงซีรี่ย์ยอดเยี่ยม ได้อันดับที่ 15 ของซีรี่ย์ยอดนิยมตลอดกาล และได้รับเสียงชื่นชมว่าเป็นซีรี่ย์ที่โยงความรักของครอบครัว เข้ากับความขัดแย้งทางการเมืองยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยสร้างกันมา
กิบสัน จำได้ถึงตอนที่เขาดูซีรี่ย์ต้นฉบับว่า "มันเป็นทริลเลอร์/อาชญากรรม และเป็นทริลเลอร์/การเมือง และมันก็ถูกเล่าอยู่ในช่วงที่อังกฤษมีปัญหาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผมคิดว่ามันเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ และเป็นตัวแทนแห่งยุค 80s ได้ดี"
แคมป์เบลล์ เสริมว่า "ซีรี่ย์ในยุค 80s เป็นตัวแทนของนโยบายนิวเคลียร์ของรัฐบาล ความสำคัญของแร่พลูโตเนียมและการซื้อขายแบบผิดกฏหมาย เป็นเรื่องราวที่กำลังถกเถียงกันอย่างร้อนแรงในขณะนั้น แต่ใจกลางที่แท้จริงของเรื่อง ก็เป็นเรื่องราวของพ่อที่สูญเสียลูกสาว และความพยายามในการค้นหาว่ามันเกิดขึ้นกับพวกเขาได้ยังไง"
แคมป์เบลล์ ยังเล่าถึงการดัดแปลงให้เป็นภาพยนตร์เรื่องใหม่ และเปลี่ยนแปลงสถานที่จากอังกฤษมาเป็นอเมริกาว่า "มันเป็นความคิดของ แอนดริว โบเวลล์ ผู้เขียนบทจากซีรี่ย์ ที่จะปรับเปลี่ยนมาเป็นเมืองบอสตัน บอสตันเป็นเมืองที่มีความเป็นไอริชสูง โดย คราเว่น ในซีรี่ย์จะเป็นคนอังกฤษตอนเหนือใกล้เมืองลีดส์ มันจึงเป็นพัฒนาการที่ใกล้เคียงกันเมื่อเวอร์ชั่นหนังฮอลลิวู้ด เราจะทำให้ คราเว่น ที่เป็นคนเมืองบอสตันเชื้อสายไอริช"
ดูเหมือนจะไม่มีนักเขียนบทคนไหนที่คุ้นเคยกับเมืองบอสตันมากไปกว่า วิลเลี่ยม โมนาแฮน อีกแล้ว เพราะเมื่อปี 2006 เขาได้รับรางวัลออสการ์จากการเขียนบทให้กับ The Departed หนังอาชญากรรมที่เกิดขึ้นในเมืองบอสตัน โดยผู้อำนวยการสร้าง เกรแฮม คิง ต้องการให้มือเขียนบทที่เกิดในเมืองบอสตันคนนี้ เข้ามาทำให้ Edge of Darkness มีมนต์ขลังค์ที่แตกต่างออกไปจากหนังทริลเลอร์ทั่วไป
เมล กิบสัน พูดถึงการเขียนบทของ โมนาแฮน ว่า "วิลเลี่ยม มีไหวพริบและคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของคนเมืองบอสตัน มันมีความดุดันตามสไตล์ของเขา แต่เขาก็ถือเป็นต้นฉบับแห่งการเล่าเรื่องตามขนบที่ไม่เหมือนใคร"
แคมป์เบลล์ เสริมว่า "วิลเลี่ยม เป็นคนเขียนบทสนทนาในเรื่องได้น่าเหลือเชื่อมาก เขามีเซ้นส์ในเรื่องการทำให้ตัวละครมีชีวิตชีวาขึ้นมา เขาเขียนบทภาพยนตร์จากมุมมองของตัวละครเป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างระหว่างตัวซรี่ย์และภาพยนตร์เรื่องนี้"
โมนาแฮน ที่ใช้ชีวิตอยู่ทั้งในบอสตัน นิวยอร์ค และ ลอสแองเจลิส เล่าว่า "ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้อยู่ในเมืองบอสตันตลอด แต่ผมก็สามารถเชื่อมต่อได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น คราเว่น เป็นชาวบอสตันเชื้อสายไอริชแบบดั้งเดิม เขาเป็นคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตแบบมีระเบียบแบบแผน ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเกินตัว เขามีชีวิต มีบ้าน และชอบฉายเดี่ยว เขาคือพ่อหม้ายที่โชคดี เพราะมีลูกสาวซึ่งเป็นคนที่ให้ความหมายของการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ดังนั้นเมื่อเขาสูญเสียเธอ เขาก็สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง"
------------การคัดเลือกนักแสดงใน Edge of Darkness-----------
...คุณคราเว่น เราต้องคุยกัน...
...คุณเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่...
...ผมรู้ว่าใครเป็นคนยิงลูกสาวคุณ...
จุดศูนย์กลางและตัวละครที่ซับซ้อนที่สุดใน Edge of Darkness ก็คือ โทมัส คราเว่น ตำรวจนักสืบฆาตกรรมในบอสตัน และเป็นพ่อหม้ายที่คิดว่าตัวเองรู้จักลูกดี แต่เขาก็ค้นพบความลับของเธอที่ไม่เคยล่วงรู้มาก่อน เพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้น โทมัส การเดินทางเพื่อตามหาความจริงและการไถ่โทษของเขา การคัดเลือกนักแสดงนำจะต้องสมบูรณ์แบบที่สุด
แคมป์เบลล์ ตั้งข้อสังเกตุเรื่องการคัดเลือกนักแสดงนำว่า "ผมคิดว่าบทของพ่อที่ถูกกัดกินด้วยความเศร้า จนในที่สุดก็ตัดสินใจตามหาคนที่จะมารับผิดชอบต่อการสูญเสีย นั้นคงเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของ เมล"
โทมัส คราเว่น เป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยความเศร้า เขาคิดว่าวิธีเดียวที่จะไถ่บาปก็คือการไขคดี เขาคือตำรวจ เขาเข้าใจกระบวนการยุติธรรม และเขาก็เป็นตำรวจที่ซื่อตรงมาตลอด แต่มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รู้ว่า การเล่นตามเกมไม่ได้ช่วยให้ได้รับความยุติธรรม และเขาต้องเล่นนอกเกมเพื่อตามหาความจริง"
กิบสัน เล่าถึงตัวละครนี้ว่า "คราเว่น เป็นคนที่ติดดิน เขาเป็นคนที่ใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน เขาไม่ใช่พ่อที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเขาก็รู้ตัวดี การเดินทางของ โทมัส ในเรื่องนี้คือสงครามเพื่อไถ่บาป ทุกสิ่งที่เขากระทำกัดกินความเป็นคนของเขา ความตึงเครียด ประสบการณ์ของการสูญเสียลูก ทำให้เขาต้องเดินทางไปทั่วเมืองเหมือนคนที่สูญเสียทุกอย่าง แต่เขาก็ยังต้องอดทนไว้เมื่อตัวเองต้องสะสางบัญชีหนี้แค้นให้สำเร็จ"
แคมป์เบลล์ กล่าวชื่นชมนักแสดงนำของเขาว่า "เมล มอบการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุด ในบทที่ต้องการฝีมือทางการแสดงที่ดี เชาไม่มีวันหยุดตลอดระยะการถ่ายทำ เพราะตัวละครนี้ต้องอยู่ในทุกๆฉาก เขาทำงานอย่างหนักและมันก็ให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าบนจอ"
ผู้อำนวยการสร้าง เกรแฮม คิง ก็กล่าวถึงการถ่ายทอดบทที่ซับซ้อนของ กิบสัน "ตำรวจจะต้องมีศัตรูอยู่รอบด้านอยู่แล้ว ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่ากระสุนนั้นหมายที่จะเอาชีวิต โทมัส และเธอก็เป็นเหมือนกับลูกหลง คงไม่มีใครนึกถึงการต้องมารับมือกับความรู้สึกผิด และอารมณ์ในสถานการณ์ที่ คราเว่น ไม่เหลือคนให้รักอีกแล้ว เขาหมดสิ้นทุกอย่าง สิ่งเดียวที่ทำได้คือการหาผู้กระทำผิด"
กิบสัน เล่าว่า เขาพบกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการรับทเป็น คราเว่น "ความนิ่งของเขา ความนิ่งของเขาคือสิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจ เขาเป็นคนที่ใจเย็นมาก ผมพยายามที่จะไม่แสดงถึงความเป็นคนโผงผางออกไป พยายามไม่ออกท่าทางหรือสีหน้าที่ไม่ใช่ตัวตนของ คราเว่น เพราะว่าเขาเป็นคนที่เก็บอารมณ์ได้ดีจนน่าเหลือเชื่อ"
คราเว่น มีสาเหตุที่จะเดินอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครที่สำคัญในเรื่องอีกคนอย่าง ดาริอุส เจ็ดเบิร์ค ปรากฏตัวในสวนหลังบ้านของเขาแบบไม่คาดคิด เรย์ วินสโตน ถือเป็นนักแสดงชาวอังกฤษเพียงคนเดียวในทีมนักแสดงฮอลลิวู้ด ซึ่งเป็นเหมือนการสลับกับซีรี่ย์ต้นฉบับ ที่ เจ็ดเบิร์ค เป็นชาวอเมริกันคนเดียวในทีมนักแสดงอังกฤษ
แคมป์เบลล์ ที่เคยร่วมงานกับ เรย์ วินสโตน เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว พูดถึงตัวนักแสดงว่า "เรย์ นำการแสดงอันทรงพลัง และความรู้สึกคุกคามเข้ามาใน ดาริอุส เจ็ดเวิร์ค แต่ในขณะเดียวกันเราก็อยากทำความรู้จักกับเขาให้มากกว่านี้"
วินสโตน ที่มีผลงานการแสดงอย่าง Beowulf, Indiana Jones & the Kingdom of Crystal Skull พูดถึงบทบาทที่เขาได้รับว่า "นี่คือตัวละครที่นักแสดงทุกคนอยากเล่น ผมคิดว่า เจ็ดเบิร์ค เป็นคนที่ฉลาด และสามารถเป็นนักฆ่าเลือดเย็น เขารู้ว่าเกมที่เล่นเป็นยังไง และรู้ว่าจะใช้คนโดยไม่ต้องบังคับได้ยังไง ผมคิดว่าเขาเข้าใจถึงความรู้สึกของตัวละครของ เมล ทั้งเรื่องความแค้นและโศกเศร้า เมื่อได้แลกเปลี่ยนบทสนทนากับเขา"
การทำงานร่วมกับผู้ว่าจ้างลึกลับ เจ็ดเบิร์ค ติดต่อมาหา คราเว่น เพื่อที่จะค้นหาว่าลูกสาวของ คราเว่น เข้าไปพัวพันกับอะไร และเธอมีข้อมูลอะไรบ้าง เขาได้รับสมญานามว่า "คนเก็บกวาด" และก็ได้รับการอนุญาตจากผู้ว่าจ้างอย่างเต็มที่ ในการทำอะไรตามความจำเป็นเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ เขาเป็นทั้งนักสืบ ผู้พิพากษา และเมื่อจำเป็น... มือสังหาร
แคมป์เบลล์ เล่าว่า "เจ็ดเบิร์ค เป็นคนที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลมานานหลายปีแล้ว แต่คุณก็ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาขึ้นตรงกับหน่วยไหน และทำไมเขาถึงมีอำนาจในการประเมินสถานการณ์ และจัดการเก็บกวาดเรื่องราววุ่นวาย โดยในกรณีนี้นั้นก็คือหายนะที่เกิดขึ้นกับบริษัทนอร์ธมัวร์”
นอร์ธมัวร์ คือบริษัทที่ เอ็มม่า เป็นพนักงานในช่วงเวลาที่เธอถูกฆ่า นี่คือบริษัทที่มีการทำสัญญากับรัฐบาลสหรัฐ และก็เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับสิ่งที่ทางบริษัททำ โดยทั้งหมดถูกควบคุมโดย แจ็ค เบนเน็ทท์
ผู้อำนวยการสร้าง เกรแฮม คิง พูดถึงตัวซีอีโอบริษัทนอร์ธมัวร์ว่า "เบนเน็ทท์ คือผู้ร้ายตัวจริงแห่งโลกยุคโลกาภิวัฒน์ เขาคือนักธุรกิจที่มีเสน่ห์ วิสัยทัศน์ และมาดที่ดี และยังเป็นผู้กุมชะตาของประเทศทางอ้อม"
แดนนี่ ฮุสตัน นักแสดงจาก Robin Hood และ X-Men Origins: Wolverine รับบทเป็น เบนเน็ทท์ โดยเขาพูดถึงการแสดงว่า "ผมชอบรับบทเป็นผู้ร้ายที่หาข้อหักล้างในการกระทำของตัวเองได้ ผมไม่คิดว่า เบนเน็ทท์ เป็นนักการเมือง เขาแค่รู้จักใช้การหมุนของโลกให้เป็นประโยชน์ เขารู้ว่าบางครั้งต้องมีการแลกเปลี่ยน แต่มันก็มีเหตุผลที่หักล้างเสมอ เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ต้องตอบคำถามทุกคน สำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่เกมการเมือง แต่เป็นเกมการเงิน"
แคมป์เบลล์ พูดถึงนักแสดงคนนี้ว่า "แดนนี่ เป็นนักแสดงที่ยอดเยี่ยม ไม่มีใครที่แสดงบทแบบนี้ได้เหมือนเขา เขาไม่เหมือนผู้ร้ายทั่วไปที่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ มันมีความถูกต้องในสิ่งที่เขาพูด ซึ่งก็ทำให้เขายิ่งเป็นคนที่ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก"
อีกหนึ่งตัวละครที่ทำให้คนดูยิ่งกลัว เบนเน็ทท์ ก็คือ ดาเนียล เบิร์นแฮม แฟนหนุ่มของ เอ็มม่า และเป็นพนักงานของนอร์ธมัวร์เหมือนกัน ซึ่งเขาก็ยังถือกุญแจสำคัญให้กับ โทมัส คราเว่น ไปสู่เบื้องหลังทุกสิ่ง ซึ่งการพบกันครั้งแรกระหว่างพวกเขาก็มีความรุนแรงและน่าจดจำ และคนที่เข้ามารับบทนี้ก็คือ ฌอน โรเบิร์ต
โรเบิร์ต พูดถึงการรับบทนี้ว่า "บทภาพยนตร์ดึงดูดผมให้เข้ามา มันมีความรู้สึกว่าจะต้องมีคนตายเพิ่มตลอดเวลา ความตึงเครียดเป็นแรงขับดันในการกระทำของตัวละคร เมื่อคุณได้พบ เบิร์นแฮม ครั้งแรก เขาซ่อนตัวอยู่ในอพาร์ทเม้นท์มานานแล้ว และสิ่งแรกที่เขาเปิดประตูมาก็คือปืนที่อยู่ในมือของใครบางคน"
เบิร์นแฮม เป็นตัวละครคนแรกที่เห็นใจกับความสูญเสียของ คราเว่น ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะเขาก็สูญเสียหญิงที่เขารักอย่าง เอ็มม่า ไปด้วยเช่นกัน โดยคนที่มารับบทนี้ก็คือนักแสดงที่เกิดในเซอร์เบียอย่าง โบจานา โนวาโควิค ที่เหตุฆาตกรรมของเธอกลายเป็นตัวจุดปะทุทุกสิ่งทุกอย่างของเรื่องนี้
โนวาโควิค เล่าถึงเสน่ห์ของเรื่องนี้ว่า "ฉันพบว่ามันมีส่วนผสมที่น่าสนใจ แรงผลักดันของเรื่องราวเกิดขึ้น เพราะการกระทำที่ผู้หญิงคนนี้ได้กระทำ เอ็มม่า ทำตามสัญชาตญาณของเธอ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอเชื่อว่าดีและถูกต้องตามมโนธรรม เธอพยายามต่อสู้กับกลุ่มคนที่ใหญ่ มีอำนาจ และเงินมากกว่าเธอ"
ในฉากเปิดของหนัง เอ็มม่า กลับมาบ้านเพื่อเยี่ยมพ่อ และมันก็มีความรู้สึกบ่งบอกว่านี้ไม่ใช่การกลับมาเยี่ยมทั่วไป โนวาโควิค เล่าต่อว่า "เอ็มม่า ต้องการให้พ่อแนะนำเธอถึงสิ่งที่เธอทำไป เป็นเพราะเขาคือตำรวจและมีประสบการณ์มากกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้วฉันคิดว่า นี่คือลูกสาวที่ต้องการความช่วยเหลือจากพ่อเท่านั้นเอง"
โชคร้ายที่ โทมัส คราเว่น สูญเสียเธอก่อนที่จะมีโอกาสได้พูดความจริง แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาก็ยังเห็นมองเด็กและหญิงสาวที่อยู่ในจินตนาการของเขา โนวาโควิค เล่าว่า "โทมัส ต้องการให้เธอพูดคุยกับเขา เพราะว่าเขาไม่เหลือใครให้พูดด้วยอีกแล้ว มันคือหนทางเดียวที่ทำให้เขามีพลังในการสืบค้นหาความจริงต่อไป"
กิบสัน อธิบายต่อว่า "เอ็มม่า จะไม่พูดอะไรที่ไม่ได้อยู่ในจินตนาการของ คราเว่น แน่นอน ซึ่งมันก็ทำให้เขาได้รู้จักตัวตนของลูก มากกว่าที่เขารู้จักในขณะที่เธอยังมีชีวิตอยู่เสียอีก"
โนวาโควิค และ กิบสัน ได้ทำควมรู้จักกันหลังจากซ้อมบท และเคมีระหว่างทั้งสองก็ก่อตัวขึ้นทันที ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อและลูกสาวมีความสมจริงและน่าเชื่อถือที่สุด กิบสัน เล่าว่า "มันมีแรงดึงดูดที่เกิดขึ้นกับตัว โบจาน่า บางสิ่งที่ทำให้เธอฝังอยู่ในใจของคนดู ถึงแม้ว่าเธออยู่บนจอไม่นานนัก แต่คุณก็จะรู้สึกได้ถึงตัวตนของเธอตลอดเวลา"
--------------------การถ่ายทำ Edge of Darkness--------------------
...คุณถลำลึกเกินไปแล้ว...
...นี่ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ...
Edge of Darkness ถ่ายทำกันรอบตัวเมืองบอสตัน รวมถึงสถานที่สำคัญอย่างแบ็คเบย์ สวนสาธารณะกลาง, แมนชั่นในแมนเชสเตอร์, ชาร์ลสทาวน์, ท่าเรือนิวบิวรี่ย์, ลินคอนส์, เมอร์ริแม็ค และร็อคพอร์ท โดยภายในบ้านของ คราเว่น และลูกสาวถูกถ่ายทำในสตูดิโอที่เชลซี โดยทีมงานยังไปถ่ายทำในแถบตะวันตกของรัฐแมสซาชูเซสในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
กิบสัน เล่าถึงประสบการณ์ในการถ่ายทำว่า "การถ่ายทำในบอสตันถือเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าคุณจะมองไปที่ไหน คุณก็จะรู้สึกได้ถึงประวัติความเป็นมาที่ทำให้คุณรู้สึกซาบซึ้งถึงอิสรภาพที่เรามี คุณจะอยู่ตรงใจกลางของประเทศ ซึ่งอุดมไปด้วยกลิ่นอายวัฒนธรรมจากยุโรป"
สิ่งหนึ่งที่ผู้กำกับ มาร์ติน แคมป์เบลล์ ต้องการก็คือ การทำให้หนังมีความสมจริงมากที่สุดเท่าที่ทำได้ "ความสมจริงคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการในการสืบสวนคดี หรือแม้กระทั่งฉากแอ็คชั่นก็มีความเกี่ยวโยงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทำให้คุณรู้สึกว่าโดยกระแทกเข้าอย่างจัง”
แคมป์เบลล์ กลับมาทำงานร่วมกับ ฟิล มีฮ็อกซ์ ผู้กำกับภาพรู้ใจ รวมถึงผู้ออกแบบงานสร้าง ทอม แซนเดอร์ ที่ได้ร่วมงานกันเป็นครั้งแรก
มีฮ็อกซ์ พูดถึงแนวทางการถ่ายทำเรื่องนี้ว่า "หน้าที่หลักของผู้กำกับภาพก็คือการส่งเสริมอารมณ์ร่วมให้กับคนดู สิ่งที่เราใช้ในเรื่องนี้ก็คือแสงไฟ อย่างเช่นเวลาที่ คราเว่น ขอลาพักจากกรมตำรวจ ดังนั้นในห้องครัวของเขากลายเป็นสถานที่ทำงาน ในตอนเริ่มแรกของหนังมันมีแสงสว่างที่มากกว่า แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปและเราได้รู้เรื่องราวมากขึ้นเรื่อยๆ แสงสว่างในห้องก็มึดลงเรื่อยๆเช่นกัน นี้เป็นสิ่งที่เราช่วยเน้นในเรื่องความรู้สึกของตัวละคร"
แซนเดอร์ และทีมงานยังทำงานในการสร้างฉากและหาสถานที่อย่างหนัก "พวกเราใช้ ซูการ์โลฟ ในการถ่ายทำ เพราะว่าเราจะได้จับภาพใบไม้ที่ร่วงหล่นจากต้น ซึ่งเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ในเขตซูการ์โลฟสวยงามมาก เป็นหุบเขาทางประวัติศาสตร์ที่เคยเกิดการรบครั้งสำคัญ พวกเราให้ออฟฟิศของ เบนเน็ทท์ อยู่เหนือภูเขา ซึ่งทำให้เราเห็นบรรยากาศโดยรอบทั้งหมดของหุบเขาแห่งนี้"
ทีมงานของ แซนเดอร์ ยังเอาใจใส่กับการเลือกใช้สี เขาเล่าว่า "พวกเราพยายามทำให้ทุกอย่างดูหม่นๆและไม่สดใส ซึ่งทำให้เครื่องแต่งกายของนักแสดงมีความโดดเด่นมากกว่า และทำให้ผู้ชมสนใจกับตัวละครและความรู้สึกมากกว่า แทนที่จะไขว้เขวไปกับฉากหลังภายในห้อง"
ฉากที่แสดงให้เห็นถึงอารมณ์ของ คราเว่น เกิดขึ้นในบ้านของตัวเอง แซนเดอร์ เล่าถึงฉากนี้ว่า "สำหรับ คราเว่น แล้ว พวกเราจำลองบ้านที่พบนอกตัวเมืองบอสตัน จากนั้นเราก็สร้างทั้งภายในและภายนอกในสตูดิโอ ซึ่งเรายังสร้างห้องใต้หลังคาของ เอ็มม่า อีกด้วย"
นอกจากทีมงานที่ทำการบ้านมาอย่างดี เมล กิบสัน ที่เป็นคนออสเตรเลียเองก็ต้องศึกษาการพูดสำเนียงของชาวบอสตัน เชาเล่าว่า "ญาติพี่น้องของผมมาจากควีนส์และบรูคลิน แม่ของผมเป็นคนบรูคลินเชื้อสายไอริช ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรนัก ผมยังได้พูดคุบกับ ทอมมี่ ดัฟฟี่ ที่เป็นตำรวจบอสตันขนานแท้ ผมคิดว่าการพูดสำเนียงอื่นก็เหมือนกับการเป็นอีกคนหนึ่ง มันทำให้คุณหลุดเข้าไปในโลกอีกใบ และกลายเป็นอีกชีวิตไปเลย"
------------------การแต่งกายใน Edge of Darkness-----------------
...คนร้ายมีทั้งอาวุธหนักและอันตราย...
...ฉันเองก็เหมือนกัน...
องค์ประกอบอีกอย่างที่ทำให้ โทมัส คราเว่น ดูเหมือนคนทั่วไปได้น่าเชื่อถือมากขึ้นก็คือเครื่องแต่งกาย ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย ลินดี้ เฮ็มมิ่ง ก็ได้รับแนวทางจากผู้กำกับว่าต้องทำให้ทุกอย่างสมจริง เธอพูดถึงเขาว่า "มาร์ติน เป็นผู้กำกับที่ดีเพราะเขาสามารถคุยกับคุณได้ทุกเรื่อง เขาแจกแจงถึงสิ่งที่ตัวเองคิด และก็ปล่อยให้คุณทำไปตามแนวทางของตัวเอง"
สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ทั้งในซีรี่ย์ต้นฉบับปี 1985 และภาพยนตร์ปี 2010 ก็คือเสื้อโค้ทของ คราเว่น โดย เฮ็มมิ่ง เล่าว่า "มาร์ติน ต้องการใช้เสื้อโค้ทกันฝนตัวเดิม ซึ่งเป็นสิ่งที่ คราเว่น สวมใส่ตลอดหลังจาก เอ็มม่า ถูกยิงเสียชีวิตข้างตัวเขา โดยเรามีเสื้อโค้ทแบบนี้ประมาณ 25 ตัว แต่ละตัวก็มีสภาพแย่ลงเรื่อยๆหลังจากที่ คราเว่น ออกเดินทางไปพบกับอันตราย ซึ่งมันก็บ่งบอกได้ถึงสภาพจิตใจของเขาที่แย่ลงเรื่อยๆเช่นกัน"
ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายยังได้เข้าหาเครื่องแต่งกายของตัวละครของ แดนนี่ ฮุสตัน อย่าง แจ็ค เบนเน็ทท์ โดย เฮ็มมิ่ง เล่าว่า "ตัวละครเดียวที่ฉันออกแบบให้ดูสง่างามก็คือ แจ็ค เบนเน็ทท์ ด้วยชุดสูทที่สง่างาม รวมถึงตัวของ เจ็ดเบิร์ค ด้วย พวกเขาต้องดูเป็นคนที่มีอำนาจเหนือกว่า คราเว่น"
แต่ เฮ็มมิ่ง ต้องทำให้แน่ใจว่า เจ็ดเบิร์ค จะไม่ได้ดูเยอะเกินไป "เสื้อผ้าของเขาต้องดูเหมือนว่าแพงเช่นกัน แต่ก็ต้องมีรายละเอียดที่ซ่อนอยู่ด้วย มันไม่เปิดเผยว่าตัวตนของเขาเป็นใคร และไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับชีวิตของเขา เพราะว่าความลับคือตัวตนของ เจ็ดเบิร์ค ซึ่งมันก็เป็นเรื่องท้าทาย เพราะ เรย์ วินสโตน เป็นคนที่เปิดเผยและเป็นกันเองที่สุดบนกองถ่ายแล้ว (หัวเราะ)"
ตัวละครอีกคนหนึ่งที่ เฮ็มมิ่ง ต้องเอาใจใส่ก็คือ เอ็มม่า คราเว่น "ฉันต้องการให้เธอดูเหมือนวัยรุ่นของบอสตันทั่วไป และเพราะ เอ็มม่า ต้องปรากฏตัวหลังจากที่เธอเสียชีวิต ฉันและผู้กำกับก็ตกลงกันว่าจะไม่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายของเธอ เพราะว่านี้คือความทรงจำสุดท้ายที่ คราเว่น มีต่อลูกสาวของเขา"
-------------------บทสรุปของ Edge of Darkness--------------------
...ผมไม่มีอะไรต้องสูญเสียอีกแล้ว...
สำหรับผู้กำกับ มาร์ติน แคมป์เบลล์ การได้กลับไปหาตัวละครและเรื่องราวที่คุ้นเคย หลังจากผ่านไปกว่าสองทศวรรษถือเป็นเรื่องที่ท้าทายที่สุด "มันก็เหมือนกับตอนที่ผมทำซีรี่ย์ ผมคิดว่า Edge of Darkness คือเรื่องราวที่จับใจ ของผู้ชายที่สูญเสียลูกสาวและออกไปตามหาความจริงเพื่อแก้แค้น และมันก็ยังจับใจผู้ชมไม่ว่าจะยุคสมัยไหน"
ผู้อำนวยการสร้าง เกรแฮม คิง เห็นด้วยกับผู้กำกับ "สำหรับผมแล้ว Edge of Darkness ไม่เกี่ยวกับเรื่องราวการเมืองในปัจจุบัน มันเกี่ยวกับผู้ชายที่ออกตามหาความยุติธรรม และมันก็เป็นการเดินทางที่มุ่งหน้าไปสู่เรื่องราวที่ใหญ่กว่าตัว ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า สิ่งเดียวที่คุณทำได้คือติดตามไปในการเดินทางครั้งนี้"
นอกจากการเดินทางของ โทมัส คราเว่น ในการแก้แค้นให้กับการตายของลูกสาว นักแสดงนำอย่าง เมล กิบสัน ก็ยังพบว่ามันเป็นเรื่องราวที่ใกล้ชิดกับสัญชาตญานของมนุษย์ "ผมรู้สึกทึ่งไปกับตัวละคร และปฏิกริยาตอบสนองเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา ในขณะเดียวกันมันก็เกี่ยวกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งความไม่มั่นคงของชีวิตนี้แหละที่ทำให้ทุกคนหวาดกลัว"
ประวัตินักแสดง
เมล กิบสัน (รับบทเป็น โทมัส คราเว่น)
เมล กิบสัน เกิดเมื่อวันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 1956 เป็นนักแสดง ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง ที่เกิดในอเมริกาแต่เติบโตในออสเตรเลีย เขาแจ้งเกิดจากการรับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง Mad Max และในปีเดียวกันนั้นเองเขาก็ได้รับรางวัลจาก Australian Film Institute ในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์ของ ปีเตอร์ เวียร์ เรื่อง Gallipoli และได้รับรางวัลเป็นครั้งที่สองจากภาคต่อ Mad Max 2: The Road Warrior
เขาได้เริ่มทำงานร่วมกับ ปีเตอร์ เวียร์ อีกครั้งในภาพยนตร์เรื่อง The Year of Living Dangerously ก่อนที่จะก้าวเข้ามาในฮอลลิวู้ดโดยแสดงคู่กับ ซิสซี่ สปาเซค ในเรื่อง The River และภาพยนตร์รีเมคชื่อดังในบท เฟรทเชอร์ คริสตียน เรื่อง The Bounty รวมถึงบทนักโทษหนุ่มที่มีความสามารถพิเศษในเรื่อง Mrs. Soffel
เมล กิบสัน ได้แสดงภาคสามของ Mad Max ที่ชื่อ Mad Max Beyond Thunderdome และต่อมากับภาพยนตร์แนวบู๊ผจญภัย เรื่อง Lethal Weapon ที่ถูกสร้างภาคต่ออกมาอีกถึงสามภาค เขายังแสดงหนังสงครามเวียดนามเรื่อง Air America และหนังแอ็คชั่น Bird on a Wire กิบสัน ยังได้ตั้งบริษัท ไอคอน โปรดักชั่นโดยเข้าหุ้นกับ บรู๊ซ เดวีย์ ในการสร้างภาพยนตร์เรื่อง Hamlet ที่กำกับโดยผู้กำกับในตำนาน ฟรานโก้ เซฟฟิเรลลี่
เขายังมีผลงานต่อมาอีกหลายเรื่อง เช่น Forever Young, Maverick, Payback รวมถึง Ransom ซึ่งเขาได้รับการเสนอเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำในฐานะนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ของ ริชาร์ด ดอนเนอร์ Conspiracy Theory กิบสันยังได้เริ่มงานการกำกับเป็นครั้งแรกในเรื่อง The Man Without a Face
ในปี 1995 กิบสัน ได้ร่วมอำนวยการสร้าง กำกับการแสดง และร่วมแสดงในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จของบ็อกซ์ออฟฟิสเรื่อง Braveheart ซึ่งได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลออสการ์ถึง 10 รางวัลและได้รับรางวัลถึง 5 รางวัล รวมทั้งภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและผู้กำกับยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในปี 2000 กิบสันกลายเป็นดาราคนแรกที่แสดงหนังถึงสามเรื่องในปีเดียวที่ทำรายได้ถึง 100 ล้านเหรียญ ในภาพยนตร์ของ โรแลนด์ เอมเมอร์ริช เรื่อง The Patriot การให้เสียงพากษ์เป็นไก่อเมริกันชื่อ ร๊อคกี้ ในภาพยนตร์การ์ตูนแนวผจญภัย เรื่อง Chicken Run และปลายปีนั้นเขาก็รับบทเป็น นิค มาร์เชล ผู้บริหารนักโฆษณาชาตินิยม ในภาพยนตร์เรื่อง What Women Want แสดงร่วมกับ เฮเลน ฮันท์ ที่ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัลลูกโลกทองคำอีกด้วย
ในปี 2004 เมล กิบสัน ได้กำกับภาพยนตร์ศาสนาเรื่อง The Passion of the Christ ที่ทำรายได้ถล่มทลายถึง 370 ล้านเหรีญ และเข้าชิงถึง 3 รางวัลออสการ์ ต่อมาในปี 2006 เขาก้ได้กำกับหนังแอ็คชั่นเรื่อง Apocalypto ที่พูดถึงการล่มสลายของชาวมายัน จนในที่สุด หลังจากการหายไปจากหน้าจอภาพยนตร์กว่า 8 ปี เขาก็ได้กลับมารับบนำใน Edge of Darkness
เรย์ วินสโตน (รับบทเป็น ดารุอุส เจ็ดเบิร์ค)
เรย์ วินสโตน เป็นนักแสดงอังกฤษที่มีผลงานการแสดงมากกว่า 30 ปี โดยล่าสุดเขาเพิ่งมีบทบาทสำคัญใน Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull หรืออินเนียน่า โจนส์ ภาคล่าสุดของผู้กำกับ สตีเว่น สปีลเบิร์ค รวมถึงการรับบทเป็นพระเอกใน Beowulf หนังโมแค๊ป/อนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่ที่กำกับโดย โรเบิร์ต เซกเมคิส
ก่อนหน้านี้เขามีบทบาทสำคัญในหนังออสการ์ประจำปีของ มาร์ติน สกอรเซซี่ย์ เรื่อง The Departed รวมถึงการขโมยซีนในหนังโรแมนติก-คอมเมดี้เรื่อง Fool's Gold ที่นำแสดงโดย แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ และ เคท ฮัดสัน
วินสโตน ได้รับรางวัล British Independent Film Award ประจำปี 1998 ในสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยม จากบทบาทในหนังเรื่อง Nil by Mouth และยังเข้าชิงรางวัลเดียวกันอีกสองครั้งในเรื่อง The War Zone และ Sexy Beast
ผลงานในช่วงแรกของการแสดงของเขาจะอยู่ในบ้านเกิดเป็นส่วนใหญ่ โดบเขาแจ้งเกิดจากหนังรุนแรงอย่าง Scum ก่อนที่จะได้รับบทในหนังมากมาย เช่น Quadrophenia, Agnes Brown, Fanny & Elvis ก่อนที่จะก้าวเข้ามาในฮอลลิวู้ด และได้รับบทมากมายในหนังอย่าง Cold Mountain ของผู้กำกับ แอนโธนี่ มิงเกลล่า, King Arthur ของ อังตวน ฟูควา รวมถึง The Chronicles of Narnia: The Lion, the Witch and the Wardrobe หนังแฟนตาซีเรื่องดังอีกด้วย
แดนนี่ ฮุสตัน (รับบทเป็น แจ็ค เบนเน็ทท์)
แดนนี่ ฮูสตัน เป็นทั้งนักแสดง ผู้เขียนบท ผู้กำกับ และผู้อำนวยการสร้าง โดยเขาเริ่มเข้าวงการด้วยการร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์อินดี้ เรื่อง Ivansxtc ซึ่งได้รับคำชมไปเต็มๆ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เขามีงานแสดงออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเร็วๆ นี้ ฮุสตัน ร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ดราม่าของผู้กำกับ อัลฟอนโซ่ คัวรอน เรื่อง Children of Men นอกจากนั้นยังมีผลงานการแสดงในเรื่อง 30 Days of Night ของผู้กำกับ เดวิด สเลด ซึ่งร่วมแสดงกับจอช ฮาร์ตเน็ตต์ และ How to Lose Friends & Alienate People หนังตลกนำแสดงโดย เคิร์สเตน ดันสต์ และ ไซม่อน เพ็กก์
ฮุสตัน ยังแสดงนำในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมจากออสเตรเลียเรื่อง The Proposition และยังร่วมแสดงอยู่ในหนังของผู้กำกับ โซเฟีย คอปโปล่า เรื่อง Marie Antoinette โดยเขามีผลงานการแสดงอยู่ในภาพยนตร์ที่ได้รับคำชมเรื่อง The Constant Gardener ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล Golden Satellite Award สาขาดาราสมทบชายยอดเยี่ยม
นักแสดงจากตระกูลนักแสดงคนนี้ ยังร่วมแสดงอยู่ในภาพยนตร์ของ มาร์ติน สกอร์เซซี่ เรื่อง The Aviator ซึ่งนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ และ อเล็ค บอลด์วิน เขายังแสดงนำในภาพยนตร์เรื่อง Birth ประกบคู่กับ นิโคล คิดแมน และเรื่อง 21 Grams ผลงานการกำกับของ อเลยานโดร กอนซาเลซ อินาร์ริตู
โบจานา โนวาโควิค (รับบทเป็น เอ็มม่า คราเว่น)
ผลงาน >>> Drag Me to Hell, The Optimists, Solo
ฌอน โรเบิร์ต (รับบทเป็น เบิร์นแฮม)
ผลงาน >>> I Love You, Beth Cooper, Diary of the Dead, Resident Evil: Afterlife
ประวัติทีมสร้าง
มาร์ติน แคมป์เบลล์ (ผู้กำกับ)
ผลงานเรื่องล่าสุดของ มาร์ติน แคมป์เบลล์ คือหนังที่เป็นการกลับมาของ เจมส์ บอนด์ คนใหม่อย่าง แดเนี่ยล เคร็ก ในเรื่อง Casino Royale ที่ได้ทั้งรับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์และยังทำรายได้ถล่มทลาย โดยก่อนหน้านั้นเขาก็ได้กลับไปร่วมงานกับ แอนโตนิโอ แบนเดอรัส และ แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ ในเรื่อง The Legend of Zorro ซึ่งเป็นภาคต่อของหนังฮิตเรื่อง The Mask of Zorro ที่ มาร์ติน แคมป์เบลล์ รับหน้าที่เป็นผู้กำกับเช่นกัน
ผู้กำกับที่มีพื้นเพจากประเทศนิวซีแลนด์ แคมป์เบลล์ เริ่มต้นด้วยการเป็นผู้ช่วยตากล้องในบริษัทโปรดักชั่นท้องถิ่น ก่อนที่จะอำนวยการสร้างให้หนังอินดี้สุดฮิตอย่าง Scum และ Black Joy ที่ถูกคัดเลือกให้เข้าฉายในเทศกาลหนังเมืองคานส์ โดยเขายังได้เริ่มต้นกำกับครั้งแรกในซีรี่ย์มากมาย เช่น The Professionals และ Shoestring ก่อนที่จะได้รับคำชมอย่างท่วมท้นกับซีรี่ย์คลาสสิกเรื่อง Edge of Darkness ที่ได้รับรางวัลแบฟต้าถึง 6 สาขา รวมถึงรางวัลซีรี่ย์ยอดเยี่ยม
หนังเรื่องแรกในฮอลลิวู้ดของ แคมป์เบลล์ คือ Criminal Law ก่อนที่จะมีผลงานตามมาอย่าง Defenseless และ No Escape ก่อนที่ในปี 1995 เขาก็ได้กำกับ เจมส์ บอนด์ คนใหม่ในตอนนั้นอย่าง เพียรส์ บรอสแนน เรื่อง GoldenEye ที่ทำเงินไปมากกว่า 350 ล้านเหรียญทั่วโลก โดยในปี 2000 เขาก็ยังได้กำกับหนังไต่เขาเรื่อง Vertical Limit ที่ทำรายได้ไปกว่า 200 ล้านเหรียญทั่วโลก
ในปัจจุบัน มาร์ติน แคมป์เบลล์ ทำหน้าที่กำกับหนังแอ็คชั่นซุเปอร์ฮีโร่เรื่อง Green Lantern ที่นำแสดงโดย ไรอัน เรย์โนลด์, เบลค ไลฟ์ลี่, มาร์ค สตรองค์ และ ปีเตอร์ ซาร์สการ์ด รวมถึงหนังอาชญากรรมที่ดัดแปลงจากหนังฝรั่งเศสเรื่อง 36 ที่มีกำหนดฉายในปี 2012
วิลเลี่ยม โมนาแฮน (ผู้เขียนบท)
วิลเลี่ยม โมนาแฮน ได้รับรางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยมจากเรื่อง The Departed ซึ่งกำกับโดย มาร์ติน สกอร์เซซี่ย์ โดยเขายังได้รับรางวัลจากสมาคมนักเขียนของอเมริกา และยังถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแบฟต้าและลูกโลกทองคำจากรางวัลเดียวกันอีกด้วย
ผลงานต่อมาของเขาก็คือ Kingdom of Heaven หนังสงครามศาสนาของผู้กำกับ ริดลี่ย์ สก็อตต์ และ Body of Lies ที่นำแสดงโดย ลีโอนาโด ดิคาปริโอ และ รัสเซล โครว์ โดย โมนาแฮน เพิ่งถ่ายทำภาพยนตร์ที่เขาทำหน้าที่เป็นผู้กำกับเป็นครั้งแรกอย่าง London Boulevard เสร็จ
เกรแฮม คิง (ผู้อำนวยการสร้าง)
ผลงาน >>> The Departed, Blood Diamond, The Aviator, Gangs of New York
ฟิล มีฮ็อกซ์ (ผู้กำกับภาพ)
ผลงาน >>> Casino Royale, GoldenEye, The Mask of Zorro
ทอม แซนเดอร์ (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> Braveheart, Apocalypto, Saving Private Ryan, Bram Stoker’s Dracula
สจ๊วต เบียร์ด (ผู้ตัดต่อภาพ)
ผลงาน >>> Superman, Gorillas in the Mist, Casino Royale
ลินดี้ เฮ็มมิ่ง (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ผลงาน >>> Topsy-Turvy, Casino Royale, GoldenEye, Tomorrow Never Dies
โฮเวิร์ด ชอว์ (ผู้ทำเพลงประกอบ)
ผลงาน >>> The Lord of the Rings Trilogy, The Departed, The Silence of the Lambs