กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--จีทีเอช
บทสัมภาษณ์ “เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
เขียนบทเอง เล่นเอง กับบทหนุ่มจอมกวนในหนัง “กวน มึน โฮ”!!
เต๋อ-ฉันทวิชช์ ธนะเสวี กับบทบาทพระเอกจอมกวน ที่จะมาปะทะคารมกับ นางเอกสาวหน้ามึน หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ ซึ่งเรื่องนี้ เต๋อ ลงมือเขียนบทเอง เล่นเองเป็นครั้งแรกในหนังแนว โฮแมนติก กวนมิดี้ “กวน มึน โฮ” ของผู้กำกับหนังผีที่ลงมือกำกับหนังรักเป็นครั้งแรก “โต้ง-บรรจง ปิสัญธนะกูล” ค่าย จีทีเอช ซึ่งเต๋อ ทุ่มเทสุดๆกับหนังเรื่องนี้
**ไอเดียเขียนบทเรื่องนี้มาจากไหน
“ในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในคนเขียนบทเรื่องนี้ ไอเดียของเรื่องเกิดมาจากความคิดที่ว่า จริงๆแล้วความรักมันเกิดขึ้นจากอะไร เกิดจากการที่เราเจอกันคุยกัน หรือความรักเกิดขึ้นมาเลยทั้งๆที่เราไม่รู้จักกัน ในขณะที่บางคนคบกันมา 8-9 ปี ยังไม่แน่ใจเลยว่ารักกันหรือเปล่า แต่บางคนอาจจะรักกันได้เลย เลยพัฒนาบทมาจนเป็นเรื่องนี้ครับ”
**จากบทบาทคนเขียนบท สู่การเป็นนักแสดง
“เป็นโปรเจคที่ปั้นมาตั้งแต่แรก ผมตื่นเต้นมาก อย่างแรกคือเป็นอะไรที่ผมไม่เคยทำมาก่อน คือเขียนบทแล้วมาเล่น มันหลายความรู้สึกมาก มันกดดัน ไม่มั่นใจ ตื่นเต้น สนุก เรารู้ว่าเป็นแบบนี้จากบท พอได้เห็นเรารู้สึกว่ามันดีกว่าที่คิดไว้อีก บางอันที่คิดไว้ เช่นฉากหิมะสกีรีสอร์ท ผมคิดไว้ประมาณนึง พอไปถ่ายจริงมันอลังการ ยิ่งใหญ่ บางครั้งด้วยความที่เราเขียนบทเอง ทำให้เกิดความกดดันเล็กๆ ว่าเราจะเล่นไม่ได้อย่างไรล่ะ ในเมื่อเราเขียนเอง จะมีความรู้สึกแบบนี้แทรกเข้ามาตลอด กดดันตัวเอง แต่ข้อดีคืออินกับตัวละคร จะรู้ว่าฉากนี้พูดเพื่ออะไร ผ่านการคุยกันมาหมดแล้ว”
***มีฉากไหนที่โหดที่สุด
“มีอยู่ฉากหนึ่งที่ทรมานมากคือฉากที่ผมต้องใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ท่ามกลางอากาศหนาวที่สุด อุณหภูมิ 0 หรือใกล้ๆติดลบ เพื่อความสมจริงกับบทที่ตัวเองเขียนไว้ ก็เลยต้องโชว์สปิริต ในขณะที่คนอื่นแต่งตัวเต็มที่ แต่ผมทั้งหนาว ทั้งสั่น เพราะลมแรง เรียกว่าหนาวจนป่วย ลามจนเป็นหวัดเลย ต้องกินวิตามินซีตลอด“
**ฉากที่ยกให้เป็นสุดยอดความประทับใจ
“ความประทับใจในการถ่ายทำ ที่ผมชอบมากๆคือที่สกีรีสอร์ท เพราะเกิดมาผมไม่เคยเล่นสกีมาก่อน พอเห็นลานสกีแล้วก็ตกใจ เราไปในช่วงที่ลานสกีมันปิดให้บริการแล้ว ช่วงที่เขาปิดไม่ให้คนเข้า เลยไม่มีนักท่องเที่ยวเลย แต่ว่าหิมะยังอยู่แปลกมาก ชอบมาก ผมได้ไปเล่นสกี เล่นกี่ทีก็ล้ม เวลาดูหนังแล้วเห็นคนหกล้ม ดูไม่น่าจะเจ็บ แต่จริงๆแล้วมันเจ็บ ถึงแม้จะล้มลงบนหิมะ มีบ้างที่ประคองตัวได้ บอกทีมงานว่าพอได้ๆ แต่ไม่ทันจบประโยคก็ล้มอีก แต่น้องหนูหนาเก่งมาก ไม่รู้ว่าพื้นฐานการเต้น มันจะทำให้มีเบสิคการทรงตัวหรือเปล่า“
**มีฉากไหนที่เราเล่นแล้วไม่มีวันลืม แบบโหดสุดๆ
“ถือเป็นฉากที่โหดที่สุดสำหรับผม ในเรื่องต้องกินปลาหมึกเป็นๆ ในความเป็นจริงแล้วคนเกาหลี เวลากิน จะตัดหนวดเป็นชิ้นเล็กๆ ตัดหัวทิ้งไป หนวดก็จะสดมาก ยังดิ้นอยู่ แล้วก็โรยน้ำมันงา จิ้มน้ำจิ้มกินได้เลย ในฉากที่ต้องเล่นมันโหดกว่านั้นคือ ต้องกินทั้งตัว ไม่มีน้ำจิ้ม ไม่มีน้ำมันงา ผมต้องอมหัวปลาหมึกมันเข้าไป คือไม่กัดไม่งับ เพราะไม่ได้ตั้งใจจะฆ่ามัน พอแค่ถ่ายได้ แต่สัญชาตญาณของมันคือการเอาชีวิตรอด มันเลยต่อสู้ ต่อสู้แรงเลย มันพยายามบีบรัดด้วยหนวดของมัน ผมก็ต้องทน กล้องก็ถ่ายต่อไป จนผมเริ่มทนไม่ไหว เพราะเริ่มเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะปลาหมึกเวลาเราไปจับหนวดมันจะดูดนิ้ว แรงมาก นี่มันเป็นพื้นที่ในปากเนื้ออ่อนๆ มันก็เลยดูดปากผม ผมร้องเสียงหลงเลย มันดูดปากจนข้างในแตก เลือดก็ทะลักมาท่วมตัวปลาหมึก จนปลาหมึกกลายเป็นสีแดง แต่มันไม่ได้รับอันตรายใดๆ พอผมคายออกมา ปากก็ค่อยๆบวมขึ้น บวมขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเป็นสูญญากาศ มันเป่งมาก ความยาวของหนวดประมาณ 8-9 นิ้ว ตอนนั้นพี่โต้งก็อึ้ง ตอนที่ปากผมเริ่มบวม มันบวมเหมือนมีปากอีกอันหนึ่งขึ้นมา ตอนถ่ายเทคแรกมันไม่กัดแรง แค่ดึงออกมา เจ็บนิดเดียว เลือดนิดเดียว แต่ครั้งนี้ตัวมันใหญ่ขึ้น มันดูดแรงกว่าเดิม ก็เลยไปโรงพยาบาลเลย พอไปถึงโรงพยาบาลหมอก็บอกว่าทำอะไรไม่ได้เพราะไม่เคยมีเหตุแบบนี้มาก่อน ไม่รู้จะช่วยยังไงดี เดี๋ยวมันก็จะยุบลงไปเอง เค้าก็ไม่ได้ให้ยาอะไรเลย พอมาหาหมอที่เมืองไทย หมอก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะไม่ใช่อาการบวมจากอาการอักเสบ มันบวมแบบสูญญากาศ ก็เลยไม่รู้จะทำอะไร รอให้แผลมันยุบลงไปเอง ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ประหลาดดีครับ”
** มีฉากฮาๆ สนุกๆ มั้ย
“มีฉากหนึ่งที่ผมต้องวิ่งตามรถ พี่โต้งบอกให้วิ่ง ผมก็วิ่ง แต่รถดันเร่งสปีด ผมเลยต้องวิ่งซอยเท้าอย่างเร็วเพื่อจะตามให้ทัน หน้ามันออกมาเหมือนนักวิ่งทีมชาติ หน้าจะสั่นๆ ทุกคนฮากันน้ำตาไหล”
**เหนื่อยมั้ยกับการทำงานเรื่องนี้
“ยกให้เป็นกองถ่ายมหาอึดเลยครับ เพราะมีช่วงหนึ่งของการถ่ายทำ ผมเหนื่อยมาก ต้องบินไปมา เพราะติดงานที่เมืองไทย พอบินกลับไปที่เกาหลี ก็เลยต้องรวบวันถ่ายให้พอดีกับวันที่หายไป ก็เลยมีคิวหนึ่งที่ต้องถ่ายแบบนันสตอป 5 วันติด พักวันหนึ่งแล้วถ่ายอีก 6 วันติดๆ เรียกว่าคิวนั้นโหดมาก ก็เลยเป็นกองถ่ายที่อึดมาก แต่ยอมรับว่าเป็นการทำงานที่มันส์มาก เพราะคนน้อย รวมแล้วประมาณ 15 คน ทุกคนสนิทกันหมด เพราะต้องกินนอนด้วยกัน เฮไหนเฮนั่น วันหยุดพักก็ออกไปกินข้าวด้วยกัน ไปช้อปปิ้ง เอาของมาอวดกัน“
**ประทับใจอะไรที่เกาหลีบ้าง
“อาหารครับ อาหารเกาหลีอร่อยมาก สิ่งที่กินบ่อยๆคือ อาหารปิ้งย่าง หมูเกาหลี น้ำจิ้มนี่สุดยอดมาก กินได้ทุกมื้อเลย ต่างกับรสชาติที่กินที่บ้านเราเยอะเลย ข้าวหมูเกาหลี ไม่เหมือนกันเลยครับ คนละแบบ อาหารการกินที่นี่เต็มที่มาก ที่สำคัญผักกับกระเทียมเยอะมาก ผักอร่อย ปกติผมเป็นคนไม่ชอบกินผัก แต่ที่โน่นอร่อย แต่มีบางอย่างที่เราไม่ไปยุ่งกับมันอยู่แล้ว เช่น เนื้อหมา พอรู้ว่าร้านนี้ทำจากเนื้อหมา พวกเราก็ไม่ยุ่งละ ไม่เอา อาหารการกินอื่นๆก็ดี ปกติผมไม่กินกิมจิ แต่ซุปกิมจิอร่อย อยู่ที่นั่นเกือบสองเดือน อยู่มาวันหนึ่งขึ้นรถทัวร์เปิดข้าวกล่องมาเจอกระเพราไข่ดาว ทุกคนเฮ ดีใจมาก เพราะกินแต่อาหารเกาหลี อาหารไทยไม่มีเลย เซอร์ไพร์สมาก กินกันเกลี้ยงเลยครับ และก็ประทับใจคนเกาหลี มีอยู่วันหนึ่งนั้งกินข้าวกันอยู่ จู่ๆก็เห็นมหาชนวิ่งผ่านร้านไปเกือบร้อยคน วิ่งกรี๊ดกร๊าดเสียงดังผ่านหน้าร้านไป ทีมงานดูตื่นเต้นมาก พี่โต้งรีบคว้ากล้องตามไปถ่ายรูป ปรากฏว่าที่กรี๊ดกันเพราะนักร้องชื่อดังของเกาหลี ชื่อ ลีเฮียวริ มีการ์ดช่วยกันเยอะมาก คือบรรยากาศจริงๆของแฟนพันธุ์แท้ที่เขาปลื้มศิลปิน
**ร่วมงานกับน้องหนูนา เป็นอย่างไรบ้าง
“น้องหนูนาน่ารักดีครับ เป็นเด็กที่ชื่นชอบความเป็นเกาหลีในทุกอย่าง เหมาะกับคาแร็คเตอร์นางเอกสาวหน้ามึนในเรื่องมากๆ ในเรื่องนี้นางเอกเป็นคนตื่นเต้นกับทุกอย่าง สนุกสนานกับชีวิต เป็นอีกขั้วหนึ่งของพระเอกที่แอนตี้เกาหลีมาก แต่นางเอกชัดเจนว่าคลั่งไคล้สุดๆ พอสองคนนี้มาเจอกันมันก็เลยสนุก แต่พออยู่ด้วยกันไปสักพักต่างคนต่างเปลี่ยนตัวเองไปโดยไม่รู้ตัว เข้ากันได้ดีซะงั้น หนูนาเล่นดีทุกฉากเลยครับ ยิ่งดราม่าด้วยแล้ว สุดยอดมากครับ”
**หนังเรื่องนี้ สานฝันที่เป็นจริงให้กับเต๋อ
“ใช่ครับ ในชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่คิดว่าจะได้ทำ อย่างแรกคือขับรถปอร์เช่ เปิดประทุน ซึ่งมีพวงมาลัยฝั่งซ้าย อีกอย่างคือขี่มอแตอร์ไซค์ร่อนไปตามที่ต่างๆ เรียกว่าเป็นฉากในฝันที่ได้ขับรถหรู ซึ่งฉากนี้การถ่ายทำยากมาก เพราะต้องมีการกั้นถนน แถมยังเป็นถนนที่เกาหลี มันไม่เหมือนเมืองไทย คุยกันลำบาก โชคดีที่ทีมงานที่เกาหลีเขาฟิตมาก ดำเนินการทุกอย่าง ทำให้การถ่ายทำผ่านไปได้ด้วยดี ส่วนฉากคาสิโนก็เป็นอีกฉากที่ค่อนข้างเหนื่อย เพราะคาสิโนก็ต้องเปิดรับลูกค้า เลยถูกจำกัดไปด้วยพื้นที่ เวลา ทุกอย่างต้องตามแผนเป๊ะ เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างซีเรียส เพราะเป็นของรัฐบาล เป็นฉากใหญ่อีกฉากที่ท้าทายมากครับ”
**ร่วมงานกับ พี่โต้ง ผู้กำกับหนังผี สู่ผู้กำกับหนังรัก เป็นอย่างไรบ้าง
“เรื่องนี้เป็นหนังรักเรื่องแรกที่พี่โต้งกำกับ ไม่ใช่แนวที่เคยทำ เป็นการฉีกจากหนังผี มาเป็นหนังรัก แรกๆก็เห็นพี่เขาออกแนวเครียดๆบ้าง เพราะพี่โต้งเป็นคนจริงจังกับการทำงานมากครับ ถ่ายไปสักพักเริ่มไม่เครียด เพราะมีที่ระบาย เห็นด่าผมตลอด เวลาผมเล่นไม่ได้ แต่การโดนด่านี่มันช่วยได้มาก บางครั้งเรามองข้ามไป แต่พี่เขาบอกตรงๆ ทำให้เรารู้ว่าไม่ใช่ตรงไหน จะได้แก้กันได้ทันท่วงทีเลย“
**เต๋อมีมุมมองความรักอย่างไรบ้าง
“สำหรับผมมองว่าความรักไม่มีกฏเกณฑ์ตายตัว บางครั้งเกิดขึ้นเอง มาเอง โดยที่เราอาจไม่รู้ตัว อย่างพระเอกมีส่วนใกล้เคียงกับเต๋อเยอะเหมือนกัน ตรงที่เป็นคนกวนๆ ไม่คิดอะไรกับใคร ต๊องๆไปวันๆ สนุกสนานกับเพื่อน บ้าบอไปวันๆ มีความขัดแย้งในตัวเอง บางครั้งที่เขาเป็นคนแบบนี้จะมีปมนิดหนึ่งตรงที่เขาไม่สามารถจริงจังอะไรได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่มั่นคง หรือเก็บเงินอาจจะทำไม่ได้ เป็นคนจับจด จนกระทั่งวันหนึ่ง เจอคนที่คิดว่ายอมรับในจุดๆหนึ่งได้ ก็เลยเป็นความขัดแย้งในใจว่าเอาไงดี ในชีวิตจริงไม่เคยขัดแย้งแบบนี้ เพราะลื่นไหลมาก ในชีวิตหนึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ยากเหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามีเส้นอยู่เส้นหนึ่งที่เราเลือกจะก้าวข้ามไป ถ้าเราก้าวไปแล้วเราจะกลับมาไม่ได้ แต่ถ้าเราพอใจในโซนของเรา เราก็ไม่ต้องก้าวข้ามเส้นนั้นไป ในชีวิตจริงคนเราบางครั้งเขาไม่ให้เรากลับมาแล้ว หมายความว่าเราต้องเลือกว่า เราอยู่กันมานาน เรามีความสุขหรือยัง ประมาณนี้โอเคหรือยัง กับการทิ้งไปแล้วไปลองเสี่ยงกับสิ่งใหม่ๆ ซึ่งแล้วแต่คน แค่เส้นนึงที่เราจะเลือกก้าวไปข้างหน้าหรือยู่ที่เดิม ผมพอใจกับอะไรง่ายๆ ผมเลยอยู่ที่เดิม”
**อยากฝากอะไรถึงหนังเรื่องนี้
“ที่ผ่านมาในฐานะอาชีพนักแสดง ผมมักเข้ามาตอนบทเสร็จแล้ว ครั้งนี้พูดได้เต็มปากว่าเหมือนเป็นลูกเลย ค่อยๆปั้นมันขึ้นมาจนได้เป็นส่วนหนึ่งของมันด้วย รู้สึกว่าเหนื่อยแต่มีความสุขมาก เต็มที่ ทั้งเหงื่อแตก หนาวสั่น เป็นไข้ไม่สบาย อยากให้ลองดูกันเยอะๆนะครับ 19 สิงหาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์ครับ”