กรุงเทพฯ--15 ก.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จากเดิม “Negative” หรือ “ลบ” ในขณะเดียวกันก็คงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทที่ระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งของบริษัทในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย ตลอดจนการสนับสนุนที่เข้มแข็งจากบริษัทแม่คือ ACOM Co., Ltd. และผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ทว่าอันดับเครดิตมีข้อจำกัดจากฐานะเงินทุนของบริษัทที่อยู่ในระดับต่ำและความเสี่ยงจากกลุ่มลูกค้าที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ รวมทั้งภาวะการดำเนินธุรกิจที่เอื้อประโยชน์น้อยลงซึ่งอาจจำกัดการเติบโตทางธุรกิจและการทำกำไร รวมถึงอาจทำให้คุณภาพสินทรัพย์ของบริษัทถดถอยลง
อันดับเครดิตหุ้นกู้สะท้อนถึงฐานะการเงินที่อ่อนแอลงของ ACOM ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ของบริษัท ทั้งนี้ คาดว่าฐานะการเงินของ ACOM อาจได้รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และสำหรับใช้คืนเงินแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกินก่อนที่กฎระเบียบของทางการจะมีผลบังคับใช้ รวมถึงแรงกดดันจาก “Money Lending Business Law” ที่รัฐบาลญี่ปุ่นจะบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในเดือน มิถุนายน 2553 และภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นที่เอื้อต่อการประกอบธุรกิจน้อยลง
อันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันของบริษัทยังสะท้อนการค้ำประกันเต็มจำนวนจาก ACOM ซึ่งได้รับอันดับเครดิตในระดับ “Baa3” ด้วยแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” จาก Moody’s Investors Service (Moody’s) และระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” จาก Standard & Poor’s (S&P) โดยอันดับเครดิตของ ACOM ได้รับแรงหนุนจากฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจสินเชื่อเพื่อการบริโภค ตลอดจนการมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ การมีธุรกิจที่หลากหลาย และการที่ ACOM เป็นบริษัทในเครือที่สำคัญของ Mitsubishi-UFJ Financial Group Inc. (MUFG) โดยปัจจุบัน MUFG ถือหุ้น ACOM ในสัดส่วน 40.04% ซึ่งทำให้ ACOM เป็นบริษัทย่อยที่อยู่ภายใต้การกำกับแบบรวมกลุ่มของ MUFG มาตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2551 อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวมีข้อจำกัดจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงและความเสี่ยงด้านกฎระเบียบของทางการซึ่งมีผลกระทบในเชิงลบต่อผลประกอบการของธุรกิจให้สินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่น
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ภายใต้สัญญาการค้ำประกันที่กำหนดภายใต้กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น บริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะให้การค้ำประกันเต็มจำนวนแก่หุ้นกู้ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้หากบริษัทอีซี่ บายไม่สามารถชำระเงินได้ตามกำหนด ในกรณีที่บริษัทถูกฟ้องล้มละลายและมีการจ่ายคืนหนี้แก่ผู้ถือหุ้นกู้แต่หนี้นั้นถูกเรียกคืน ภาระการชำระหนี้ดังกล่าวจะตกเป็นของบริษัทแม่ผู้ค้ำประกันและจะมีผลในการใช้หนี้ทันที นอกจากนั้น หาก ACOM มีการควบรวมกิจการ บริษัทใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการควบรวมกิจการจะต้องรับภาระผูกพันในการค้ำประกันหุ้นกู้ดังกล่าวด้วย หาก ACOM ไม่สามารถจ่ายชำระตามกำหนดหลังจากได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้ว ผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้สามารถดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ค้ำประกัน ณ ศาลพาณิชย์ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อฟ้องร้องเรียกเงินที่ผิดนัดชำระคืนได้ ภาระผูกพันของผู้ค้ำประกันภายใต้สัญญาการค้ำประกันนี้จะมีลำดับของสิทธิเรียกร้องเท่าเทียมกับหนี้ไม่มีประกันและไม่ด้อยสิทธิอื่นๆ ของผู้ค้ำประกัน
ACOM มีผลขาดทุนสุทธิทั้งสิ้น 7 พันล้านเยนในปีงบประมาณ 2553 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2553) เทียบกับกำไรสุทธิที่ได้เท่ากับ 14 ล้านเยนในปีงบประมาณ 2552 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2552) และ 35 ล้านเยนในปีงบประมาณ 2551 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2551) โดยผลขาดทุนของ ACOM มีสาเหตุหลักจากการกันสำรองที่เพิ่มขึ้นจากการที่ผู้กู้สามารถขอดอกเบี้ยที่จ่ายเกินไปก่อนหน้านี้คืน และค่าใช้จ่ายพิเศษจากการปรับโครงสร้างผู้บริหารของ ACOM อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเงินทุนของ ACOM ยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อเงินให้สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 25.98% ในปีงบประมาณ 2550 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2550) เป็น 34.52% ในปีงบประมาณ 2553 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2553) เนื่องจากบริษัทมียอดคงค้างการให้สินเชื่อที่ลดลง
ณ เดือนมีนาคม 2553 สินเชื่อรวมของบริษัทอีซี่ บายคิดเป็นสัดส่วน 5.4% ของสินเชื่อรวมของ ACOM โดยเพิ่มขึ้นจาก 4.3% ในปีงบประมาณ 2552 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2552) หนี้สินของบริษัทที่ได้รับการค้ำประกันจาก ACOM มีจำนวนรวม 57,658 ล้านเยน ณ เดือนมีนาคม 2553 หรือคิดเป็น 13% ของส่วนของผู้ถือหุ้นรวมของ ACOM โดยเท่ากับในปีงบประมาณ 2552 บริษัทอีซี่ บายเป็นบริษัทย่อยแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ของ ACOM และมีความสำคัญเชิงกลยุทธ์สำหรับ ACOM ในการเป็นผู้ประกอบการให้สินเชื่อเพื่อการบริโภค
รายสำคัญในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ ACOM ยังมีพันธะสัญญาที่เหนียวแน่นกับบริษัทในการให้การสนับสนุนทั้งในด้านการเงินและธุรกิจ อันได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ความรู้ทางธุรกิจ และพัฒนานวัตกรรมทางการเงินสำหรับตลาดในประเทศไทยด้วย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้สถานะทางการเงินของ ACOM จะตกต่ำลงในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงทางกฎหมาย แต่ทริสเรทติ้งคาดว่า ACOM ยังคงนโยบายการค้ำประกันที่แข็งแกร่งให้แก่บริษัทต่อไป
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า การมีประสบการณ์เกือบ 15 ปีส่งผลให้บริษัทอีซี่ บายมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ในขณะที่การสนับสนุนทางการเงินและธุรกิจอย่างเต็มที่จาก ACOM ก็เป็นปัจจัยสำคัญต่อฐานะทางการตลาดและการเติบโตของบริษัทในอนาคต แม้ว่าลักษณะของธุรกิจจะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่แล้วจากการปล่อยสินเชื่อต่อรายในจำนวนไม่มากให้แก่ลูกค้ารายย่อยจำนวนมาก แต่บริษัทก็ยังคงมีความเสี่ยงทางด้านเครดิตเนื่องจากลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่มีความเสี่ยงมากกว่ากลุ่มลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ บริษัทยังมีความเสี่ยงด้านกฎระเบียบเนื่องจากภาครัฐมักให้ความสำคัญในการปกป้องผลประโยชน์ของผู้บริโภคมากกว่า
คุณภาพสินทรัพย์นับเป็นปัจจัยสำคัญต่ออันดับเครดิตของบริษัทอีซี่ บายเนื่องจากบริษัทได้รับแรงกดดันจากฐานเงินทุนที่มีค่อนข้างต่ำและปัจจัยทางธุรกิจที่เปลี่ยนไป บริษัทได้นำความรู้ในการดำเนินธุรกิจและเครื่องมือบริหารความเสี่ยงต่างๆ จาก ACOM มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพตลาดของไทย ไม่ว่าจะเป็นแบบจำลองการให้คะแนนความน่าเชื่อถือของลูกค้า (Credit Scoring) ที่ทันสมัย การบริหารร้านค้าเครือข่ายและฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงมาตรฐานและขั้นตอนการติดตามจัดเก็บหนี้เพื่อใช้ควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายเพื่อการตั้งสำรองหนี้สูญที่สูงในช่วงปี 2548-2550 เนื่องจากมีหนี้เสียจากธุรกิจสินเชื่อรถจักรยานยนต์จำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทยังมีหนี้เสียจำนวนมากในช่วงที่บริษัทมีปัญหากับลูกค้าเมื่อมีการประกาศใช้อัตราดอกเบี้ยใหม่ด้วย ส่งผลทำให้บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนจำนวน 113 ล้านบาทในปี 2549 และ 95 ล้านบาทในปี 2550
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของบริษัทเริ่มกลับมามีกำไรอีก โดยในปี 2551 มีกำไรสุทธิ 310 ล้านบาท 329 ล้านบาทในปี 2552 และ 244 ล้านบาทสำหรับ 3 เดือนแรกของปี 2553 ทั้งนี้ สาเหตุหลักมาจากการขยายจำนวนสินเชื่อส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง โดยมีการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มลูกค้าที่มีความเสี่ยงต่ำลงแม้ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญอยู่ในระดับที่สูงมากในปี 2552 จากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวยก็ตาม บริษัทมีฐานเงินทุนที่ดีขึ้น แต่ยังนับว่าค่อนข้างต่ำ โดยอัตราส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงเป็น 5.70% ในปี 2550 จาก 7.16% ในปี 2549 ก่อนจะปรับตัวเป็น 6.50% ในปี 2551 และ 8.36% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2553
ทริสเรทติ้งกล่าวถึงแนวโน้มอันดับเครดิตองค์กรของบริษัทอีซี่ บายว่าได้รับการปรับเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Negative” หรือ “ลบ” ซึ่งสะท้อนถึงผลประกอบการของบริษัทที่ดีขึ้นโดยเป็นผลจากคุณภาพของสินทรัพย์ที่ดีขึ้นและการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งยังคงกังวลเกี่ยวกับฐานทุนของบริษัทที่อาจไม่เพียงพอหากได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่สูงขึ้นหรือเมื่อภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ส่วนแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” สำหรับอันดับเครดิตหุ้นกู้ของบริษัทอีซี่ บายสะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่ยังคงมีอยู่ในผลประกอบการสำหรับปีงบประมาณ 2553 ของบริษัทแม่ผู้ค้ำประกันหุ้นกู้คือ ACOM เนื่องจากบริษัทแม่อาจได้รับแรงกดดันจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งสำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้และการคืนเงินแก่ลูกค้าที่จ่ายดอกเบี้ยไว้เกินก่อนที่กฎระเบียบของทางการจะมีผลบังคับใช้ ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท อีซี่ บาย จำกัด (มหาชน) (EASY BUY)
อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB
แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่) จาก Negative (ลบ)อันดับเครดิตตราสารหนี้:EB108A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 320 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 คงเดิมที่A+
EB108B: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 100 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553 คงเดิมที่A+
EB128A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 125 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่A+
EB128B: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 2,710 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่A+
EB128C: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 3,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่A+
EB133A: หุ้นกู้มีการค้ำประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 คงเดิมที่A+
แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative (ลบ)