กรุงเทพฯ--16 ก.ค.--ปภ.
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงานมีพื้นที่ประสบภัยแล้งรวม 27 จังหวัด 189 อำเภอ 1,363 ตำบล 12,348 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 4,161,798 คน 1,054,564 ครัวเรือน สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่ประสบภัยแล้งร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจกจ่ายน้ำอุปโภคและบริโภคจำนวน 276,482,248 ลิตร พร้อมเร่งซ่อมสร้างทำนบ ฝายกั้นน้ำ และขุดลอกแหล่งน้ำ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยแล้ง
นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เปิดเผยถึง สถานการณ์ภัยแล้ง ว่า ขณะนี้มีพื้นที่ประสบภัยแล้ง รวม 27 จังหวัด 189 อำเภอ 1,363 ตำบล 12,348 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 4,161,798 คน 1,054,564 ครัวเรือน ประกอบด้วย ภาคเหนือ 12 จังหวัด ได้แก่ กำแพงเพชร เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน ลำปาง ลำพูน พิจิตร พิษณุโลก สุโขทัย อุตรดิตถ์ อุทัยธานี รวม 68 อำเภอ 431 ตำบล 3,595 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 805,553 คน 248,641 ครัวเรือน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 11 จังหวัด ได้แก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครราชสีมา มหาสารคาม บุรีรัมย์ มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ หนองบัวลำภู อุบลราชธานี รวม 107 อำเภอ 828 ตำบล 7,844 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 3,015,396 คน 744,260 ครัวเรือน ภาคกลาง 4 จังหวัด ได้แก่ ชัยนาท ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี ลพบุรี รวม 14 อำเภอ 104 ตำบล 909 หมู่บ้าน ราษฎรเดือดร้อน 340,849 คน 61,663 ครัวเรือน คาดว่าพื้นที่การเกษตรจะได้รับความเสียหาย รวม 1,183,834 ไร่ แยกเป็น พืชไร่ 916,784 ไร่ นาข้าว 89,313 ไร่ พืชสวนและอื่นๆ 177,737 ไร่ ในพื้นที่ 45 จังหวัด หากเปรียบเทียบกับสถานการณ์ภัยแล้ง ระหว่างวันที่ 29 มิถุนายน — 5 กรกฎาคม 2553 ซึ่งมีพื้นที่ประสบภัยแล้ง รวม 27 จังหวัด 199 อำเภอ 1,445 ตำบล 12,809 หมู่บ้าน แต่เนื่องจากมีฝนตกทั่วไปเป็นบริเวณกว้าง ส่งผลให้จำนวนหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้ง ลดลง จำนวน 463 หมู่บ้าน โดยช่วงระหว่างวันที่ 12 — 19 เมษายน 2553 เป็นช่วงที่สถานการณ์ภัยแล้งรุนแรงมากที่สุด จำนวน 60 จังหวัด 463 อำเภอ 24,248 หมู่บ้าน
สำหรับการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ในเบื้องต้นกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สนับสนุนรถบรรทุกน้ำ 592 คัน แจกจ่ายน้ำอุปโภค บริโภค เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยแล้ง จำนวน 276,482,614 ลิตร ซ่อมทำนบและฝายกั้นน้ำ 1,001 แห่ง ขุดลอกแหล่งน้ำ 776 แห่ง ทั้งนี้ จากการติดตามรายงานของกรมอุตุนิยมวิทยา พบว่า แม้จะเริ่มมีฝนตกในหลายพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่ตกบริเวณท้ายเขื่อน ทำให้ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าเขื่อนขนาดใหญ่ทั่วประเทศยังมีปริมาณน้อยมาก ประกอบกับต้องระบายน้ำออกเพื่อรักษาระบบนิเวศและการอุปโภคบริโภค ทำให้ปริมาณน้ำในเขื่อนลดลงอย่างต่อเนื่อง จึงขอเตือนประชาชนให้ร่วมกันประหยัดน้ำ ไม่ปล่อยน้ำไหลทิ้ง รวมถึงหมั่นตรวจสอบรอยรั่วซึมของก๊อกน้ำ ท่อประปา หากรั่วไหลให้จัดการซ่อมแซมทันที ตลอดจนตรวจสอบภาชนะกักเก็บน้ำให้สามารถใช้การได้ดี เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงที่ขาดแคลนน้ำ ส่วนเกษตรกร ให้ติดตามสถานการณ์น้ำ แผนการจัดสรรน้ำ สภาพอากาศ รวมถึงปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่อย่างใกล้ชิด จะได้วางแผนการเพาะปลูกได้สอดคล้องกับสถานการณ์น้ำ สภาพอากาศ และกรอบระยะเวลาที่กำหนด รวมถึงจัดหาแหล่งน้ำสำรองไว้ใช้ในภาวะวิกฤติ หากอาศัยอยู่ในพื้นที่นอกเขตชลประทาน ให้เลือกปลูกพืชอายุสั้นที่ใช้น้ำน้อยแทนการทำนา โดยเฉพาะเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาให้เลื่อนการทำนาปีออกไปอีกจนถึงต้นเดือนสิงหาคม เพื่อป้องกันผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหายจากการขาดแคลนน้ำ สุดท้ายนี้ หากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทางสายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อประสานและให้การช่วยเหลือโดยด่วนต่อไป