กรุงเทพฯ--24 พ.ค.--กรมส่งเสริมการส่งออก
วงการสิ่งทอและการ์เมนท์ไทยคึกคักขึ้นอีกครั้ง หลังลงนามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น หรือ Japan Thailand Economic Partnership Agreement: JTEPA คาดงาน BIFF&BIL 2007 ดึงผู้ซื้อจากประเทศญี่ปุ่นได้เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว
ญี่ปุ่นเป็นตลาดใหญ่ที่นำเข้าเสื้อผ้าจากทั่วโลกกว่า 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่ไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 260 ล้านเหรียญสหรัฐ ประโยชน์จากการลงนาม JTEPA จะทำให้ภาษีนำเข้าสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งหุ่มลดลงเหลือ 0% นักธุรกิจแดนปลาดิบสนใจสร้างซัพพลายเชน ร่วมซื้อและลงทุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย คาดการณ์อุตสาหกรรมฯจะขยายตัวในตลาดญี่ปุ่นปีแรกไม่ต่ำกว่า 20-30%
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มคือการลดภาษีจาก 12% เป็น 0% ที่จะเกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2550 นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือพิเศษ 7 เรื่อง โดย 1 ใน 7 เรื่องนั้นจะเป็นความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ทำให้เกิดการร่วมทุนรวมทั้งองค์ความรู้ที่จะเข้ามาอย่างรวดเร็ว คาดว่าผู้ประกอบการเครื่องนุ่งห่มจะได้รับประโยชน์ทันทีในด้านยอดขายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
“เป็นเรื่องดีมากในบรรยากาศปัจจุบัน ผมว่านี่เป็นสิ่งแรกที่รัฐบาลทำแล้วคนให้ความมั่นใจในเรื่องเศรษฐกิจ อย่างน้อยทำให้นักธุรกิจสองฝ่ายมั่นใจการค้า ขยายการทำธุรกิจด้วยกัน จากข้อตกลงนี้ผมเชื่อว่าจะมีนักธุรกิจญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทย นอกจากส่งสินค้าไปขายญี่ปุ่นแล้วบางส่วนส่งไปขายที่อื่น ช่วยให้อุตสาหกรรมเกิดการตื่นตัว”
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยที่จะได้รับประโยชน์ในเรื่องภาษีจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า โดยทางญี่ปุ่นกำหนดให้สินค้าเครื่องนุ่งห่มที่จะส่งไปขายในประเทศญี่ปุ่นต้องผ่านกระบวนการผลิต 2 ขั้นตอน คือสามารถนำผ้าผืนจากประเทศไทย ญี่ปุ่น หรือจากประเทศในกลุ่มสมาชิกอาเซียน แล้วนำมาตัดเย็บในเมืองไทย จึงจะถือได้ว่าเป็นแหล่งกำเนิดสินค้า ที่ไม่ต้องเสียภาษี
นายเจน นำชัยศิริ ประธานสหพันธ์อุตสาหกรรมสิ่งทอแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมามีความร่วมมือลักษณะซัพพลายเชนระหว่างผู้ประกอบการไทยกับญี่ปุ่นที่มาร่วมทำธุรกิจในเมืองไทยบ้างพอสมควร ยิ่งเมื่อมีการลงนาม JTEPA แล้วจะทำให้คนญี่ปุ่นมาลงทุนตั้งโรงงานเองในไทย ผลิตสินค้าไปขายโดยไม่เสียภาษี ทำให้ต้นทุนลดลงไป หรือมาร่วมลงทุนกับคนไทยก็จะทำให้คนไทยมีประสบการณ์มีความรู้มากขึ้น
“การทำ JTEPA เหมือนกับเป็นการเปิดประตูหรือตัดถนน เราจะได้ประโยชน์มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับว่าเราร่วมมือพร้อมใจใช้มันแค่ไหน ซึ่งผมเชื่อว่าการลงนามครั้งนี้มีโอกาสมาก เพราะรัฐบาลทั้งสองฝ่ายตื่นตัว จากนี้ไปในช่วง 4-5 เดือนข้างหน้าในบ้านเราจะเห็นกิจกรรมต่างๆ ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมากขึ้น เช่นงาน BIFF&BIL 2007 สหพันธ์ฯ ขอความร่วมมือไปยังกรมส่งเสริมการส่งออกให้ทำหนังสือไปทาง Japan Textile Federation เชิญผู้ประกอบการญี่ปุ่นมาร่วมงาน อยากให้ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับงาน BIFF&BIL ในปีนี้ ดูว่ามีช่องทางอะไรบ้างที่จะขยายการค้าขายได้”
จากการลงนามสัญญา JTEPA ผู้นำวงการการ์เมนท์ไทยคาดว่าจะทำให้วงการอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยทั้งระบบตื่นตัว มีความร่วมมือกันตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ มุ่งพัฒนาสินค้าให้ตรงตามมาตรฐานคุณภาพจากญี่ปุ่น สำหรับงานแสดงสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนัง (BIFF&BIL 2007) ปีนี้ จะเป็นเวทีการค้าสำคัญที่ผู้ประกอบการจากทั่วโลก รวมทั้งจากประเทศญี่ปุ่น ได้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าแฟชั่นไทยและประเทศในกลุ่มอาเซียน โดยงานครั้งนี้ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Selected Fashion in Bangkok” มุ่งส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพตลอดจนความร่วมมือของอุตสาหกรรมแฟชั่นในประเทศไทยและกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งด้านการค้า การผลิต และการออกแบบสร้างสรรค์ อันเป็นการตอบสนองต่อกลยุทธ์ “ASEAN One” ให้เกิดเอกภาพและขยายสู่แฟชั่นระดับโลก
BIFF&BIL 2007 งานแสดงสินค้าด้านแฟชั่นและเครื่องหนังระดับนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยกรมส่งเสริมการส่งออก เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ปีนี้จะจัดในระหว่างวันที่ 22 — 26 สิงหาคม 2550 โดยในวันที่ 22 — 24 สิงหาคม เป็นวันเจรจาธุรกิจ และวันที่ 25 -26 สิงหาคม จะเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้าชมงาน ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ผู้ที่สนใจสามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์งานฯได้ที่ www.thaitradefair.com/fairin/biff07
ผู้สนใจขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ คุณนุจรี ศรีวรรณยศ
โทรศัพท์: +662 661 2442 ต่อ 660
โทรสาร : + 662 661 2439
E-mail : biff_bil07press@ttis.co.th