กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม
Q.ทำความรู้จักกันก่อน ก่อนอื่นอยากให้ช่วยแนะนำประวัติความเป็นมาของตัวเอง
ภาณุมาศ :เมื่อยังเด็กผมจำไม่ได้ว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร แต่มาจำได้แม่นก็ตอนที่ใกล้จะจบมัธยมเพราะจะเจอบ่อยกับคำถามที่ว่าอยากจะเรียน อยากจะเป็นอะไร ผมตอบทุกคนที่ถามแบบไม่ต้องคิดคือ “ผมอยากเป็นผู้กำกับหนังครับ” ตอนนั้นเป็นคำตอบที่ไม่ได้คิดจริงจังอะไร ไม่มีความมุ่งมั่นอะไรมากเลยเกี่ยวกับการเป็นผู้กำกับ รู้สึกอย่างเดียวคือมันเท่ห์ จนมาถึงตอนนี้พอมองกลับไปคำตอบที่ไม่จริงจังอันนั้นมันเป็นจุดเริ่มต้นของจิตใต้สำนึกลึกๆของตัวผมเองกับสิ่งที่ผมอยากทำและอยากเป็น พอจบมัธยมก็เลือกเรียนวิชาเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เรียนไปได้เกือบ 2 ปี สภาพความเป็นจริงแพ้สภาพจิตใจของตัวเองคือระหว่างที่เรียนคอมพิวเตอร์ไป ใจมันไปจดจ่ออยู่กับการดูหนังและทำหนัง จิตใต้สำนึกของผมเริ่มแสดงออกอย่างชัดเจน ผมจึงตัดสินใจทิ้ง 2 ปีนั้น ไปเริ่มต้นใหม่กับการเรียนทางด้านภาพยนตร์ ผมหมั่นเรียนรู้ ขยันดูหนัง ฝึกฝนหาวิธีและหนทางการทำหนังมาตลอด จากวันนั้นจนถึงวันนี้ทุกสิ่งทุกความหมายของภาพยนตร์มันซึมซับเข่าดในสายเลือดจนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว สิ่งสำคัญภาพยนตร์ทำให้ผมสุขใจและมีคุณค่าที่สุดก็ตอนที่คนทั่วไปได้ดูหนังที่ผมทำและพวกเขาชื่นชอบและมีความสุขกับมัน
มีเรื่องที่ผมแอบประทับใจอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พูดให้ใครฟังแต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นการจุดประกายความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่จะรักที่จะทำหนัง ช่วงที่ผมเรียนคอมพิวเตอร์อยู่ที่อเมริกา ตอนนั้นประมาณปี2และเริ่มรู้ตัวแล้วว่าการเป็นโปรแกรมเมอร์ไม่ใช่แนวทางของตัวเองแน่นอนแต่ยังไงก็ต้องเอาให้จบปีนี้ก่อน และโชคก็เข้าข้างผม พอดีตอนนั้นที่มหาวิทยาลัยเปิดสาขาใหม่ที่เกี่ยวกับมีเดีย ผมเช็คดูว่ามีรายวิชาอะไรที่เขาเปิดสอนเกี่ยวกับการทำหนังบ้างและมันก็มีจริงๆ ผมเลือกลงได้แค่หนึ่งรายวิชา เพราะผมใช้ได้แค่เป็นรายวิชาเลือกเท่านั้น ผมลงการพื้นฐานตัดต่อวีดิโอไป จำได้ว่าเป็นคนเดียวที่เข้าไปเรียนกับนักเรียนประจำสาขาของเขา แต่ผมไม่สน โชคดีอีกอย่างอาจารย์ที่สอนนั้นก็จบภาพยนตร์โดยตรงมาด้วย ผมรีบเข้าตีสนิททันที แกล้งโง่ทุกอย่างหน้าด้านถามทุกอย่างเกี่ยวกับการทำหนัง เราได้สนิทกันมากขึ้นสักพักอาจารย์ได้ชวนผมไปดูกองถ่ายของเพื่อนแกที่เรียนปริญญาเอกและกำลังทำปริญญานิพนธ์ก่อนจบ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมลืมไม่ได้เลยครับกับการที่ได้เห็นบรรยากาศกองถ่ายทำครั้งแรกถึงแม้ว่ามันจะเป็นกองเล็กๆก็ตามและผมคิดอยู่อย่างเดียวว่าสิ่งนี้แหละครับคือสิ่งที่ผมต้องการตอนนั้นบอกตรงๆว่ามีความสุขมากครับ พอถึงปลายภาคเรียนอาจารย์ก็มีงานปฎิบัติให้นักเรียนได้ทำส่งก็คือทำหนังสั้นหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ได้ ผมก็ได้ทำส่งไปโดยวอนขอให้เพื่อนๆรุ่นพี่ที่เป็นคนไทยมาเล่นให้ ด้วยความตั้งใจครับทำให้ผมได้ยินเสียงปรบมือจากเพื่อนในห้องบอกตรงๆครับว่าดีใจมากที่ฝรั่งดูหนังของเด็กบ้านนอกรู้เรื่องและชอบกัน และอีกหนึ่งกำลังใจที่ตามมาก็คือผมได้รับจดหมายให้ไปรับรางวัลนักเรียนที่มีผลงานดีเด่นประจำสาขามีเดีย รู้สึกดีมากๆครับที่รางวัลนี้มันมาจากหนังสั้นที่ผมทำโดยตรง มันทำให้ผมแน่ใจได้ว่าผมต้องเปลี่ยนสายเรียนแน่นอน หลังจากที่พยายามที่จะสมัครเรียนมหาวิทยาลัยที่มีการสอนภาพยนตร์ที่อเมริกาต่อ สมัครไปแล้วมหาวิทยาลัยรับไปแล้วแต่พอคำนวนการเงินอีกทีไม่น่าไหวผมจึงจำเป็นต้องกลับมาเรียนที่เมืองไทยครับแล้วมหาวิทยาลัยรังสิตก็ให้โอกาสผมได้เข้าไปเรียนภาพยนตร์เต็มตัว
บรรยากาศในการเรียนภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัยรังสิต ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ รายวิชา อุปกรณ์ เพื่อนๆน้องๆร่วมสาขา เป็นบรรยากาศที่ดีมากครับในการศึกษาหาความรู้ด้านภาพยนตร์ ผมพยายามหาทางที่จะไปช่วยรุ่นพี่ทำงานตั้งแต่เทอมแรกที่ผมเข้ามา ทำทุกอย่างครับไม่ว่าจะเป็นคนแบกของ เสิร์ฟน้ำ ทำหมดทุกอย่างครับขอให้ได้อยู่ในกองถ่ายก็พอ ที่จองตัวผมประจำก็เป็นพี่ศาสตร์(ผกก.รักต้องรุ่น) ส่วนผกก.เรื่องอื่นๆก็มีมาตลอดด้วย และงานเพื่อนๆพี่ๆน้องๆกลุ่มอื่นก็มีไปช่วยตลอด จนได้มาทำหนังของตัวเองบ้างยิ่งสนุกครับเพราะได้คิดเรื่องเองได้กำกับเองรู้สึกได้เลยครับว่าบุคลิคของผมเองเหมาะกับการกำกับมากที่สุด จึงฝึกตัวเองโดยการทำหนังเข้าประกวดในงานเทศกาลหนังสั้นบ้าง ทำส่งอาจารย์บ้าง ทำเอาใจตัวเองบ้าง ทำมาเรื่อยๆครับ บางเรื่องก็มีรางวัลเล็กมาเป็นกำลังใจบ้าง เช่น บางเรื่องเข้ารอบสุดท้ายของมูลนิธิหนังไทย, บางเรื่องได้รางวัลชมเชยโครงการหนังอัลไซเมอร์, และบางเรื่องได้ชมเชยโครงการ YOUNG ARTIST AWARD รางวัลเหล่านี้เป็นรางวัลเล็กแต่ให้กำลังใจอันยิ่งใหญ่ของผมมาก ถึงแม้หนังของผมไม่เคยได้รางวัลใหญ่กับเขาเลยผมก็ไม่เคยคิดว่าหนังของผมต่ำค่าเลย ทุกเรื่องมันออกมาจากตัวผม เป็นผลงานของผมที่ผมต้องการนำเสนอเรื่องราวที่มันอาจเป็นประโยชน์ให้ใครบางคนก็ได้ ผมคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดของการทำหนังก็คือแค่มีคนได้ดูผลงานของเราแค่นั้นพอแล้วครับ
ในที่สุดโชคชะตาและผู้มีพระคุณก็นำพาโอกาสอันยิ่งใหญ่มาให้ผมโดยทาบทามผมให้เป็นหนึ่งในผู้กำกับโปรเจ็คต์หนังอีโรติกอาร์ท(ต่อมาตั้งชื่อโปรเจ็คต์ว่า น้ำตาลแดง) วันที่พี่ๆโทรมาผมยังอยู่กับงานที่ยุ่งมากๆและก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโปรเจ็คต์จะใหญ่ได้ขนาดนี้ แต่ตอนนั้นผมก็ทิ้งงานมาประชุมครั้งแรกที่ร้านกาแฟ เป็นการตัดสินใจที่ดีมากครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลย พอมองกลับไปแล้วคิดแบบขำขำ ผมเองก็มีสายเลือดของนักรบเบอร์เซอร์กอยู่ตั้งนานแล้ว(ชื่อกลุ่มมาตั้งทีหลัง) นั้นแหละครับพอถึงเวลารบก็ต้องรบด้วยใจโดยที่ไม่สนใจว่าจะได้ใส่เสื้อผ้าหรือเปล่า เมื่อโอกาสดีดีมาตกในมือผมแล้ว ผมรวบรวมพลังทุกอย่างที่มีในตัวผมตั้งใจทำโปรเจ็คต์นี้เป็นอย่างดีที่สุดบวกกับความจริงใจที่มีให้กับการทำหนังที่อันเป็นที่รักของผม ผมเชื่อว่าวันหนึ่งที่ใครมีโอกาสได้ดูผลงานของโปรเจ็คต์น้ำตาลแดงแล้วจะเห็นความจริงใจที่พวกเรานำเสนออย่างแน่นอน
Q.ทราบมาว่ามีกลุ่มคนที่ทำภาพยนตร์ด้วยกันของตัวเองด้วย ลองให้คำจำกัดความและรายละเอียดในความเป็นกลุ่ม Going Berserkers Groupมีแนวคิดแนวทางอย่างไร
ภาณุมาศ :กลุ่ม โกอิง เบอร์เซอร์กเกอร์(Going Berserker) ผมคิดว่าจุดเริ่มต้นของกลุ่มนี้อยู่ที่ความผูกพันของรุ่นพี่รุ่นน้องที่เป็นคอเดียวกันในหลายๆเรื่อง ช่วยเหลือซึ่งกันและกันมาตลอด ภาษาชาวบ้านคือลุยด้วยกันมาตอนที่เรียนอยู่ จุดกำเนิดเมื่อพี่เอม (ผกก. ปรารถนา) รู้ว่ามีช่องทางที่จะมีโอกาสก็เป็นคนโทรเรียกทุกคนเข้ามาร่วมกลุ่มทำโปรเจ็คต์นี้กัน พอร่วมกลุ่มกันได้ก็มีการตั้งชื่อกลุ่ม ทุกคนคิดชื่อกลุ่มมาคนละหลายชื่อ จนมาโดนที่ชื่อ Going Berserker ที่พี่เอก(ผกก.หลุมพราง)ตั้งมา ที่มีความหมายที่ตรงกับบุคคลิก แนวคิด และแนวทางของพวกเรามากที่สุด คือนักรบที่มีความบ้าพลังในตัวสูงมาก นอนนอนอยู่มีศัตรูมากะทันหัน ด้วยความมุ่งมั่นและใจรักต่อหน้าที่ก็ออกไปรบเลยไม่สนใจว่าตัวเองจะใส่เสื้อผ้าหรือเปล่า
สำหรับคนที่ชอบทำหนัง ชอบดูหนัง ชอบวิเคราะห์หนัง ชอบอยู่กับหนังและอยู่กับมันด้วยความจริงใจอย่างพวกเรา ถ้าเปรียบสนามรบเป็นการทำหนังพวกเราก็คงเป็นพวก Berserker เช่นเดียวกัน แนวทางการทำหนังของเราก็เหมือนกัน ไม่มีถอย ถูกติชมอย่างไรก็น้อมรับเป็นการสั่งสอน คนดูชอบไม่ชอบถือว่าเป็นกำลังใจ ทำผิดก็ต้องแก้ไขปรับตัว ทำถูกก็บอกต่อกันไป เอื้อเฝื้อซึ่งกันและกัน และต่อสู้บนเส้นทางของการทำหนังมาตลอดไม่เคยเหนื่อยไม่เคยยอมแพ้สิ่งนี้แหละครับที่ทำให้เราได้มาเป็นกลุ่ม Going Berserker และได้มีคนเห็นความตั้งใจจริงและให้โอกาสที่ยิ่งใหญ่กับพวกเราครับ
Q.อยากให้เล่าถึงความเป็นมาของโปรเจ็คต์ “น้ำตาลแดง” แล้วทำไมต้องน้ำตาลแดง สิ่งที่เราต้องการนำเสนอในโปรเจ็คต์นี้คืออะไร
ภาณุมาศ :เริ่มต้นจากทุกคนต้องคิดชื่อกลุ่มและชื่อโปรเจ็คต์มากองรวมกัน คัดเลือกชื่อให้เหลือน้อยลงแล้วvote กัน สรุปคะแนนเสียงส่วนมากตกเป็นชื่อกลุ่มคือ Going Berserker ชื่อโปรเจ็คต์คือ น้ำตาลแดง ที่ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าเป็นชื่อที่เหมาะกับพวกเรามากที่สุดด้วยความหมายของมันเอง ความหมายของน้ำตาลแดงคือน้ำตาลทรายแดง ที่มีความหวาน ความเข้มข้นกว่าน้ำตาลทรายขาวซึ่งเราเอามาเปรียบกับเรื่องเซ็กซ์และความรัก ที่มีความเข้มข้นและลึกซึ้งกว่าเรื่องเซ็กซ์และความรักปกติ โปรเจ็คต์น้ำตาลแดงเป็นโปรเจ็คต์หนังสั้น 6 เรื่อง เรื่องละประมาณ 30 นาที แนวอีโรติกอาร์ท พูดถึงเรื่องเซ็กซ์ในมุมมองของตัวเอง 6 มุมมอง ทั้ง 6 เรื่องมีความต่างกันโดนสิ้นเชิงไม่ว่าจะเป็นแนวคิด รูปแบบการนำเสนอ และมุมมอง
ถ้าจะมองย้อนกลับไปก่อนที่จะมาเป็นน้ำตาลแดง พวกเราได้นั่งคุยกันหลายครั้งต่างคนต่างเสนอแนวหนังที่ตัวเองชอบและอยากทำเช่น หนังดราม่า หนังตลก หนังรัก หนังผี เป็นต้น หลายความคิดกองอยู่ข้างหน้าเรา สุดท้ายก็สรุปที่หนังอีโรติกเพราะทุกคนเห็นต่างกันน้อยที่สุดและเหตุผลที่จะทำหนังแนวนี้ก็ไม่เลว ก็คือการท้าทายความสามารถของตัวเองด้วยโจทย์อีโรติกที่มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ยากกว่าแนวอื่นๆและพอมีช่องทางที่นายทุนจะสนใจโปรเจ็คต์นี้ แรกๆผมตกใจกับข้อสรุปดังกล่าวมากเพราะโดยส่วนตัวแล้วชอบทำหนังดรามา หนังรักโรแมนติก แอบคิดว่าตัวเองจะทำได้หรือเปล่า แต่ด้วยผมมีแนวคิดของการทำหนังที่ชัดเจนคือในการทำหนังทุกครั้งประเด็นที่เอามาเล่าต้องเป็นการคิดดีทำดีและซื่อสัตย์กับตัวเองและคนดูด้วยภาษาหนังที่เรียนรู้มา ข้อสงสัยต่างๆก็หายไป ผมตั้งใจหาประเด็นที่มีความหมายที่ดีกับชีวิตของเราให้มากที่สุดโดยมีความเป็นอีโรติกอยู่รอบๆ ที่จริงความเป็นอีโรติกมันมีอยู่รอบๆตัวเราและมีอยู่ในสังคมของเรามากหมาย มีทั้งสวยงามและไร้ค่าปะปนกันไปซึ่งมีหลายประเด็นมากที่ให้เราเลือกเอามาเล่าและมันท้าทายและน่าสนใจมากกับสังคมไทยเราจนเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราตัดสินใจเลือกทำหนังอีโรติกครับ
Q.แล้วทำไมต้อง “อีโรติก-อาร์ท”
ภาณุมาศ :มันท้าทายกับความสามารถของเรามากครับและมันเป็นคำที่มีความหมายจำกัดแนวที่ใกล้เคียงกับหนังทั้ง 6 เรื่องนี้มากที่สุดแล้ว โดยแต่ละเรื่องก็จะมีน้ำหนักของความอาร์ทแตกต่างกันและก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนดูด้วยในการชั่งน้ำหนักความอาร์ท จุดเริ่มต้นคือเราตั้งโจทย์เป็นแค่หนังอีโรติกครับแต่พอบทและแนวคิดของเราออกมา คำว่าอีโรติกอาร์ทน่าจะเหมาะกับงานของพวกเรามากกว่าเราจึงใช้คำนี้
ความเป็นอีโรติกมันใกล้ตัวผมมากครับมันอยู่รอบๆการดำเนินชีวิตของผมเลย ผมมองเห็นและสัมผัสกับความเป็นอีโรติกที่อยู่รอบๆตัวผมได้บ่อยครั้ง ส่วนมากมันเกิดขึ้นมาจากเพศตรงข้ามครับ บางครั้งความเป็นอีโรติกผมมองว่ามันเกิดขึ้นได้ตั้งแต่การเดิน การกิน การพูด การนั่ง การยืน ของผู้หญิงคนหนึ่งบางทีเกิดจากคนสวยบางทีก็เกิดจากคนไม่สวยก็ได้ มันเป็นธรรมชาติของคนที่ต้องรู้สึกอย่างนี้ ยิ่งถ้ามันเป็นการสัมผัสเรื่องการมีความสัมพันธ์ทางเพศยิ่งรู้สึกมากมันเป็นเรื่องอ่อนไหวและยากที่จะหลอกความรู้สึกนั้นได้ ต่อให้ผมจะรู้สึกกับมันยังไงไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ต้องการมันก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนมาก ความรู้สึกเวลาที่ผมสัมผัสสิ่งนี้มันจริงมากๆและมันทำให้ผมมีความสุขมากๆที่ได้สัมผัสมันไม่ว่าด้วยทางไหนและมันทำให้ผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผมและผมคงขาดมันไม่ได้ ผมคิดว่าหลายคนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชายหลายคนคงคิดเหมือนผมเช่นกัน ความรู้สึกอันลึกซึ้งนี้มันคือศิลปะที่ผสมผสานในการดำเนินชีวิตของเราได้อย่างยั้งยืนและสวยงาม ด้วยความรู้สึกนี้ล้วนที่ทำให้ผมทำหนังแนวนี้ครับ
Q.อิโรติค-อาร์ทในมุมมองของแต่ละคนคงแตกต่างกัน สำหรับของเราเองมองว่าเป็นอย่างไร
ภาณุมาศ :ในความคิดของผม “หนังอีโรติกอาร์ท” คือ การที่เราทำหนังอีโรติกโดยใช้พื้นฐานทางศาสตร์ต่างๆของภาษาหนังมาเล่าเรื่องเป็นหลัก โดยการเปลือยผ้าเป็นเรื่องรอง จึงทำให้หนังที่เราทำออกมาเป็นเหมือนงานศิลปะงานหนึ่ง ขอออกตัวก่อนเลยว่าโดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้เรียนทางด้านศิลปะมาจึงไม่ได้มีแนวคิดแบบอาร์ทจ้า เพราะที่ผมเรียนมามันเป็นนิเทศศาสตร์จึงจะเน้นไปทางการสื่อสารมากกว่า แต่ผมถือว่ามันก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่งเหมือนกัน ความเป็นศิลปะมันยากมากที่จะให้คำจำกัดความหมายของมัน ผมรู้แต่ว่าศิลปะของผมคือความจริงใจกับการทำหนังแล้วสื่อสารออกมาด้วยความจริงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ ความจริงใจของผมนี้แหละครับเป็นจุดเด่นและจุดสนใจของผลงานครั้งนี้ ยังมีอีกอย่างที่สำคัญและทำให้ผลงานครั้งนี้มีเสน่ห์และน่าสนใจมากก็คือเรื่องที่พวกเราเลือกมาเล่าบวกกับสไตล์การเล่าเรื่องของแต่ละคน แต่ละเรื่องมันเป็นเรื่องใกล้ตัวของเรามาก แต่เรานำมาเรียบเรียงและเล่าให้มันแตกต่างและมีพลังมากขึ้น มีดูยากบ้างไม่ยากบ้างผสมกันไปหลายรูปแบบผมถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้กับคนดูหนังทั่วไปได้ลิ้มลองหนังอีกสไตล์อย่างไม่น่าเบื่อ เพราะผมเชื่อว่าพอคนทั่วไปได้ยินหรือได้เห็นคำว่าอาร์ทก็อาจทำให้พวกเขาคิดกลัวเป็นหนังที่ดูไม่รู้เรื่องไปแล้ว และผมก็เชื่ออีกว่าโปรเจ็คต์นี้จะไม่ทำให้คนดูต้องคิดมากขนาดนั้นและยังแอบหวังในใจอยู่นิดๆว่าคนดูจะเปิดใจและตอบรับโปรเจ็คต์นี้ไปในทางที่ดีครับ
Q.ที่บอกว่าอีโรติก-อาร์ท อาร์ทตรงไหน อิโรติกอย่าง เรามีวิธีการจัดวางกระบวนการมอง คิด หรือถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีความสมดุลย์หรือลงตัวระหว่างอาร์ทกับอีโรติกอย่างไร
ภาณุมาศ :ก่อนอื่นขอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับคำว่าอีโรติกก่อนเลย จริงๆแล้วผมว่าความเป็นอีโรติกมันมีความเป็นศิลปะในตัวของมันอยู่แล้วนะครับ เพราะฉะนั้นคนดูต้องแยกให้ออกก่อนว่าสิ่งที่เราทำนั้นไม่ใช่หนังโป๊มันเป็นหนังอีโรติกครับและผมก็เชื่อว่าคนดูก็คิดว่าหนังที่เราทำนั้นเป็นหนังอีโรติก ส่วน “โสบนเตียง” อาร์ทด้วยนิสัยและภาพลักษณ์โดยรวมของตัวมันเอง ก็คือ อาร์ทด้วยภาษาหนัง และจังหวะของหนัง บวกกับการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างบอกเล่าในมุมลึกของคนที่ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดถึงทั้งที่มันอาจจะเป็นเรื่องปกติของคนก็ได้ และอาร์ทที่ชัดที่สุดคือนำเสนอความรู้สึกอย่างชัดเจนและจริงใจ
ตัวหนังที่ได้ผมได้นำเสนอนั้นถ้าเทียบกับเรื่องอื่นในโปรเจ็คต์น้ำตาลแดงนี้ เรื่องนี้จะมีฉากที่นักแสดงต้องจับ ต้องลูบ ต้องจูบ ต้องถอด ต้องกอด ต้องเปลือย ต้องถึงเนื้อถึงตัวซึ่งกันและกันมากๆ ผมต้องระวังมากๆกับการที่จะทำฉากเหล่านี้ไม่ให้ออกมาเป็นหนังโป๊ทั่วไป เพราะถ้าไม่ใส่ใจกับมันแล้วมันจะเป็นหนังโป๊ได้ง่ายมาก แต่ด้วยเรื่องที่มันเป็นสิ่งที่เราเห็นในสังคมเราอยู่แล้วมันเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก บวกกับการที่ผมใช้ศาสตร์ของภาษาภาพยนตร์ที่เรียนมา มันทำให้รู้สึกว่าเรื่องที่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นจริงในสังคมรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นจริงได้ดังนั้นสิ่งที่เรารู้สึกกับมันจริงๆมันจึงยากมากที่คนดูจะมองว่ามันเป็นเรื่องลามก อนาจาร ผมตั้งใจให้ฉากหวือหวาเหล่านั้นเป็นฉากที่ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาให้ชัดที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงออกมาให้สมจริงที่สุด เพื่อที่จะให้คนดูได้เห็นของคุณค่าของความสุขในอารมณ์ที่เกิดในสถานการณ์แบบนั้น โดยที่ไม่มีใครเดือดร้อนเพราะเรื่องเหล่านี้ เพราะถ้าเอาเรื่องเหล่านี้ถ้าเอามาพูดเล่นหรือเอามาพูดเป็นเรื่องสนุกๆง่ายมากที่จะเป็นประเด็นลบต่อสังคมและก็คนพูดด้วยครับ เพราะฉะนั้นคุณค่าของโสบนเตียงนั้นมันอยู่ที่ประเด็นที่นำมาถ่ายทอดครับส่วนเรื่องฉากหวือหวาเป็นการถ่ายทอดให้เห็นอารมณ์ที่มาจากประเด็นนี้ให้ชัดขึ้นครับ
Q. คอนเซ็ปท์และไอเดียซึ่งเป็นที่มาของ “โสบนเตียง”
ภาณุมาศ :คอนเซ็ปท์และไอเดีย คือ ทุกคนล้วนใฝ่หาแต่sexที่ดีทั้งนั้น การมีsexผมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของมนุษย์คนไหนมี Sex ที่ดีเยี่ยมถือว่าเป็นความโชคดีของตน แต่คนไหนขาดเรื่อง Sex ที่ดีไปก็ต้องปล่อยให้ความรักทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการดำเนินชีวิตไปอย่างเลือกไม่ได้ แต่ต้องเป็นคนที่โชคดีมากๆเท่านั้นที่จะได้ทั้งความรัก และ Sex มาครอบครองไปพร้อมๆกัน
Q.สิ่งที่ต้องการสื่อสารหรือนำเสนอในภาพยนตร์เรื่องนี้
ภาณุมาศ :ด้วยการที่ส่วนตัวชอบทำหนังหักมุมมากและเล่าเรื่องแรงๆที่ผลของมันเป็นสิ่งที่มีคุณธรรมหรือความต้องการที่แท้จริงที่หลายคนต้องการ จึงทำให้ “โสบนเตียง” นำเสนอออกมาโดยช่วงแรกจะปล่อยให้คนดูเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่ตัวเองเห็นและคิดไปเองว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันต้องใช่สิ่งที่ตัวเองคิดแน่นอนเพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัว ช่วงสุดท้ายคนดูได้รู้ความจริงแล้วว่าสิ่งที่คนเห็นในตอนแรกมันไม่เป็นอย่างที่คิดมันใกล้ตัวกว่าที่คิดก็จะทำให้คนดูได้ตระหนักถึงเรื่องราวที่พึ่งจะประสพมา จุดดึงดูดและจุดขายของ “โสบนเตียง” คือบทภาพยนตร์และความกล้าของนักแสดง ซึ่งเป็นบทที่กล้าพูดกล้าทำกล้านำเสนอ ส่วนนักแสดงก็เล่นจริง จูบจริง เห็นหน้าอกจริงๆ
ภาณุมาศ :โสบนเตียง เป็นการเล่าเรื่องsexที่ใครหลายคนใฝ่ฝันที่อยากจะได้มันมา โดยเล่าผ่านหนุ่มใหญ่ดูออกป๋าๆหน่อยๆเหมือนที่เราพบเห็นตามผับทั่วไปกับหญิงมั่นที่อ่อนวัยกว่าที่ในสายตาของคนหลายคนมองแธอเป็นโสเภณี ทั้งคู่ได้พร้อมใจกันออกแบบอรรถรสในการมีsexหลากหลายรูปแบบของพวกเขาเอง ให้สมกับความต้องการของกันและกัน ต่างฝ่ายต่างเติมเต็มให้กันอย่างเต็มที่ สภาพสัมคมไทยที่มีกรอบมีจารีตประเพณีที่อ่อนไหวกับเรื่องเพศไม่สามารถหยุดยั้งสิ่งที่ทั้งสองมอบให้กันได้ ซึ่งมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่จะรู้ว่าปลายทางของความสัมพันธ์ด้านลึกนี้จะสวยงามแค่ไหน
Q.เมื่อพูดถึงความอีโรติก ระดับความหวือหวา ในการนำเสนอของโปรเจ็คต์มีขอบเขต มากน้อยเพียงไร
ภาณุมาศ :ด้วยเรื่องที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อนของ “โสบนเตียง” ผมจึงเติมความเข้มข้นด้วยฉากเซ็กซ์ไว้เยอะเลย เน้นเน้น ชัดชัด ขอบเขตมีเท่าไรก็ไปจนให้ใกล้ขอบเขตที่สุดครับ ขอบเขตคือไม่ให้เห็นอวัยวะเพศ โดยจะเล่าเน้นไปตั้งแต่เบาไปหาหนักก็คือตั้งแต่คุย ปลุกเร้า ถอด ช่วยกันและกันด้วยอวัยวะต่างๆ มีอะไรกันและปลดปล่อยตัวเองไปกับอารมณ์ที่รู้สึกอยู่ ณ.ตอนนั้นที่แรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อยๆ จนต่างฝายต่างถึงจุดที่พอใจ ทั้งหมดนี้นำเสนอแบบเน้นๆทั้งภาพทั้งเสียง และไม่ว่าอยู่ที่ไหนเมื่อไหรก็มีอะไรกันได้เช่นในเรื่องก็จะมีริมน้ำ ในรถ ในผับ ในโรงแรม ในห้องน้ำ หน้าตู้กระจก บนเตียง และมีอีกหลายที่ครับที่คิดไว้แต่กลัวจะไปกินเวลาของตอนอื่น ยอมรับครับว่าทุกฉากที่มีฉากหวือหวามันร้อนแรงมากและมันก็มีเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ถ้าเทียบกับการเล่าเรื่อง หนังเรื่องนี้เป็นตอนที่มีความหวือหวามากที่สุดแล้วครับ แต่ถึงจะมีความหวือหวาเยอะผมก็ยังขอยืนยันครับว่าตอนที่คิดบทและแนวคิดของเรื่องนี้ไม่ได้เอาเรื่องความหวือหวานี้มาเป็นหลักเลย ผมแค่ทำให้มันเป็นเพียงสีสันและความตื่นเต้นให้กับตัวหนังแค่นั้นและมันก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีมากครับ
Q.การทำหนังอีโรติกอาร์ทแบบนี้มีวิธีการสื่อสารหรือกำกับนักแสดงให้เข้าใจหรือกล้าถ่ายทอดหรือนำเสนอในสิ่งที่ตัวผกก.ต้องการมากน้อย แค่ไหน อย่างไร
ภาณุมาศ :ใช่แล้วครับโปรเจ็คต์นี้ต้องหานักแสดงที่เขาจะต้องเล่นเองทั้งหมด และผมก็โชคดีที่มีคนกล้าเล่นบทที่ผมเขียนขึ้น ก่อนที่นักแสดงจะตัดสินใจมาเล่นให้ก็ต้องเอาความจริงใจเข้าแลกครับ จะถ่ายอะไร ยังไง โป๊แค่ไหน ต้องบอกให้หมดครับ ความโชคดีที่ได้ก็ไม่ใช่ว่าจะทำให้ผมทำงานง่ายขึ้นนะครับ อุปสรรคของผมคือ ขอบเขตของการเปิดเผยเรือนร่าง พวกเราพยายามหาจุดกลางให้ทุกคนพอใจที่สุดและนี้แหละครับคืออุปสรรคทำให้ผมต้องลดความแรงของบทลง พอสรุปจุดกึ่งกลางของผมและนักแสดงได้แล้ว พอถึงตอนโปรดักชั่น ทุกคนก็เคารพในหน้าที่ของแต่ละคน ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากครับเพราะนักแสดงเป็นมืออาชีพมาก มีสปิริท และกล้าเล่น สิ่งที่ยากสำหรับผมคือตัวผมเองละครับที่ต้องมีสมาธิต้องควบคุมนักแสดงให้มันพอดีกับสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ โดยเฉพาะฉากเลิฟซีนที่มีอยู่หลายฉากในเรื่อง
ยกตัวอย่างฉากที่ยากคือฉากในโรงแรมที่พี่ปั๋งต้องให้ปากจูบลงบนร่างของครีที่นอนถอดเสื้อผ้าเหลือแต่ชั้นในบนเตียง ความยากของมันอยู่ที่ผมต้องถ่ายมันแบบ Long Take ไม่มีตัดรับเลย การแสดงต้องเลยแบบช้าๆ บรรจงๆ ผมต้องคอยลุ้นว่าครีจะจั๊กกะจี้หรือเปล่าเพราะพี่ปั๋งต้องใช้ปากบรรจงจูบไปตั้งแต่รองเท้าไปจนถึงปาก มันใช้เวลานานมากแต่เท่าที่จำได้เราก็ถ่ายแค่ 2 เทคเองครับ นอกเหนือจากนั้น“โสบนเตียง” ก็ไม่มีอะไรยากแล้วครับ
และมีอีกฉากหนึ่งครับที่ผมชอบมาก มันเป็นฉากที่เราต้องถ่ายเห็นหน้าอกของนักแสดงจริงๆโดยไม่ใช่สแตนอิน เป็นฉากในห้องน้ำ สิ่งที่ผมชอบคือวิธีการและขั้นตอนต่างๆที่จะทำให้ฉากนี้เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการตกลงกับนักแสดงว่าเห็นแค่ไหน นานแค่ไหน มุมกล้องเป็นยังไง นักแสดงชายอยู่ตรงไหน ในท่าไหน ตอยถ่ายทำต้องมีทีมงานคนไหนอยู่ในฉากนี้ด้วย คือมันมีข้อจำกัดเยอะมากแต่ผมก็ได้มันมาและผมก็ยังหวังว่าคนที่ซื้อตั๋วมาดูหนังเรื่องนี้ก็คงจะได้ดูฉากนี้เหมือนกัน
Q.การหันมาทำหนังในระบบ ตัวผู้สร้างเองเปิดโอกาสให้เราได้นำเสนอ,ถ่ายทอดสิ่งที่เราต้องการสื่อสารกับตัวโปรเจ็คต์มากน้อยเพียงไร
ภาณุมาศ :สหมงคลฟิล์มได้เปิดโอกาสให้โปรเจ็คต์นี้ได้ทำอย่างเต็มที่กับทุกความคิดที่พวกเราคิดมา เป็นการเปิดโอกาสอย่างอิสระทางความคิดมาก ไม่มายุ่งเรื่องบทเลยมีแต่ให้คำแนะนำ และก็จะมีแค่แสดงความเห็นในการเลือกนักแสดงแค่นั้นครับ
Q.จากการเป็นคนทำหนังอิสระแล้วมีโอกาสได้เข้ามาทำหนังที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนดูในกระแสหลัก ต้องมีการปรับตัวหรือไม่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการทางความคิด ในการผลิตภาพยนตร์หรือสร้างงานอย่างโปรเจ็คต์ “น้ำตาลแดง” แตกต่างจากการทำหนังอิสระ หรือการทำหนังในกระแสหลักหรือไม่อย่างไร
ภาณุมาศ :ขอตอบแบบขำๆก่อนเลยแตกตางครับเพราะครั้งนี้มีคนเอาเงินมาให้ทำหนังครับ ปกติทำหนังสั้นต้องใช้เงินตัวเองมาตลอด
(เอาจริงแล้วครับ) ส่วนรวมแตกต่างครับ คือแตกต่างที่ความรู้สึกตื่นเต้นครับ ที่หนังของเราจะมีโอกาสมีคนดูเยอะกว่าเดิมเพราะฉะนั้นผมจะต้องเลือกประเด่นที่มีความใกล้ตัวของคนส่วนใหญ่มากกว่าเรื่องส่วนตัวครับ
ส่วนทางด้านกระบวนการทางความคิดโปรเจ็คต์นี้จะมีเงื่อนไขบางอย่างทางธุรกิจมาเป็นข้อบังคับนิดหน่อยครับ เพราะฉะนั้นจึงมีบางอย่างที่ทำเราต้องทำตามไม่อิสระเพียวๆเหมือนที่เราทำหนังสั้น นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรครับ โชคดีของเรา
Q.คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ความน่าสนใจของโปรเจ็คต์นี้
ภาณุมาศ :ความจริงใจของพวกเรานี้แหละครับเป็นเสน่ห์ของโปรเจ็คต์ (555) ขำไปงั้นแหละครับแต่ที่จริงมันก็ใช่อย่างนั้นจริงๆ พวกเราทำหนังด้วยความจริงและใกล้เคียงกับสิ่งที่ตัวเราอยากจะทำที่สุดมันจึงมีเสน่ห์มากกับสิ่งที่คนดูจะได้ดูใน 6 เรื่องนี้ครับ และมันน่าจะเป็นหนังเรื่องแรกที่ทางสหมงคลฟิล์มได้เปิดโอกาสให้พวกเราได้คิดและได้ทำโปรเจ็คต์นี้อย่างเต็มที่ คิดอะไรมายังไงก็ถ่ายทอดออกมาผ่านหนังอย่างเต็มที่เลย
Q.เมื่องานเสร็จแล้วเรามีความพึงพอใจในผลงานหรือโปรเจ็คต์ของตัวเองมากน้อยแค่ไหน อย่างไร
ภาณุมาศ :สำหรับผมคิดว่าผมมาไกลมากแล้วจากวันแรกที่เริ่มมีความฝัน พอใจครับกับบรรยากาศการทำหนัง ผลงานที่ออกมา และตัวตนของตัวผมเองที่กล้าถ่ายทอดประเด็นสำคัญทางสังคมของเราออกมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างนี้ผมดีใจมากครับ และที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นหนังสั้นหรือหนังใหญ่ที่ฉายในโรงคือถ้าเรามีความซื่อสัตย์และตั้งใจในสิ่งที่เราต้องการนำเสนอ มันก็ไม่ยากที่ฝันของเราจะเป็นจริงครับ และเมื่อมีโอกาสแล้วอย่าไปกลัวกับอุปสรรคทั้งหลายที่มาพร้อมโอกาส ผมคิดอยู่เสมอว่าการที่ผมจะได้โอกาสที่ดีมามันยากมากกว่าที่เราจะเจออุปสรรคต่างๆซะอีก ผมรู้ดีกับผลงานที่ผมตั้งใจทำจึงมั่นใจครับว่าคนดูจะได้รับในสิ่งที่ผมจะสื่อสารออกไปครับ
Q.การเป็นคนทำหนังในกลุ่มแวดวงอิสระมาก่อนเป็นข้อดี หรือ ส่งผลต่อมุมมองหรือเนื้องานที่ถูกนำเสนอออกมาหรือไม่ คิดว่าส่งผลให้ตัวงานที่ทำมีเสน่ห์หรือความโดดเด่นที่แตกต่างจากผลงานของผู้กำกับหรือคนทำหนังในกระแสหลักอย่างไร
ภาณุมาศ :ข้อดีของการได้ทำหนังสั้นนอกกระแสคือทำให้ผมได้ฝึกทำ ฝึกคิด ฝึกคำนวณความรู้สึกของตัวเราและคนรอบข้างว่าเป็นอย่างไร สำหรับคนในวงการจริงๆคงมีผลครับเพราะคงจะมีคนพูดถึงในแวดวงของเขาอาจให้กำลังใจ หรือติชม มันมีอยู่แล้วครับ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวงานมีเสน่ห์หรือโดดเด่นเลย ส่วนผมไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ก็เลยไม่เข้าใจลึกซึ้งเท่าไร
Q.หลังจากการเกิดขึ้นของโปรเจ็คต์อย่าง “น้ำตาลแดง” คิดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนหรือส่งผลต่อรูปแบบการผลิตหรือการทำหนังที่ฉายในโรงบ้านเราต่อไปหรือไม่อย่างไร รวมไปถึงพฤติกรรมการดูหนังในบ้านเรา
ภาณุมาศ :ยากครับยากมากสำหรับวงการหนังบ้านเรา ต้องใช้เวลา ต่างคนก็ต้องต่างให้โอกาสกัน คนดูก็ต้องยอมเปิดใจให้คนทำหนัง คนทำหนังก็ชั่งน้ำหนักเผื่อคนดูด้วยครับ ผมคิดว่าโปรเจ็คต์นี้เป็นโอกาสที่ดีมากในการสะกิดวงการหนังบ้านเราที่กล้าเปิดโอกาสที่จะมองหนังเป็นอะไรที่มากกว่าเป็นสินค้าเพียงอย่างเดียว และผมขอเป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลง อย่างจริงใจต่อวงการหนังบ้านเรา
Q.แสดงว่าพรบ.ภาพยนตร์การกำหนดเรทติ้งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดโอกาสให้มีการเปิดกว้างทางความคิดและช่องทางในการผลิตหนังที่แตกต่างของคนทำและส่งผลให้คนดูจะได้ดูหนังที่ไม่มีการปิดกั้นอีกต่อไป
ภาณุมาศ :ดีมากๆครับ ผมว่าดีสำหรับประเทศที่เขาจริงใจกับการทำหนังอย่างจริงจัง คำนึงถึงจรรยาบรรณของหน้าที่ตัวเองอย่างแท้จริง ส่วนบ้านเราผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีครับมีการเริ่มที่จะทำอย่างนี้ แต่ผมกลัวมันจะเป็นดาบ 2 คมแก่คนดูครับ กลัวอยู่ดีๆวันหนึ่งคนทำหนังบางคนไม่จริงใจกับคนดูโดยไม่คำนึงถึงผลเสียของคนดู ทำหนังออกมา ผมกลัวมากครับ แต่สุดท้ายแล้วผมเชื่อในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกเราไม่ว่าอะไรก็ช่าง เหตุการต์ใดก็ช่างที่เกิดขึ้นมันสมดุลอยู่แล้ว ถ้ามองโลกในแง่ร้ายหน่อยก็คือ ทำใจครับ
Q.จริงไหมว่าแนวคิดในการนำเสนอหรือมุมมองของคนทำหนังอิสระไม่ว่าจะเป็นสไตล์ หรือวิธีการ ก็อาจจะเหมาะกับหนังบางประเภทที่ต่าง serve ซึ่งกันและกันอย่าง หนังอิโรติก เหมือนเป็นประตูทางออก หรือทางเลือกที่ลงตัว แต่ใช่ว่าทุกเรื่องจะเหมาะกับการใช้วิธีการแบบนี้
ภาณุมาศ :โดยส่วนตัวผมคิดว่าเราไม่ควรมีการแบ่งแยกประเภท แบ่งแยกแนวคิด หรือแบ่งแยกรูปแบบการนำเสนอของหนังเลยด้วยซ้ำครับ เพราะถ้าแบ่งประเภทของหนังมันก็เหมือนแบ่งประเภทของคนดูด้วยครับ การดูหนังกับการทำหนังมันเรื่องส่วนตัวมาก คนดูแต่ละคนก็มีแนวทางการที่จะเลือกดูหนังของเขาเอง คนทำหนังเช่นเดียวกันย่อมมีแนวทางการทำหนังของตัวเองเช่นกัน ทางที่ดีคนทำหนังต้องเป็นฝ่ายเริ่มใช้ความจริงใจกับการทำหนังก่อนเดี๋ยวคนดูรับรู้ถึงความจริงใจเองครับ
Q.อย่างนี้พูดได้ไหมว่าโปรเจ็คต์หนังอาร์ทอีโรติคอย่าง “น้ำตาลแดง” ก็คือผลพวงที่เกิดขึ้นจากการที่บ้านเรามีการกำหนดเรทติ้งภาพยนตร์ ซึ่งน่าจะส่งผลให้คนดูหนังมีโอกาสได้เสพงานที่แปลกแยกทางความคิดมากขึ้น
ภาณุมาศ :มีส่วนครับแต่ไม่โดยตรง และอาจมีส่วนที่จะทำให้เราได้ดูหนังที่แปลกแยกทางความคิดมากขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ นากปรกครับ และกลางเดือนมิถุนาจะมีอีกเรื่องหนึ่งครับ
Q.ทำไม โปรเจ็คต์อย่างน้ำตาลแดงถึงเป็นหนังที่ควรจะดู
ภาณุมาศ :เป็นทางเลือกใหม่ในการที่คนดูทั่วไปจะดูหนังที่เรียกได้ว่าเป็นหนังอาร์ทที่มีความสนุก มีสาระ เข้าใจได้ ใกล้ตัว ดูจบแล้วไม่เครียด และสิ่งสำคัญเปิดโอกาสให้คนดูชอบดูหนังได้มีอะไรง่ายๆ เย็นๆ ตื่นเต้นๆทำหลังกินข้าวเย็นครับ