กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--สหมงคลฟิล์ม
Q.ทำความรู้จักกันก่อน ก่อนอื่นอยากให้ช่วยแนะนำประวัติความเป็นมาของตัวเอง
ศาสตร์ : เรียนจบคณะนิเทศศาสตร์สาขาภาพยนตร์และวีดีทัศน์จากมหาวิทยาลัยรังสิต ชอบดูหนัง ชอบหนังตั้งแต่ที่พี่ชายพาไปดูตอนอยู่ชั้นประถม6 จำไม่ได้ว่าเรื่องอะไร แต่จำความรู้สึกได้ว่ารู้สึกตื่นเต้นกับบรรยากาศในโรงภาพยนตร์ที่เข้าไปดูมาก รู้สึกประทับใจ แต่ก็ยังไม่ได้มีความรู้สึกอยากทำหนัง เพราะตอนนั้นยังอยากจะเป็นจิตรกรวาดภาพสีน้ำมันอยู่ แต่ก็รู้ว่าเริ่มชอบดูหนังแล้ว ก็ดูเรื่อยๆมา ช่วงแรกๆก็ดูหนังฮอลลีวู้ด หนังไทย ดูเกือบทุกเรื่อง โดดเรียนมาดูบ้าง วันหยุดแวะไปดูบ้าง วนๆเวียนๆอยู่แถวหน้าเดอะมอลล์รามนี่แหละ เพราะบ้านอยู่แถวๆรามอินทรา เมื่อก่อนโรงหนังที่ใกล้สุดก็มีแต่ที่เดอะมอลล์ แล้วก็ไปเป็นแต่แถวๆนั้น ยังไม่กล้าไปไกลมากนัก เพราะตอนเด็กยังชอบกลัวโน่นกลัวนี่อยู่เยอะตามประสาเด็กทั่วๆไป จนการดูหนังเหมือนเป็นความเคยชิน ก็เริ่มหาหนังแปลกๆดูบ้าง เช่าดูบ้าง อะไรบ้างไปเรื่อย หลังจากนั้นก็มารู้จักกับหนังอีกแบบ แบบที่เราไม่เคยได้ดูในโรงหนังทั่วไป ก็ไปดูหนังตามมูลนิธิญี่ปุ่น อาคารเสริมมิตร แถวอโศก ถือว่าไปไกลสุดแล้วตอนนั้น เข้าไปดูก็ตกใจว่ามีหนังแบบนี้ด้วยเหรอ จำได้ว่าเป็นหนังของผู้กำกับ ทาเคชิ คิตาโน่ หนึ่งในคู่หูคู่ฮาที่เคยดูในช่องเจ็ด รู้สึกว่าหนังสนุกมาก แม้จะฟังไม่รู้เรื่อง อ่านซับอังกฤษไม่ออก แต่ภาษาภาพก็ทำให้เราเข้าใจได้ แม้จะไม่ถ่องแท้ทะลุปรุโปร่งก็ตาม พอดูหนังพวกนี้เรื่อยๆก็เริ่มสนุกมากขึ้น รู้สึกว่าหนังมันมีอีกเยอะและไม่ได้มีแค่ฮอลลีวู้ด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธฮอลลีวู้ดนะ ก็ยังดูอยู่ควบคู่กันไป แต่เลือกดูมากขึ้น รู้ว่าเรื่องไหนดีไม่ดียังไงมากขึ้น หาซื้อหนังวีดีโอแปลกๆดูเยอะขึ้น ก็จำพวกหนังยุโรปที่เขาว่าดีกันควรดู เราก็ดูเพราะอยากรู้ว่ามันดียังไง ตอนนั้นก็เลยได้ดูหนังของผู้กำกับฝรั่งเศสที่ชื่อ ฌอง ลุค โกดาร์ด เรื่องวีคเอน(weekend) ก็ชอบมากจนรู้สึกว่าเนี่ยะแหละที่เขาเรียกกันว่าแรงบันดาลใจ แบบที่เขาพูดๆกัน และเราก็ไม่เคยเข้าใจ จนเราเริ่มรู้สึกว่าไอ้หนังเรื่องนี้มันวนๆอยู่ในหัวไปมาๆจึงเริ่มget ว่าก็คงอันเนี้ยะมั้งที่คิดว่าเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเรา ทำให้เราอยากจะทำหนังบ้าง อยากจะเป็นผู้กำกับหนังบ้าง
แล้วตอนทำหนังเรื่องแรก ตอนนั้นอยู่ปีหนึ่งที่มหาวิทยาลัยลาดกระบัง ก็มีความรู้สึกว่าอยากลองทำหนังที่ถ่ายเอง คิดเรื่องเอง กำกับเองดูบ้าง เพราะถ้ารอให้ถึงวิชาเรียนก็ตั้งปีสองปีสาม ใจมันร้อน ก็เลยลงมือทำกันกับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน แล้วก็ให้เพื่อนๆเนี่ยแหละเล่น เป็นเรื่องง่ายๆถ่ายในบ้านกับแถวๆบ้าน ตัวละครสี่ตัว เกี่ยวกับความลับและการพูดบอกต่อๆกัน ชื่อเรื่อง talk talk talk ทำเสร็จก็ลองส่งไปเทศกาลหนังสั้นครั้งที่สองดู(ของมูลนิธิหนังไทย) ปรากฏได้เข้ารอบ แล้วก็ได้รางวัลชมเชยมา ตอนนั้นดีใจมากเพราะมันเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำ จนมีเหลิงไปเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถึงขนาดหลงตัวเองหรือจะไปเหยียบหัวคนอื่นหรือดูถูกคนอื่นแต่อย่างใด มันภูมิใจมากกว่า เป็นความมั่นใจว่าเราทำได้และมีคนเห็นเรา แต่ก็เรียนที่ลาดกระบังไม่จบ เพราะมีปัญหาส่วนตัวกับการเรียนการสอนและอาจารย์ที่ภาควิชาภาพยนตร์ สำหรับเรามันคงไม่เวิร์ค ก็เลยลาออกมากลางคันตอนปลายเทอมสองของปีสอง ระหว่างที่ออกมาก็ทำหนังสั้น ทำโน่นทำนี่ เปิดร้านกับเพื่อน จะไปเรียนต่อมั่ง อยากจะไปอังกฤษแต่วีซ่าไม่ผ่าน เขาบอกทำไมไม่รอให้เรียนจบก่อน เราก็ไม่รู้จะตอบกลับไปยังไง สรุปก็ไม่ได้ไป แต่ท้ายสุดจริงๆ จนแล้วจนรอดก็ได้ไปออสเตรเลีย แต่ก็ไปมีปัญหากับที่เรียนสอนภาษาที่นั่นอีก คือเขาไม่ให้ผ่านชั้นขึ้นไปเพราะว่าเรากลับไปเกณฑ์ทหารมา แต่ตอนสอบเราทำได้ก็เลยทะเลาะกันแล้วก็ไม่ได้เรียนต่อ หลังจากนั้นก็กลับมาที่เมืองไทย รู้สึกล้มเหลวมาก พ่อแม่ใครต่อใครก็พากันเครียดหมด กลัวว่าจะเสียคน ในตอนนั้นก็ไม่ได้ทำหนังสั้นหนังอะไรเลย เพราะรู้สึกแย่และเคว้งมาก จับจุดตัวเองไม่ถูกว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี แล้วตอนนั้นก็เริ่มรู้สึกว่าอยากจะทำหนังสั้นอีก เพื่อเก็บเป็นพอร์ตงานแล้วก็เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะเป็นสิ่งเดียวที่ทำแล้วมีความสุข แต่อีกใจก็คิดว่าจะไปขอตังค์ที่บ้านมาทำหนังเฉยๆมันก็แปลกๆ เรียนก็ไม่เรียน จะมาขอตังค์อีกและมันก็ไม่ใช่น้อยๆด้วย มันดูจะเอาแต่ได้ไปหน่อยก็เลยไปสมัครเรียนดีกว่า ก็เลยไปสมัครที่รังสิตเพราะมีคนบอกว่าดี แล้วก็ไม่ต้องไปสอบอะไรมากมาย ตอนนั้นก็โทรคุยกับเอก(สุรวัฒน์ ชูผล) ประมาณว่าจะเอายังไงดี คือกับเอกรู้จักเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ที่ช่างศิลป์ลาดกระบังแล้ว(ม.4-ม.6) แล้วเอกก็ชอบหนังเหมือนกัน อยากทำหนังเหมือนกัน สุดท้ายก็เลยตัดสินใจมาเรียนที่นี่กัน
พอเข้ามาเรียนก็มาเจอกับพวกเอม(ผกก.ปรารถนา)พวกโจ้(ผกก.คู่รักบนดาวโลก)/ปั้น/ต้น(ผกก.โสบนเตียง)และก็โอ๊ก(ผกก.ทฤษฎีบนโต๊ะอาหาร)(คือต้นกับโอ๊กเป็นรุ่นน้อง)แล้วก็เริ่มทำหนังในตอนเรียน ส่งในวิชาเรียน เราก็เต็มที่ตั้งใจเรียนมาก อาจารย์ก็ดีส่งเสริมเราทุกอย่าง ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่จบที่นี่ ระหว่างที่เรียนนั้นก็ทำหนังส่งประกวดเรื่อยมา ได้รางวัลมาบ้าง ก็ได้รางวัลรองชนะเลิศจากเรื่องสัมพัทธภาพบนหลักของความไม่แน่นอน รางวัลชมเชยจากหนังสั้นเรื่องแรกเรื่องtalk talk talk แล้วก็รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยมจากเรื่องสัมพัทธภาพบนหลักของความไม่แน่นอน(ปั้น ปฏิกร ป้อมชัย เป็นคนถ่าย)แล้วก็ได้ไปฉายที่โน่นฉายที่นี่ตามเทศกาลตามงานที่ฉายโชว์แลกเปลี่ยนต่างๆมาบ้าง อาทิฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย สเปน โปรตุเกตุ ฝรั่งเศส เกาหลี และประเทศไทย ช่วงที่ได้เริ่มไปฉายตามเทศกาลหรือตามพื้นที่ต่างๆในตอนนั้นก็ได้มารวมอยู่ในกลุ่มไทยอินดี้ มารู้จักกับพี่ปุ่น(คุณธัญสก พันสิทธิวรกุล) คือเขาก็ชวนมาร่วมกันช่วยกันแชร์ช่วยกันออกเงินค่าส่งหนังไปโน่นไปนี่ ก็ได้รู้จักคนโน้นคนนี้คนเก่งๆหรืองานที่น่าสนใจเยอะขึ้น ความรู้สึกเหมือนได้เข้าโรงเรียนหนังในอีกรูปแบบหนึ่ง
แต่สักพักประมาณห้าหกปี ก็เริ่มแยกย้ายกันตามประสา ประจวบกับเป็นช่วงเวลาที่เพิ่งจบออกมาจากม.รังสิต แล้วตอนนั้นก็รับจ๊อบทำวีดีโอพรีเซ้นต์กับอาจารย์ไปบ้างอะไรบ้าง ถ่ายงานแต่งงานบ้าง แต่ในใจก็นึกเสมอว่าเราอยากทำหนัง หมายถึงหนังใหญ่หนังฉายโรงน่ะครับ เพราะระหว่างที่รับจ๊อบทำงานหาเงินใช้จ่ายไปด้วย ก็ยังทำหนังสั้นหรืองานส่วนตัวควบคู่ไปด้วย คือมันเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงความรู้สึกของเราที่มีต่อหนังได้และเป็นความสุขที่เราพอใจและพออยู่ได้ แต่ความรู้สึกที่อยากทำหนังใหญ่หรือหนังฉายโรงก็ยังมีอยู่ตลอด มันมีความกระตือรือร้นที่อยากจะทำอยู่ตลอดเวลา คิดถึงมันตลอดเวลา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไงดี คิดไม่ออก หลังจากนั้นประมาณต้นปี2552ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ เอมก็โทรมาในจังหวะที่เรากำลังคิดหาทางอยู่พอดีว่าจะทำยังไงให้ได้ทำหนัง รวมไปถึงเนื้อเรื่องแล้วก็ตัวconceptด้วยว่าจะประมาณไหนดีที่มันน่าสนใจและคนส่วนใหญ่ก็น่าจะสนใจด้วย (เป็นความท้าทายความสนุกที่ได้คิดหาจุดสมดุลตรงนี้ เพราะส่วนตัวนั้นคิดว่าในความที่เป็นหนังสตูดิโอมันก็ยังมีที่ให้เล่นอะไรในจุดนี้ได้อีกเยอะเหมือนกัน) เอมก็เสนอว่ามีโปรเจ็คต์หนี่งที่ตัวเอมเขาอยากลองทำดู แต่เป็นหนังอีโรติกนะเราสนใจจะทำไหม ตอนแรกก็พยายามนึกๆว่าจะทำยังไง เพราะจริงๆก็ไม่ค่อยจะถนัดตรงนี้เท่าไหร่ ก็เลยคิดง่ายๆแล้วกันว่าถ้านึกไม่ออก ถ้าเราไม่มีเรื่องที่เราสนุกด้วยก็คงไม่ทำ แต่ในที่สุดก็นึกออกแล้วก็น่าจะสนุกรวมไปถึงความน่าสนใจของตัวมันเองที่ยืนอยู่บนพื้นฐานในความเป็นอีโรติกด้วย ซึ่งเป็นจุดแข็งมากๆอยู่แล้ว ก็เลยมาคุยกันกับเพื่อนในกลุ่มว่าแต่ละคนเป็นยังไงคิดเห็นยังไง เรื่องแต่ละคนเป็นยังไงประมาณไหน แล้วสุดท้ายก็สรุปกันว่าจะทำ เพราะมันมีความน่าสนใจและความแข็งแรงในตัวของมันเองมากพอ น่าลองทำดู ถึงแม้จะมีความน่ากดดันมีความยากบ้างอะไรบ้างก็ตาม แต่ก็ยังน่าลองอยู่ดี เพราะมันก็มีความต่างจากหนังที่มีอยู่ทั่วไปพอสมควร รวมไปถึงความท้าทายในความที่มันเป็นอีโรติกที่มีแง่มุมสะท้อนความเป็นไปและการใช้ชีวิตของคนในสังคมปัจจุบัน(โดยเฉพาะสังคมไทย) จนกลายมาเป็นโปรเจ็คต์น้ำตาลแดงอย่างที่ทราบกันเนี่ยแหละครับ
Q.ทราบมาว่ามีกลุ่มคนที่ทำภาพยนตร์ด้วยกันของตัวเองด้วย ลองให้คำจำกัดและรายละเอียดในความเป็นกลุ่ม Going Berserkers Groupมีแนวคิดแนวทางอย่างไร
ศาสตร์ : เบอร์เซอร์เจอร์ในความหมายที่เอกนำเสนอและเล่าให้ฟังก็คือ กลุ่มคนชาวไวกิ้งยุคโบราณที่มีความมุ่งมั่นในการรบมาก พร้อมตลอดไม่ว่าเวลาไหน ที่ไหน อย่างไร ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวใส่ชุดใส่เชิ้ตอะไร ถือดาบแค่เล่มเดียวก็ออกรบได้แล้ว คือลุยด้วยใจอย่างเดียว ผมกับพวกเพื่อนๆฟังดูแล้วมันน่าสนใจ มันบอกความเป็นเราที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้ ในความคิดผม ผมรู้สึกว่ามันเหมือนเรามาทำโปรเจ็คต์นี้ด้วยใจจริงๆ ทำอย่างที่ทุกคนอยากจะทำภายใต้ข้อจำกัดของตัวโจทย์(อีโรติก)เนี่ยแหละ เพราะถือว่ามันเป็นหนังใหญ่หนังโรงเรื่องแรกของพวกเราและเราก็ไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้ว ก็เลยลองลุยกันดูเพราะมันก็น่าสนุกน่าท้าทายดี อีกอย่างมันเป็นความสดด้วย(ในแวดวงสังคมไทย) คือในแวดวงสังคมไทยหนังอีโรติกมันห่างหายไปนาน ตั้งแต่ยุคเจ็ดศูนย์แปดศูนย์ประมาณนั้นนั่นแหล่ะ คือจริงๆแล้วไม่ใช่ว่ามันไม่เคยมี แต่มันหายไปมากกว่า ก็คิดว่าตรงเนี้ยแหล่ะที่มันน่าสนใจและเป็นความน่าสนใจในตัวของมันเองอีกด้วย รวมทั้งความสดที่พวกเราเป็นหน้าใหม่สำหรับหนังใหญ่หรือหนังสตูฯ และก็สดทั้งเรื่องที่นำเสนอในความเป็นอีโรติกที่เอามาจับ และก็คิดเสมอว่ามันน่าจะเป็นหนังอีกแบบที่ทั้งดูสนุกให้ความบันเทิงด้วย มีแง่มุม มีมุมมองใหม่ๆด้วย มีความเป็นศิลปะแทรกๆเข้าไปอยู่ด้วย คือผมคิดว่าเราเป็นทางเลือกเป็นตัวเลือก และเราก็ควรจะทำให้มันมีตัวเลือกเพิ่มบนพื้นที่เดิมที่มีอยู่แล้ว คือมันควรจะมีความแตกต่างบ้างในแวดวงของหนังฉายโรงทั่วไปน่ะ
พาร์ทโปรเจ็คต์น้ำตาลแดง
Q.อยากให้เล่าถึงความเป็นมาของโปรเจ็คต์ “น้ำตาลแดง” เป็นไงมาไงถึงได้มีโอกาสได้เข้ามาทำในโปรเจ็คต์นี้
ศาสตร์ : ก็เริ่มจากเอม(ผู้กำกับเรื่องปรารถนา)โทรมาชวนว่ามีโปรเจ็คต์อีโรติกพวกเราสนใจกันรึเปล่า ตอนแรกก็งงๆว่าจะยังไง กดดันก็กดดัน แต่จะว่าท้าทายก็ใช่ แรกๆมันจะสับสนมากอยู่เหมือนกัน ทุกคนก็ยังไม่แน่ใจกันเท่าไหร่ ผมก็ไม่คิดว่าจะทำในตอนแรก เพราะมันคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงให้เราสนุกด้วยและเขาสนุกด้วย ก็เลยเริ่มจากการนัดกลุ่มพูดคุยกันเล็กๆ ว่าแต่ละคนมีความคืบหน้าอะไรกันบ้าง และเราจะทำกันหรือไม่อย่างไร จนสุดท้ายก็สรุปว่าจะทำกันเพราะเราก็อยากทำหนังกันทุกคน มันเป็นความฝันของทุกคนจริง แต่ต้องทำเพราะอยากจะทำมันจริงๆเท่านั้น ไม่งั้นจะไม่สนุกและไม่อิน มันก็จะแสดงออกมาในหนัง อีกอย่างเราก็ไม่มีอะไรจะต้องเสีย อย่างน้อยมันก็คือโอกาส ถึงจะมีความรู้สึกว่ามันยากบ้างก็เถอะ ก็เลยรวมกันแล้วก็เข้าไปคุยไปเสนอโปรเจ็คต์กับพี่ปรัช(คุณปรัชญา ปิ่นแก้ว)แล้วก็พี่อ๊อด(คุณบัณฑิต ทองดี)จนพี่ๆทั้งสองเขาก็เกิดความสนใจ เพราะจริงๆมันก็มีทั้งจุดแข็งในตัวของมันเอง และก็พอฟังจากเรื่องที่จะทำของแต่ละคนมันก็มีความน่าสนใจอยู่ในด้านของมุมมอง รวมไปถึงความตั้งใจความมุ่งมั่นของพวกเราก็เลยได้ทำ
Q.ทำไมต้อง “น้ำตาลแดง” ความหมายของน้ำตาลแดงคืออะไร โปรเจ็คต์นี้พูดถึงอะไร ต้องการนำเสนออะไร
ศาสตร์ : ชอบชื่อน้ำตาลแดงก็เพราะว่ามันให้ความหมายที่ครอบคลุมกับโปรเจ็คต์นี้พอดี ในทิศทางที่เราพูดถึงเรื่องรัก ชีวิตคู่และความลุ่มหลง เรื่องที่เกี่ยวกับตัณหาราคะ อีกทั้งความเป็นน้ำตาลแดงยังมีความสดในตัวของมันเองที่ไม่ได้ผ่านการปรุงแต่งอะไรมาก มันโยงถึงกันหมด เพราะโปรเจ็คต์น้ำตาลแดงก็คือการทำหนัง6 เรื่องโดยมีจุดเชื่อมกันคือความเป็นอีโรติก และบอกเล่าเรื่องราวมุมมองอันหลากหลายของคำว่าอีโรติกอีกที โดยผู้กำกับใหม่ทั้งหมดหกคน
Q.แล้วทำไมต้อง “อีโรติก-อาร์ท”
ศาสตร์ : เพราะเราอยากให้มันมีแง่มุมที่หลากหลายขึ้น มันอาจจะเป็นแง่มุมที่ขบคิดต่อไปได้อีก ถ้าอีโรติก อย่างเดียวมันอาจจะพาซื่อเหมารวมกันไปได้ว่ามันคือหนังโป๊(นั่นเป็นเพียงความรู้สึกส่วนหนึ่ง) เราก็เลยคิดกันว่าน่าจะมีความเป็นศิลปะมาผสมลงไปด้วย เหมือนกับเพิ่มขอบเขตและขยายความเป็นอีโรติกออกไป เพื่อที่ว่ามันอาจจะได้อะไรใหม่ๆน่าสนใจขึ้นมาบ้าง และในความรู้สึกมันก็น่าจะไปกันได้ด้วยดี เพราะมันก็เกี่ยวกับความรู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วอีกอย่างด้วยความที่หนังอีโรติกแบบจริงๆจังๆมันก็ห่างหายไปนานจากแวดวงหนังไทยตั้งแต่ยุคเจ็ดศูนย์แปดศูนย์ ก็เลยรู้สึกว่าน่าเอามาเล่นว่ะ หมายถึงว่ามันมีอะไรบางอย่างที่สามารถสะท้อนมุมมองที่มีต่อสังคมหรือเรื่องวัยรุ่นผ่านความเป็นอีโรติกได้ เพราะจริงๆความเป็นอีโรติกมันก็มีอยู่ทุกที่ทุกเวลาในชีวิตเราอยู่แล้ว นั่นรวมไปถึงหนังด้วย คือสิ่งที่อยากจะพูดก็คือเปิดมันออกมากระเทาะแง่มุมอื่นให้แตกออกไปบ้าง ความรู้สึกคือมันไม่ควรจะถูกปกปิดไว้นานไปกว่านี้ แล้วจริงๆส่วนตัวก็สนใจในแง่ที่นึกไปถึงหนังไทยสมัยก่อนที่มันหลากหลาย หรืออย่างหนังเรื่องหนึ่งก็สามารถมีได้หลายอารมณ์ หรือหนังที่เป็นอีโรติกก็ตาม เราก็เลยสนใจที่จะทำอีโรติกในลักษณะของหนังวัยรุ่นใสๆ เพราะหนังวัยรุ่นใสๆมักจะตัดฉากอีโรติกออกไป หมายถึงจูบๆกันอยู่ตัดมาอีกทีกลายเป็นเช้าแล้ว อะไรประมาณนั้นนั่นแหละครับ ก็เลยตัดสินใจที่จะทำออกมาโดยมีฐานเป็นอีโรติก แต่รายละเอียดก็แตกต่างกันไปตามมุมมองของแต่ละคนที่จะคิดต่ออกไปจากคำว่าอีโรติก
Q.อิโรติค-อาร์ทในมุมมองของแต่ละคนคงแตกต่างกัน สำหรับของเราเองมองว่าเป็นอย่างไร
ศาสตร์ : ก็เป็นความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับอารมณ์ในสองความรู้สึก ที่มันไปด้วยกันได้ ความรู้สึกของคำว่า อีโรติกก็คือความหลงใหลในเรื่องของสรีระและความรู้สึกที่มีทั้งหลบซ่อนและระเบิดออกมา(ความรู้สึกส่วนตัว)ส่วนคำว่าอาร์ทก็เป็นเรื่องของความรู้สึกเช่นกัน จริงๆในความรู้สึกของผมมันก็คือคำสองคำที่บอกหรือแสดงถึงความรู้สึกที่มันสามารถเชื่อมโยงและคล้ายๆกันในบางมุม แต่ไปด้วยกันได้
Q.ที่บอกว่าอีโรติก-อาร์ท อาร์ทตรงไหน อิโรติกอย่าง เรามีวิธีการจัดวางกระบวนการมอง คิด หรือถ่ายทอดออกมาเป็นภาพยนตร์ที่มีความสมดุลย์หรือลงตัวระหว่างอาร์ทกับอีโรติกอย่างไร
ศาสตร์ : จริงๆสำหรับผมมันอาจจะไม่ได้แยกกันอย่างชัดเจน แต่มันไปด้วยกันโดยการหยอดๆแทรกๆแซมๆอยู่ระหว่างเรื่อง เพราะมันบอกหรือแสดงถึงความรู้สึกเหมือนกัน คือสำหรับผมคำสองคำนี้มันเป็นเรื่องของความรู้สึก ยกตัวอย่างความเป็นธรรมชาติในหนัง ที่จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ธรรมชาติล้วนๆแต่มันมีความเหนือจริงในการพูดคุยหรือการแสดงออกบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งเรื่องการกำหนดช่วงเวลาสีและแสงที่เกิดขึ้นในหนัง ก็เป็นเรื่องของความรู้สึกอารมณ์ที่มันเชื่อมโยงกับเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง ผมว่ามันให้อารมณ์คลุมเครือกับตัวละครที่มีความลักลั่น ความสับสน ความเศร้า ความแปรปรวนทางอารมณ์อยู่ เพราะบรรยากาศตอนเย็นๆมันให้ความรู้สึกที่คาบเกี่ยวกับตอนกลางคืนอยู่ด้วย(สำหรับรักต้องลุ้นเรื่องราวเริ่มต้นในช่วงเย็นกินเวลาไปในช่วงค่ำคืนหนึ่ง-ผู้สัมภาษณ์) รวมไปถึงการเลือกสถานที่ที่เกิดขึ้นในหนังและสิ่งของที่ใช้ประกอบอยู่ในหนัง ที่ผมตั้งใจอยากจะให้มันมีความเป็นบ้านแบบคนไทยจริงๆ คือบ้านคนไทยแบบทั่วๆไปก็จะใช้ข้าวของที่หลากหลายหน่อย แล้วเอามาผสมกันอยู่ในบ้านหลังเดียวกัน เช่น ของบางอันอาจดูฝรั่ง บางชิ้นดูแขกๆ บางอันดูไทยๆ และบางอันก็ดูญี่ปุ่นๆ ซึ่งพอดูแล้วมันอาจจะรู้สึกก็ได้หรือไม่รู้สึกก็ได้ หรือจะรู้สึกมากหรือจะน้อยก็แล้วแต่ เพราะมันเป็นเรื่องของบรรยากาศ ส่วนในความเป็นอีโรติกก็เป็นส่วนของความรู้สึกของตัวละคร การแสดงออก ที่นำพาตัวละครและเรื่องราวไป เช่นความรู้สึกของตัวละครชายที่แอบมองส่วนเว้าส่วนโค้งสรีระของนางเอก การลูบไล้การสัมผัส จนล่วงเลยไปถึงการร่วมรักกัน แน่นอนว่าทั้งสองอย่างน่าจะขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้กำกับและคนดูด้วย หรือของแต่ละคนนั่นเองที่มาปะทะกัน
Q. คอนเซ็ปท์และไอเดียที่ต้องการนำเสนอใน “รักต้องลุ้น”
ศาสตร์ : ไอเดียสำหรับรักต้องลุ้นมันก็เริ่มมาจากสิ่งที่เราอย่างจะเห็นในหนังไทย และเรื่องของความรักแบบวัยรุ่นๆที่มีฉากการสัมผัสการร่วมรัก ความเป็นอีโรติกเข้ามาผสมร่วมอยู่ เพราะจริงๆถ้าเราคิดต่อจากหนังรักวัยรุ่นทั่วไปเขาจะตัดส่วนนี้ออกและข้ามไป แต่จริงๆมันก็เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ ส่วนคอนเซ็ปท์ก็เลยพูดถึงเรื่องขอบเขตของสังคมในเรื่องเพศ แต่ไม่ต้องการจะบอกว่าผิดหรือถูก เรื่องความรู้สึกมันไม่น่าจะตัดสินกันได้แต่จุดลงตัวมันน่าจะอยู่ตรงไหนก็ต้องลุ้นกัน อันนี้เราไปฟันธงไม่ได้นะในความรู้สึกผม มันเป็นเรื่องของแต่ละคนจริงๆ และเราก็ตั้งใจพูดเรื่องที่มันใกล้ตัวที่ทุกคนสามารถจับต้องได้ เข้าใจได้ไม่ยาก
Q. “รักต้องลุ้น” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
ศาสตร์ : เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นและครอบครัวแบบไทยๆร่วมสมัย ที่มีเรื่องเพศเรื่องชู้สาวเข้ามาเกี่ยวข้องในการนำเสนอเพื่อจะสะท้อนถึงสังคมในปัจจุบันอีกทีหนึ่ง โดยที่ในเรื่องจะเล่าถึงความสัมพันธ์ของคู่หนุ่มสาวที่มันพาไหลไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรหรือมีความจริงจังอะไร ว่าจะต้องเป็นอย่างงั้นอย่างงี้ว่าจะเกิดอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็เตรียมใจไว้อยู่แล้วและยอมรับได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งผมรู้สึกว่ามันเป็นความรู้สึกแบบลักลั่นและสับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่พอทุกอย่างมันเกิดขึ้นถึงเพิ่งเริ่มจะฉุกคิดและเริ่มตระหนักถึงสิ่งที่อาจจะตามมาบ้าง ส่วนดาราที่เล่นก็เป็นดาราใหม่ เพราะต้องการความสดความที่ไม่เคยเล่นหนังอะไรมาก่อน เพื่อมันจะได้ไปกับหนังและการรับรู้ของคนดูที่ไม่ติดตาจากเรื่องใดมาก่อน
Q.เมื่อพูดถึงความอีโรติก ระดับความหวือหวา ในการนำเสนอของโปรเจ็คต์มีขอบเขต มากน้อยเพียงไร
ศาสตร์ : ก็คงเป็นอีโรติกที่มองถึงความเหมาะสมในแต่ละเรื่อง และถ้าถึงจุดที่จะต้องมีความเป็นอีโรติกก็ต้องมีให้เห็นให้สัมผัสได้ถึงเรื่องนั้น นั่นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีฉากวาบหวามหรือการเผยให้เห็นถึงสรีระในเรื่องเพศสำหรับโปรเจ็คต์นี้ โดยไม่ได้ยึดเอาฉากพวกนี้เป็นหลัก แต่เป็นส่วนหลักส่วนหนึ่งในการนำเสนอไปพร้อมกับเรื่องราวหรือสิ่งที่แต่ละเรื่องต้องการจะบอกกล่าวโดยผ่านมุมมองความเป็นอีโรติก แต่ถ้าจะพูดถึงรักต้องลุ้นเองในเรื่องระดับของความหวือหวาในการนำเสนอ ก็ต้องบอกว่ามีเส้นทางระดับของความหวือหวาไปตามระดับของการเล่นเกมส์ที่เกิดขึ้นในหนัง คือถ้าฝ่ายไหนเล่นเกมส์แพ้ก็ต้องถอดออกทีละชิ้นๆ ซึ่งจะไต่ระดับความอีโรติกขึ้นไปเรื่อยๆตามเรื่องราวที่ตั้งใจวางเอาไว้
Q.การทำหนังอีโรติกอาร์ทแบบนี้มีวิธีการสื่อสารหรือกำกับนักแสดงให้เข้าใจหรือกล้าถ่ายทอดหรือนำเสนอในสิ่งที่ตัวผกก.ต้องการมากน้อย แค่ไหนอย่างไร
ศาสตร์ : ก็บอกไปตามจริงก่อนเลยว่าต้องเล่นถึงไหน เห็นแค่ไหน หลังจากนั้นก็บอกความต้องการว่าเราอยากให้เล่นให้แสดงประมาณไหน และก่อนที่มาเล่นเราก็เลือกคนที่เหมาะกับเรื่องกับคาแร็กเตอร์ เมื่อเขาเล่นจะได้ไม่ห่างไกลจากตัวเขา หลังจากนั้นก็ค่อยเอาเรื่องในบทเราเข้าไปผสม อีกอย่างเราก็อยากได้ความรู้สึกความเป็นธรรมชาติของวัยรุ่น แต่ก็มีปรับบทเพื่อให้เข้ากันกับตัวนักแสดงด้วย ทั้งบทพูดที่ให้เข้าปากมากขึ้น ทั้งสถานการณ์ที่เหมาะที่จะเล่นได้อย่างไม่ขัดเขิน เป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ส่วนอีกส่วนก็มีอิมโพรไวส์บ้างตามความเหมาะสมที่จะเอื้อในแต่ละช่วง นักแสดงนำทั้งหมดตั้งใจกับงานค่อนข้างดี ส่วนเรื่องความเข้าใจในสิ่งที่เล่น ก็ค่อยๆปรับทำความเข้าใจกันไปอย่างเข้าใจกัน ทั้งก่อนถ่ายและในช่วงเวลาที่ถ่าย ซึ่งส่วนใหญ่ที่ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงนักแสดงก็เล่นเองกันหมด อย่างฉากที่จูบก็จูบโดนกันจริงๆสัมผัสกันจริงๆโดยที่เวลาจูบกันเราก็บอกให้จูบแบบนัวเนียและขั้นตอนมันก็ควรมีระยะเวลาในการจูบการสัมผัสกันสักพักจนกว่าจะรู้สึกถึงกัน ไม่ใช่แค่จูบเป็นพิธีว่านี่คือจูบกันนะ ก็คุยตรงๆว่ามันก็เป็นการแสดงตามบทตามเรื่องตามราว ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือจากนั้นเลย หรือฉากที่ต้องโชว์เนื้อหนัง หรือฉากร่วมรักก็พยายามให้นักแสดงเล่นเองให้ได้มากที่สุด เช่นฉากที่ตัวพระเอกต้องถอดกางเกงออกแล้วโชว์ก้นให้กล้องเห็นจะๆ ก็จะคุยกับน้องผู้ชายตรงๆว่ามันเป็นอย่างนี้เห็นแค่นี้และเหตุผลตามเรื่องราวว่ามันคืออะไร เราต้องการอะไร ตัวละครมันต้องการหรือมีความรู้สึกถึงอะไร(ทั้งสองคน ทั้งพระเอกและนางเอก)ตัวน้องผู้หญิงก็ต้องกำชับประมาณว่าพอน้องผู้ชายถอดกางเกงออกจนเห็นก้นเต็มหน้ากล้องเนี่ยะ ในส่วนด้านหน้าก็ให้คิดไปเลยว่าเห็นอวัยวะเพศชายของตัวน้องผู้ชายแบบจะๆ(ซึ่งจริงๆแล้วตัวน้องผู้ชายก็ติดเซฟเอาไว้ตรงเป้า) ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้หญิงเขาค่อนข้างให้ความสนใจหรืออยากรู้อยากเห็นกันอยู่แล้ว แต่พอต้องมาเห็นจะๆเต็มๆแบบใกล้ๆก็กลับเกิดความรู้สึกเขินอายแทน ทั้งๆที่ก็อยากดู หมายถึงมันเป็นความรู้สึกแบบพอเอาเข้าจริงก็สะอึกก็เขินอายรับไม่ได้ แต่อีกใจก็สนใจอยากเห็นอยากดูไปด้วย คือเรื่องอย่างนี้มันเป็นความรู้สึกแบบผู้หญิงน่ะ จะเป็นจริตหรือความเขินอายอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งผมมองว่ามันน่ารักดีขำดี แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องอีโรติกหรือการแสดงออกทางอีโรติกเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นสำหรับสังคมไทยการยอมรับของสังคมเมื่อหนังออกสู่วงกว้างไป มันอาจจะมีบางส่วนที่กระทบถึงตัวนักแสดงในเรื่องการงาน ว่าอาจดูไม่ดี ดูlowหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เป็นด้านลบ ผมเลยรู้สึกว่าจำต้องคิดถึงเรื่องความสมดุล ความสมน้ำสมเนื้อ มุมต่างๆที่ผู้ชมเห็นได้ว่ามันไม่ได้มีแต่มุมอีโรติกหรือโป๊ๆเปลือยๆกันอย่างเดียว เพื่อที่ว่าจะได้มีมุมของการแสดงทางความรู้สึกต่างๆที่สามารถเอามาเล่นอย่างอื่นได้ รวมไปถึงเรื่องลุคของตัวนักแสดงด้วย นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งว่าทำไมนักแสดงต้องแสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าแสดงออกได้อย่างธรรมชาติและลื่นไหล ผมคิดว่าการยอมรับของคนดูหรือความเข้าใจ ก็น่าจะยอมรับและเข้าใจได้
พาร์ทอีกหนึ่งทางเลือกใหม่สำหรับคนทำหนัง นำไปสู่ความต่างที่เป็นจุดเปลี่ยนในการดูหนัง
Q.การหันมาทำหนังในระบบ ตัวสตูดิโอเองเปิดโอกาสให้เราได้นำเสนอถ่ายทอดสิ่งที่เราต้องการสื่อสารกับตัวโปรเจ็คต์มากน้อยเพียงไร
ศาสตร์ : จริงๆแล้วเปิดโอกาสให้มากนะครับ เพราะเรื่องที่อยากเล่าอยากนำเสนอ ก็เป็นอย่างที่เราอยากให้มันเป็น และก็เป็นอีโรติกแบบที่เราอยากให้เป็นเช่นกัน
Q.จากการเป็นคนทำหนังอิสระแล้วมีโอกาสได้เข้ามาทำหนังที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนดูในกระแสหลัก ต้องมีการปรับตัวหรือไม่อย่างไร ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการทางความคิด ในการผลิตภาพยนตร์หรือสร้างงานอย่างโปรเจ็คต์ “น้ำตาลแดง” แตกต่างจากการทำหนังอิสระ หรือการทำหนังในกระแสหลักหรือไม่อย่างไร
ศาสตร์ : ยอมรับว่าแตกต่างในเรื่องของจุดขายที่จำต้องขายได้ ซึ่งเราก็ยอมรับได้เพราะเราเลือกที่จะเข้ามาทำตรงนี้เอง ผมกลับมองว่ามันน่าสนุกและท้าทายมากกว่า ในการหาจุดสมดุลของมันและจริงใจกับสิ่งที่เราอยากนำเสนอ แค่นั้นก็พอ โดยผมไม่สนใจว่าจะเป็นหนังอินดี้ หนังสั้น และหนังตลาด ถ้าเป็นเรื่องที่เราอยากทำและสนุกกับมันเราก็ทำ และผมก็ไม่ได้สนใจในเรื่องของสไตล์อะไรมากมายอีกด้วย แต่ผมคิดถึงหนังและตัวละครมากกว่า ดังนั้นมันจึงไม่มีปัญหาอะไร ทั้งเรื่องความคิดหรืออะไรต่างๆ มันแค่เครียดขึ้นเท่านั้นเอง
Q.คิดว่าอะไรคือเสน่ห์ความน่าสนใจของโปรเจ็คต์นี้
ศาสตร์ : เป็นความท้าทายและความน่าสนใจกับสิ่งที่ไม่ค่อยเห็นในหนังไทยในเรื่องของความเป็นหนังแบบอีโรติกที่อยู่ในระบบของการจัดเรทติ้ง รวมไปถึงความตั้งใจในการทำโปรเจ็คต์นี้ของพวกเรา ที่พวกเราเชื่อว่ามันมีความสดอยู่พอสมควร ทั้งเรื่องมุมมอง การนำเสนอ และเนื้อหา
Q.เมื่องานเสร็จแล้วเรามีความพึงพอใจในผลงานหรือโปรเจ็คต์ของตัวเองมากน้อยแค่ไหน อย่างไร
ศาสตร์ : พอใจเลยครับ ถึงแม้ตัวหนังของผมจะยาวเลยไปถึง 38 นาที(เพราะจริงๆตั้งไว้ไม่น่าเกิน30นาที) แต่ผมว่ามันก็เหมาะกับตัวหนังแล้วละครับ
Q.การเป็นคนทำหนังในกลุ่มแวดวงอิสระมาก่อนเป็นข้อดี หรือ ส่งผลต่อมุมมองหรือเนื้องานที่ถูกนำเสนอออกมาหรือไม่ คิดว่าส่งผลให้ตัวงานที่ทำมีเสน่ห์หรือความโดดเด่นที่แตกต่างจากผลงานของผู้กำกับหรือคนทำหนังในกระแสหลักอย่างไร
ศาสตร์ : ผมว่ามันก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก เพราะจริงๆมันก็เป็นเรื่องของบุคคลมากกว่า เป็นเรื่องของแต่ละเรื่องแต่ละงานไป แต่ละช่วงเวลาไป เพราะผมว่าทุกคนก็มีความตั้งใจดี ตั้งใจในการทำงานกันทั้งนั้น เรื่องจะดีไม่ดีมันก็อีกเรื่องหนึ่ง จึงไม่คิดว่าควรจะเปรียบเทียบกัน
Q.จริงไหมว่าแนวคิดในการนำเสนอหรือมุมมองของคนทำหนังอิสระไม่ว่าจะเป็นสไตล์ หรือวิธีการ ก็อาจจะเหมาะกับหนังบางประเภทที่ต่าง serve ซึ่งกันและกันอย่าง หนังอิโรติก เหมือนเป็นประตูทางออก หรือทางเลือกที่ลงตัว แต่ใช่ว่าทุกเรื่องจะเหมาะกับการใช้วิธีการแบบนี้
ศาสตร์ : คิดว่าอยู่ที่แต่ละบุคคลมากกว่าครับ ผมว่ามันฟันธงหรือคิดแทนกันได้ แต่ส่วนตัวผมไม่ติดใจอะไรและคิดว่ามันไม่จริงเสมอไป ผมคิดว่ามันอยู่ที่การขยายขอบเขตที่เราจะยอมรับได้มากกว่า
Q.หลังจากการเกิดขึ้นของโปรเจ็คต์อย่าง “น้ำตาลแดง” คิดว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนหรือส่งผลต่อรูปแบบการผลิตหรือการทำหนังที่ฉายในโรงบ้านเราต่อไปหรือไม่อย่างไร รวมไปถึงพฤติกรรมการดูหนังในบ้านเรา
ศาสตร์ : ไม่รู้เลยจริงๆครับ ตอบยากมาก แต่ส่วนตัวผมไม่คิดว่ามันจะต้องเปลี่ยน หรือส่งผลต่อการผลิตอะไร หรือรวมไปถึงพฤติกรรมของคนดูก็ตาม ผมแค่คิดว่ามันเป็นความต่าง ถึงจะไม่มากมายอะไรก็ตาม เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับอะไรหลายๆอย่าง
Q.อย่างนี้พูดได้ไหมว่าโปรเจ็คต์หนังอีโรติกอาร์ทอย่าง “น้ำตาลแดง” ก็คือผลพวงที่เกิดขึ้นจากการที่บ้านเรามีการกำหนดเรทติ้งภาพยนตร์ ซึ่งน่าจะส่งผลให้คนดูหนังมีโอกาสได้เสพงานที่แปลกแยกทางความคิดมากขึ้น
ศาสตร์ : คิดว่ามีส่วน เพราะขอบเขตของสังคมก็อั้นๆมานาน ส่วนตัวผมคิดว่าทุกคนก็อยากจะทำอะไรที่มันขยายความคิดการนำเสนอกันหรือลองอะไรที่เคยทำไม่ได้ในยุคที่ยังไม่มีระบบเรทติ้ง มันเป็นการเรียนรู้และการเริ่มต้นมากกว่า ซึ่งอย่างน้อยผมก็ว่าดีที่ได้เริ่มต้น
Q.แสดงว่าพรบ.ภาพยนตร์การกำหนดเรทติ้งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดโอกาสให้มีการเปิดกว้างทางความคิดและช่องทางในการผลิตหนังที่แตกต่างของคนทำและส่งผลให้คนดูจะได้ดูหนังที่ไม่มีการปิดกั้นอีกต่อไป
ศาสตร์ : ผมคิดว่าอย่างน้อยมันเป็นการเริ่มต้นที่ดี แต่เราต้องรอดูกันต่อไปเรื่อยๆมากกว่า ทั้งคนจัดระบบคัดกรอง เรทติ้ง คนทำหนัง คนดู ผู้สร้าง ต้องค่อยๆสร้างขยับขยายขอบเขตกันไป
Q.ทำไม โปรเจ็คต์อย่าง “น้ำตาลแดง” ถึงเป็นหนังที่ควรจะดู
ศาสตร์ : น่าดูเพราะคิดว่ามันคืองานของคนทำงานหน้าใหม่ๆ ที่เพิ่งได้ทำหนังแบบฉายโรงทั่วไปเป็นครั้งแรก ที่มีความอิสระในการคิดในการสร้างงานแบบที่อยากจะนำเสนอกันจริงๆซึ่งได้ทำและเกิดขึ้นในยุคที่มีการจัดระบบเรทติ้ง