กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--ธนชาต
กลุ่มธนชาต รายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2553 ทุนธนชาต (TCAP) กำไร 1,369 ล้านบาท โตขึ้น 84% ธนาคารธนชาต (TBANK) กำไร 1,959 ล้านบาท โตขึ้น 175% ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) กำไร 1,205 ล้านบาท โตขึ้น 33%
“ทุนธนชาตรายงานผลการดำเนินงานภายหลังการควบรวมธนาคารนครหลวงไทย ภายใต้กลุ่มธนชาต โดยขนาดสินทรัพย์ขยายตัว 2 เท่า อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 16”
บริษัท ทุนธนชาต รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ไตรมาส 2 ปี 2553 มีกำไร 1,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 84.0 และงวด 6 เดือนแรกของปีมีกำไร 2,712 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) เท่ากับร้อยละ 16.1 และกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2.12 บาทต่อหุ้น ขณะที่ในไตรมาสที่ 2 ของปีธนาคารธนชาต มีกำไร 1,959 ล้านบาทโตขึ้นร้อยละ 175 และธนาคารนครหลวงไทย มีกำไร 1,205 ล้านบาท โตขึ้นร้อยละ 33 พร้อมเผยไตรมาส 3 เริ่มปรับโครงสร้างองค์กร และควบโอนกิจการระหว่างธนาคารธนชาตและธนาคารนครหลวงไทย เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ไทย
นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลจากความสำเร็จที่ธนาคารธนชาต เข้าซื้อหุ้นในธนาคารนครหลวงไทย ทำให้ ณ ไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ทุนธนชาต มีขนาดสินทรัพย์เพิ่มเป็น 838,887 ล้านบาท โตเป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรมธนาคารพาณิชย์ เป็นผลมาจากการนำผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของธนาคารนครหลวงไทยและบริษัทย่อยเข้ามารวมกัน ขณะที่ผลประกอบการของธนาคาร ทั้ง 2 แห่ง ในไตรมาสนี้ มีกำไรรวมกันกว่า 3,000 ล้านบาท และงวด 6 เดือนแรกมีกำไรประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยต่อจากนี้ไปกลุ่มฯ จะใช้ช่องทางสาขาของธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย กว่า 670 สาขา ในการสร้างรายได้และผลกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการ Cross Sell ผลิตภัณฑ์ทางการเงินภายในกลุ่มธนชาต และการสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม เพื่อทดแทนรายได้จากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย (NIM) ที่มีแนวโน้มลดลงซึ่งเป็นผลจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีทิศทางอยู่ในช่วงขาขึ้น
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 3 กลุ่มธนชาต ได้เตรียมการเข้าสู่กระบวนการปรับโคร้างสร้างองค์กร ระบบงาน กระบวนการทำงาน ตลอดจนการฝึกอบรมพนักงาน และการควบโอนกิจการระหว่างธนาคาร ธนชาตและธนาคารนครหลวงไทย เพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างศักยภาพในการแข่งขันกับอุตสาหกรรมธนาคาร ซึ่งคาดว่ากระบวนการดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2554
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารธนชาต กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 เฉพาะธนาคารธนชาต มีสินทรัพย์รวมเท่ากับ 445,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีร้อยละ 7.6 และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,959 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 175 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการที่มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 ในขณะที่ต้นทุนการดำเนินงานต่อรายได้รวมอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 46.3 อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญอยู่ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 0.4 ของสินเชื่อรวม ซึ่งในไตรมาสต่อๆไปธนาคารก็จะยังคงขับเคลื่อนด้วย 3 ประเด็นหลักนี้อย่างแข็งแกร่ง
ส่วนในงบการเงินรวมของธนาคารธนชาต ซึ่งได้รวมผลการดำเนินงานของธนาคารนครหลวงไทยและบริษัทย่อยตามสัดส่วนการถือหุ้น ทำให้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ธนาคารธนชาตมีขนาดสินทรัพย์เท่ากับ 829,675 ล้านบาท มีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,237 ล้านบาท และในงวด 6 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิเท่ากับ 4,012 ล้านบาท
ในระหว่างที่ธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย กำลังอยู่ในกระบวนการควบรวมกิจการกัน ธนาคารทั้ง 2 แห่ง มีการประสานงานทำงานควบคู่กันตลอดเวลา และมีนโยบายในการปรับและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินให้สอดคล้องกัน ทั้งด้านเงินฝาก สินเชื่อ ทั้งนี้เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกในการใช้บริการให้แก่ลูกค้าของธนาคารทั้ง 2 แห่ง เสมือนใช้บริการธนาคารแห่งเดียวกัน
ทั้งนี้ธนาคารธนชาต ยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ธนาคารฯ มีความถนัดและเป็นผู้นำในธุรกิจนี้ โดยคาดว่าในปี 2553 จะปล่อยสินเชื่อได้ประมาณ 8-9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รักษาความเป็นผู้นำและส่วนแบ่งทางการตลาดที่มีมากกว่าร้อยละ 20 ไว้ได้
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของธนาคารนครหลวงไทย ไตรมาสที่ 2 มีสินทรัพย์เท่ากับ 403,521 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,205 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 33 จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากการรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยได้ใกล้เคียงเดิมที่ร้อยละ 3 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน และในงวด 6 เดือนแรกของปีมีกำไรสุทธิเท่ากับ 2,244 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับงวด 6 เดือนแรกปีก่อน
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในวันที่ 29 กรกฎาคม 2553 ธนาคารนครหลวงไทย จะจัดประชุมชี้แจง (Presentation) ให้กับผู้ถือหุ้นและผู้ลงทุนทั่วไปเพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับการเพิกถอนหุ้น (SCIB) ออกจากการเป็นบริษัทฯ จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นผลมาจาก ธนาคารฯ ได้มีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นโดยมีธนาคารธนชาต เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งมีแผนที่จะดำเนินการเพิกถอนหลักทรัพย์ของธนาคารฯออกจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และรวมธุรกิจระหว่างธนาคารธนชาต กับธนาคารนครหลวงไทย ต่อไป