กรุงเทพฯ--23 ก.ค.--สวทช.
ในงานประชุมวิชาการ “Thai Professionals Conference 2010 : Green Thailand และก้าวต่อไปของความร่วมมือระหว่างการอุดมศึกษาไทยและนักวิชาชีพไทยในต่างประเทศ” ซึ่งจัดขึ้นโดยโครงการสมองไหลกลับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ(สวทช.) ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย(สกว.) เมื่อเร็วๆ นี้ โดยผู้จัดงานได้เชิญนักวิชาชีพไทยในต่างแดนทั้ง อเมริกา-แคนาดา ยุโรป และญี่ปุ่น มาร่วมประชุมถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้กับนักวิชาการไทยในสาขาต่างๆ มากมาย
รศ.ดร.นงนิจ ลือตระกูล-เลวิน นักวิชาชีพไทยในยุโรป ได้กล่าวถึงอันตรายจากแร่ใยหิน หรือแอสเบสทอส (asbestos) ซึ่งเป็นที่นิยมใช้เป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย ว่า เราอาจได้รับเส้นใยหินจากการสูดหายใจโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากเส้นใยจากแร่ใยหินนี้ เป็นสารไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และไม่มีรส เมื่อมันเข้าไปสะสมในร่างกายเป็นระยะเวลายาวนาน และมีปริมาณมาก จะก่อให้เกิดโรคปอดอักเสบ เป็นมะเร็งปอด และเสียชีวิตได้ในที่สุด
แร่ใยหิน ประกอบด้วยธาตุแมกนีเซียม เหล็ก ซิลิเกต และธาตุอื่นๆ มีลักษณะเป็นเส้นใยละเอียด มีขนาดเล็ก คุณสมบัติที่โดดเด่น คือ ทนไฟ ไม่นำความร้อนและไฟฟ้า ทนสารเคมีทั้งกรดและด่างได้ดี มีความแข็ง เหนียว และยืดหยุ่น จึงทนต่อแรงกระแทกได้ดี สามารถนำมาปั่นเป็นเส้นและทอเป็นผืนได้ ดังนั้น จึงมีการนำเส้นใยหินนี้มาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมาย เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ฝ้าเพดาน ปูนซีเมนต์ ผ้าเบรกรถยนต์ ฉนวนกันความร้อน และวัสดุสิ่งทอ เป็นต้น
“เส้นใยจากแร่ใยหินมีอยู่ในเครื่องใช้ไฟฟ้าใกล้ตัวเรามากมาย เช่น เครื่องปิ้งขนมปัง เตารีด เครื่องต้มน้ำ กระทั่งเครื่องเป่าผม เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้เมื่อเสื่อมสภาพลง หรือมีการหลุด แตกหัก เส้นใยหินก็มีโอกาสหลุดและปลิวออกมาได้ เมื่อเราหายใจรับมันเข้าไปก็ไม่รู้สึกตัวเลย หรือบ้านเก่าๆ ที่เสื่อมโทรมหรือถูกไฟไหม้ พวกเส้นใยหินทั้งหลายที่เป็นส่วนประกอบของปูนซีเมนต์ กระเบื้องหลังคา หรือฝาบ้าน ก็อาจมีการหลุดปลิวออกมาในอากาศได้เช่นกัน”
ภาพขยายแสดงให้เห็นเส้นใยหินที่มีความแหลมคม และเซลล์กำจัดสิ่งแปลกปลอมของร่างกายไม่สามารถกำจัดได้ ที่น่ากลัวก็คือ เมื่อเส้นใยหินเหล่านี้เข้าไปสะสมที่เนื้อเยื่อปอดแล้ว เซลล์กำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมของร่างกายจะพยายามกำจัดโดยการโอบล้อมและหลั่งเอนไซม์เพื่อทำลายเส้นใยหิน แต่ไม่สามารถกำจัดได้ เนื่องจากเส้นใยหินมีความคงทนต่อความเป็นกรดได้ดี อีกทั้งสภาพความแหลมคมของเส้นใยหินก็ก่อให้เกิดผลร้ายต่อเซลล์ที่มาทำลายและเนื้อเยื่อปอดอีกด้วย กลไกการทำลายเส้นใยหินจะเกิดซ้ำๆ เช่นนี้ จนทำให้เกิดการอักเสบของปอด จนเกิดเป็นพังผืด และสามารถพัฒนากลายไปเป็นเซลล์มะเร็งได้ พัฒนาการของโรคจะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ อาจใช้เวลานับ 10 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายหรือพันธุกรรมของแต่ละคน แต่เมื่อตรวจพบอาการของโรคแล้ว มักรักษาไม่หาย ผู้ป่วยจะต้องทุกข์ทรมานจากอาการของโรคจนถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด
สำหรับประชาชนทั่วไปจะมีวิธีการป้องกันหรือปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อเลี่ยงการได้รับเส้นใยหินเหล่านี้ รศ.ดร.นงนิจ กล่าวว่า “เป็นเรื่องยากลำบากเหมือนกัน เพราะในประเทศเราก็ไม่มีกฎหมายห้ามใช้เส้นใยหิน แต่ในขั้นต้น ก็อยากให้หลีกเลี่ยงหรืองดใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเส้นใยหินเป็นส่วนประกอบและอยู่ในสภาพที่เสื่อมชำรุด หรือหมดสภาพแล้ว และเมื่อต้องซื้อใหม่ ก็ให้ดูว่าเครื่องใช้ไฟฟ้านั้นผลิตที่ประเทศไหน น่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะบางประเทศอย่างสวีเดน เขามีกฎห้ามเลยทั้งการนำเข้า การผลิต และการใช้งาน สำหรับผู้ประกอบการ ก็ควรมีความตระหนักในเรื่องนี้ โดยเปลี่ยนไปใช้เป็นสารตัวอื่นแทนเส้นใยหิน”
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม:
โครงการสมองไหลกลับ
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โทร. 0 2564 7000 ต่อ 1446-1449
โทรสาร 0 2564 7004
e-mail: rbd@nstda.or.th