กรุงเทพฯ--15 ก.พ.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เนชั่นแนลเพาเวอร์ซัพพลาย จำกัด (NPS) ที่ระดับ “BBB+” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงการมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอจากสัญญาขายไฟฟ้าระยะยาวภายใต้โครงการผู้ผลิตไฟฟ้ารายย่อย (SPP) รวมทั้งอัตราส่วนกำไรที่อยู่ในระดับสูง ความยืดหยุ่นในการดำเนินงานจากการผสมผสานการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล และคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์จากกลุ่ม Double A Alliance (กลุ่ม AA) ซึ่งดำเนินกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลมาตั้งแต่ปี 2530 ในการประเมินอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงปัจจัยที่ไม่เอื้ออำนวยบางประการด้วย เช่น ความเสี่ยงของการดำเนินงานโรงไฟฟ้า ราคาเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น และความเพียงพอของเชื้อเพลิงชีวมวล โดยที่การซื้อหุ้นของบริษัทลูกแห่งใหม่ในราคาที่สูงมากทำให้เกิดความกังวลในเรื่องการทำธุรกรรมระหว่างกันของบริษัทในกลุ่มและวินัยในการลงทุนของบริษัท
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงมีรายได้ที่แน่นอนจากสัญญาระยะยาวที่มีกับลูกค้าอุตสาหกรรมและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยคาดว่ากลุ่ม AA จะสามารถบริหารงานโรงไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยปราศจากปัญหาในด้านการจัดหาเชื้อเพลิง
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเนชั่นแนลเพาเวอร์ซัพพลายก่อตั้งภายใต้โครงการ SPP ที่ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเชื้อเพลิงผสมจำนวน 2 เครื่องซึ่งมีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 328 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าของบริษัทตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม 304 ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่ม AA ทั้งนี้ กลุ่ม AA เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจรายใหญ่ของประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมหลายประเภท อาทิ โรงสีข้าว อุตสาหกรรมการเกษตร เยื่อและกระดาษ การค้า อสังหาริมทรัพย์ และโรงไฟฟ้า เชื้อเพลิงที่บริษัทใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า ได้แก่ ถ่านหิน และชีวมวลชนิดต่างๆ เช่น แกลบ และเปลือกไม้ แม้ว่ากลุ่ม AA จะไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทโดยตรง แต่ก็ถือว่าบริษัทเป็นโรงไฟฟ้าในกลุ่มเนื่องจากการมีสัมพันธภาพทางธุรกิจที่เหนียวแน่น โดยที่ผู้บริหารระดับสูงของกลุ่ม AA ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสำคัญของบริษัท และบริษัทอื่นๆ ในกลุ่มยังมีส่วนร่วมในธุรกิจของบริษัทโดยเป็นผู้ดำเนินงานโรงไฟฟ้า ให้บริการตรวจซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้า เป็นผู้จัดหาเชื้อเพลิงชีวมวล และเป็นลูกค้ารายสำคัญ
รายได้จากการขายไฟฟ้าทั้งหมดของบริษัทรับประกันโดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว (PPA) จำนวน 180 เมกะวัตต์ อายุ 25 ปีที่ทำไว้กับ กฟผ. และสัญญาขายไฟฟ้าจำนวน 50-120 เมกะวัตต์ อายุ 15 ปี ที่ทำไว้กับ บริษัท 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค จำกัด (304IP) ไอน้ำที่บริษัทผลิตได้ทั้งหมดจะจัดส่งให้แก่ บริษัท แอ๊ดวานซ์ อะโกร จำกัด (มหาชน) (AA) ภายใต้สัญญาจัดหาไอน้ำอายุ 15 ปี รายได้จากการขายของบริษัททั้งหมดในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2549 มาจาก กฟผ. คิดเป็น 42.8% จาก 304IP 44.5% และจากบริษัทแอ๊ดวานซ์ อะโกร 12.7% สำหรับถ่านหินซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตไฟฟ้าคิดเป็น 90% ของต้นทุนเชื้อเพลิงทั้งหมดนั้น บริษัทได้ทำสัญญาอายุ 15 ปีกับ Marubeni Corporation ให้เป็นผู้จัดหา ในขณะที่บริษัทในกลุ่ม AA เป็นผู้จัดหาเชื้อเพลิงชีวมวลให้ การใช้เชื้อเพลิงผสมส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานได้ในระดับสูงเมื่อเปรียบเทียบกับโรงไฟฟ้าทั่วไปเนื่องจากเชื้อเพลิงชีวมวลมีต้นทุนต่ำ อย่างไรก็ตาม แม้ความสามารถในการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลร่วมกับเชื้อเพลิงธรรมชาติจะเอื้อประโยชน์ด้านความยืดหยุ่นในการเลือกใช้เชื้อเพลิง แต่โรงไฟฟ้าก็มีความเสี่ยงจากการดำเนินงานมากกว่าเนื่องจากลักษณะเฉพาะของเชื้อเพลิงชีวมวลแต่ละชนิด ส่งผลให้บริษัทมีอัตราการหยุดการผลิตที่ค่อนข้างสูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อีกทั้งราคาแกลบก็ยังปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากปริมาณแกลบมีจำกัดและสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ ได้ด้วย
ในปี 2548 บริษัทเนชั่นแนลเพาเวอร์ซัพพลายมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 6.5% จากปีก่อนซึ่งเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มด้านราคาเป็นสำคัญ ทำให้บริษัทมีผลกำไร สุทธิ 1,653 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 4.1% ส่วนกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทนั้นยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า 2,000 ล้านบาทติดต่อกันเป็นปีที่สอง ในเดือนมกราคม 2549 บริษัทได้ซื้อหุ้นของ บริษัท ไฟฟ้าชีวมวล จำกัด (BECO) ในราคา 1,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีของบริษัทไฟฟ้าชีวมวลถึง 5 เท่า การซื้อหุ้นดังกล่าวเป็นธุรกรรมที่ไม่มีการประเมินผลตอบแทนการลงทุนที่ชัดเจนและเหมาะสม ดังนั้น หากมีการลงทุนในลักษณะดังกล่าวอย่างต่อเนื่องก็จะส่งผลในทางลบต่ออันดับเครดิตของบริษัท และอาจส่งผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตต่อไปในอนาคต ทริสเรทติ้งกล่าว